“ไม่ได้เรื่อง พูดจาอะไรกำกวม!”
“ทำไมพรีเซนเตอร์ถึงไม่ตรงตามคอนเซ็ปต์!”
“ทำไมพวกเธอคุยกันเสียงดังขนาดนี้!”
“ทำไมวันนี้กาแฟมันถึงร้อนกว่าเมื่อวาน!”
และอีกสารพัดมากมายที่หลุดออกมาจากปากกระจับสวยของร่างบาง คนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นประธานบริษัทของธนาคารยักษ์ใหญ่แห่งนี้
ถึงแม้ว่าเจนนี่จะขึ้นชื่อเรื่องขี้เหวี่ยง ขี้วีน เอาแต่ใจตัวเองจนเป็นขี้ปากของเหล่าพนักงานอยู่แล้ว แต่วันนี้เธอเอาแต่เหวี่ยงแต่วีนทั้งวันไม่มีหยุดพักให้พนักงานได้หายใจหายคอ ใครทำอะไรขวางตาเธอนิด ๆ หน่อย ๆ เธอก็พร้อมที่จะเปิดปากด่าพวกเขาเหล่านั้นเสมอราวกับวันนี้เป็นวันซวยของพนักงานแห่งชาติ
ไม่เว้นแม้แต่เลขาสาวที่ชงกาแฟให้เธออยู่ทุกวัน แต่วันนี้ยังพลอยโดยบ่นไปอีกว่ากาแฟมันร้อนกว่าเมื่อวาน ทั้ง ๆ ที่อุณหภูมิมันก็เท่านี้อยู่ทุกวันเป็นประจำเสมอ ทำให้รัศมีหน้าห้องทำงานของเจนนี่ไม่มีผู้ใดกล้าย่างกรายเลยเพราะพวกเขารู้ว่าเธอกำลังหงุดหงิดแม้จะไม่รู้ว่าต้นเหตุของความหงุดหงิดนั้นคืออะไรและก็ไม่อยากที่จะรับรู้ด้วย!
ติ๊ง!
“มัมมี้คะ...ทำไมวันนี้ไม่ตอบติณณ์เลย” เธอถอนหายใจออกมาอีกครั้ง เพราะวันนี้ทั้งวันติณณ์เอาแต่ทักหาเธอไม่หยุดตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว
และมันก็เป็นเพราะว่าเธอหงุดหงิดเกินกว่าที่จะตอบ จึงปล่อยมันทิ้งเอาไว้แบบนั้นแต่เขาก็ยังคงทักมาหาเธออยู่ทุก ๆ ชั่วโมงจนเธอเริ่มที่จะรำคาญเขาเข้าให้แล้วจริง ๆ
หลังจากเมื่อคืนที่เจนนี่ได้ยินอย่างนั้นความหงุดหงิดมันก็เข้ามาแทนที่จนเธอรีบกดวางโทรศัพท์แทบจะทันทีเพราะไม่อยากฟังคำตอบจากปากคนของเธอเพราะเขาอาจจะหักหลัง
และผลปรากฏว่าเธอนอนไม่หลับตลอดแทบจะทั้งคืนเพราะไม่รู้ว่าเขาได้ทำอะไรอย่างที่เจ้าหล่อนคนนั้นได้ขอเอาไว้หรือเปล่า พาลให้เธอรู้สึกหงุดหงิดตัวเองไปด้วยที่ไม่รอฟังคำตอบก่อนแล้วค่อยกดวาง
และเธอจะให้โอกาสเขาได้อธิบายในวันนี้ที่จะได้พบกันในช่วงเวลาที่เธอพร้อมแล้วจะติดต่อไปเอง และถ้าเกิดว่าเขาทำมันขึ้นมาจริง ๆ เธอก็พร้อมที่โยนทิ้งอย่างไม่ใยดีแม้ว่าตอนนี้ตัวเองจะไม่เข้าใจความหงุดหงิดที่มันมากกว่าทุกครั้งที่เกิดขึ้นก็ตามที
เธอลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงและเดินออกไปจากห้องในทันทีโดยไม่สนใจเลขาที่อยู่หน้าห้องเลยว่ากำลังทำหน้าเหวอขนาดไหน เจ้าหล่อนพยายามเอ่ยรั้งเธอไว้เพราะอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าเธอจะต้องเข้าประชุม แต่ตอนนี้เธอไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรแบบนั้นหรอก และเธอก็ไม่แคร์ด้วยถ้าหากว่าพวกเขาจะมารอเธอเก้อเพราะตอนนี้อารมณ์ของเธอไม่ดีถึงขีดสุด
เธอขับรถออกไปจากบริษัทและมุ่งหน้าสู่ห้างสรรพสินค้าในทันทีเพราะมันคือทางเลือกระบายความเครียดของเธอที่ดีที่สุด
ร่างบอบบางของเธอเดินจับจ่ายใช้สอยเพื่อบรรเทาความหงุดหงิดที่กำลังก่อตัว และไม่น่าเชื่อว่าเธอจะสามารถผ่อนคลายลงได้จริง ๆ เพียงแค่ได้ซื้อเสื้อผ้าที่ออกคอลเลกชันใหม่พวกนี้เพียงแค่ไม่กี่ล้านบาทเท่านั้น
“ผมเอาของไปเก็บที่รถให้นะครับ”
“อืม...” เธอเอ่ยตอบรับพนักงานของห้างที่มาเดินถือของอยู่ที่ข้าง ๆ เธอโดยไม่ลืมจะยื่นส่งกุญแจรถให้กับเขา
เธอยังคงเดินต่อไปเรื่อย ๆ แม้ว่าตอนนี้เริ่มจะเมื่อยขาแล้วเต็มที ก่อนที่เสื้อผ้าสไตล์ของคนที่อยู่ในความหงุดหงิดของเธอนั้นจะเด่นหราขึ้นมาตรงหน้า และมันเป็นแบรนด์ที่รวบรวมทุกอย่างเอาไว้ด้วยกันไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า กระเป๋า หรือแม้กระทั่งรองเท้า
“สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับค่ะ” เสียงของพนักงานสาวเอ่ยทักทายขึ้นมาจนเธอเริ่มมีสติและพึ่งจะคิดได้ตอนนี้ว่าตัวเองเผลอลืมตัวและเดินเข้ามาด้านในแล้ว
พนักงานให้การต้อนรับเธออย่างดีและแนะนำสินค้าออกใหม่ต่าง ๆ ซึ่งเธอก็เดินดูอย่างสนอกสนใจพลางคิดไปถึงใบหน้าของใครอีกคนว่าถ้าหากแต่งตัวแบบนี้เขาจะต้องดูดีมากแน่ ๆ
“คอลเลกชันกระเป๋าสตางค์ของเราพึ่งออกมาใหม่เลยนะคะ และคอลเลกชันนี้มีความพิเศษเพราะสามารถใช้งานได้ทั้งชายแล้วก็หญิงที่อายุประมาณ 20 ต้น ๆ ไม่ทราบว่าคุณผู้หญิงสนใจอยากลองดูไหมคะ?” เธอหันไปสบมองพนักงานสาวที่ยกยิ้มออกมาด้วยความเป็นมิตรอย่างใช้ความคิด
“คือว่าฉัน...”
“สำหรับคุณผู้หญิงแล้วเนี่ย ถ้าเกิดซื้อให้เป็นของขวัญของแฟน เขาคนนั้นคงเหมาะกับคอลเลกชันของเรามาก ๆ แน่เลยค่ะ” เจ้าหล่อนยังยกยิ้มอย่างเชียร์ขายเต็มที่
ว่าแต่เมื่อกี้หล่อนพูดว่าแฟน...อย่างนั้นหรือ?
“ไปลองเอามาให้ฉันดู”
“ได้เลยค่ะ...”
สุดท้ายเธอก็มานั่งอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์ของทางแบรนด์ และกำลังมองดูสินค้าต่าง ๆ ที่พนักงานต่างก็เอามาให้เธอเลือกสรร
ซึ่งพอเธอรู้ตัวอีกที...เสื้อผ้าสไตล์ของติณณ์ก็มากองอยู่เต็มโต๊ะแล้ว และตอนนี้เจ้าหล่อนคนนี้ก็ยังคงยกยิ้มและเสนอสินค้าต่าง ๆ ให้กับเธอต่อ และแปลกที่เธอก็นั่งฟังแต่ละอย่างแต่ละชิ้นอย่างตั้งอกตั้งใจ จนเผลอหลงลืมไปแล้วจนหมดว่าตัวเองกำลังโกรธเคืองใครอีกคนอยู่
“กระเป๋าสตางค์รุ่นใหม่ที่พึ่งออกมาเมื่ออาทิตย์ก่อนค่ะ ขอทราบรายละเอียดหน่อยได้ไหมคะว่าแฟนของคุณผู้หญิงอายุประมาณไหน เดี๋ยวพรีมจะได้แนะนำสินค้าได้ถูกจุด” เจ้าหล่อนยกยิ้มออกมาอีกครั้ง
และมันทำให้เธอมองดูสินค้าต่าง ๆ อย่างตั้งใจ โดยที่ไม่ได้เอะใจเลยกับคำพูดของพนักงานว่าใครอีกคนเป็นแฟนของเธอ ราวกับหลงลืมตัวเองไปแล้วว่าคำว่าแฟนเป็นคำที่เคยต้องห้ามสำหรับเธอมาเสมอ
“ขอดูใบนั้นหน่อย”
“ได้ค่ะ” เจ้าหล่อนยกยิ้มและหยิบยื่นสินค้าที่เธอสนใจมาให้อย่างเบามือ “คอลเลกชันนี้จริง ๆ แล้วยังไม่มีวางขายในประเทศไทยนะคะ เป็นเพียงสินค้าตัวอย่างที่นำมาตั้งโชว์เท่านั้น ราคาเริ่มต้นใบละ 399,000 บาท แต่ใบนี้ที่คุณผู้หญิงเลือกเป็นรุ่นพิเศษที่ผลิตเพียงแค่เก้าใบในโลก จึงมีราคาอยู่ที่ 786,990 บาทค่ะ”
เธอพลิกกระเป๋าสตางค์ที่มีลวดลายและสีสันที่สวยงามและมองดูมันไปรอบ ๆ พลางคิดไปถึงเมื่อคราวที่อีกคนได้ใช้มัน มันเป็นสไตล์แบบที่ติณณ์ชอบ เรียบหรูแต่ว่าดูมีระดับ เหมือนกับตัวเขาที่ภายนอกไม่มีอะไรโดดเด่นแต่ภายในทำเอาเธอใจเต้นได้อยู่เสมอ แอบคิดไปถึงใบหน้าของใครอีกคนเมื่อตอนดีใจที่จะได้รับมันเลย
ต้องยิ้มจนตาปิดเหมือนเวลาอ้อนเธอแน่ ๆ
“ฉันเอาใบนี้แหละ แล้วก็จัดการที่ฉันเลือกมาทั้งหมดด้วย”
“ยินดีให้บริการค่ะคุณผู้หญิง” หล่อนลุกออกไปจากโต๊ะและไปจัดการของต่าง ๆ ที่เธอเลือกซื้อเอาไว้ก่อนหน้า พลางสายตาของเธอก็เงยขึ้นไปสบกับนาฬิกาและพบว่าเธอช้อปเพลินจนเลยเวลาเลิกงานมาหลายชั่วโมงแล้ว
มือบางคว้าโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าของตัวเองขึ้นมามองดู ก่อนจะเห็นว่ามีการแจ้งเตือนจากติณณ์อีกหลายข้อความ เธอเปิดอ่านมันทุกอย่างแต่ก็ไม่ได้คิดที่จะตอบอะไร พลางเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าอีกครั้งเมื่อพนักงานคนเดิมเดินออกมาพร้อมกับใบเสร็จ
“คุณผู้หญิงมีบัตรสมาชิกหรือยังคะ? ถ้าสมัครวันนี้ลดทันที 30% เลยนะคะ”
“ไม่เป็นไร” เธอตอบกลับไปพลางยื่นแบงก์ที่มีหน้าของเธออยู่บนธนบัตรให้กับพนักงาน
“เอ่อ...” แต่เจ้าหล่อนกลับทำใบหน้าเหลอหลาราวกับว่าเธอยื่นแบงก์ปลอมให้อย่างไรอย่างนั้น
“พนักงานใหม่สินะ ไปเรียกผู้จัดการของเธอมา”
“รอสักครู่นะคะ” เจ้าหล่อนก้มหัวรับ ก่อนจะเดินเข้าไปทางหลังร้านให้เธอได้แต่นั่งคอยอย่างเริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้งที่อะไร ๆ วันนี้มันก็ขัดใจเธอไปเสียหมด
“ตาย ๆ ทำไมเธอไม่เรียกฉันตั้งนานแล้วพรีม!” เสียงสาวประเภทสองดังขึ้นมาแต่ไกลก่อนที่เจ้าหล่อนจะเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของเธอ “สวัสดีค่ะคุณเจนนี่ ทำไมไม่เรียกหาซู่ซี่ล่ะคะ?”
“หน้าที่ของฉันคือการเรียกหาเธอหรอกหรือ...” เธอตอบกลับไปอย่างเริ่มหงุดหงิดใจ มัวแต่นั่งอู้งานอยู่ล่ะสิไม่ว่า เธอเข้ามาในแบรนด์นี้เป็นชั่วโมงแล้วพึ่งจะได้เห็นว่าเจ้าหล่อนออกมาจากหลังร้านนี่แหละ
“ซู่ซี่ขออภัยแทนพนักงานใหม่ด้วยนะคะ หล่อนพึ่งมาทำงานได้เมื่อเดือนก่อน ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าธนบัตรใบนั้นมีค่ามากขนาดไหน” ทั้งสองรีบขอโทษขอโพย โดยคนที่ชื่อซู่ซี่อะไรนั่นก็บังคับพนักงานใหม่ให้โค้งหัวเพื่อขอโทษเธอเป็นการใหญ่
“ทีนี้ฉันไปได้หรือยัง?”
“เชิญเลยค่ะคุณเจนนี่ เดี๋ยวซู่ซี่ให้เด็กเอาของไปไว้ที่รถให้นะคะ” ไม่รอให้หล่อนพูดจบ เธอก็เดินจากออกมาในทันที
โดยมีพนักงานชายที่เดินตามหลังเธอมาติด ๆ พร้อมกับข้าวของสัมภาระที่เธอซื้อไปฝากให้กับใครอีกคน ที่คงจะไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยว่าเธอกำลังหงุดหงิดเขาอยู่จนเผลอประชดซื้อของให้เยอะแยะมากมายขนาดนี้
“คุณซู่ซี่คะ ทำไม...”
“ไม่ต้องถามอะไรมาก รู้แค่ว่าเงินนั่นมีค่ามากกว่ามูลค่าสินค้าเป็นสิบ ๆ เท่าก็พอ”
“ทำไมถึง...”
“คุณเจนนี่เธอเป็นเจ้าของห้าง เธอผลิตแบงก์ขึ้นมาเพื่อใช้สำหรับในห้างของเธอเอง โดยที่แบงก์นั้นเพียงแค่หนึ่งใบ มีมูลค่ามากถึงใบละหนึ่งล้านเลยทีเดียว!”
“โห! แล้วเธอให้มาตั้งสามใบ!”
“รีบ ๆ เอาเงินนี้ไปแลกที่ชั้นบนสุดของห้าง ค่าคอมมิชชั่นของเธอหารกับฉัน 30% เพราะดันไปเสียมารยาทกับคุณเขาเสียได้!”
ไม่นานร่างของเธอก็มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าคอนโดของตัวเอง โดยที่รปภ.เมื่อเห็นว่ารถของเธอขับเข้ามาแล้วเขาก็มักจะเข้ามาถามไถ่เพื่อช่วยเหลือเธออยู่เสมอ และวันนี้เธอก็ดันต้องการคนช่วยอยู่พอดี เพราะดันซื้อของมาเสียเต็มไม้เต็มมือจนคิดไม่ออกเลยว่าจะถือคนไปเดียวได้อย่างไรหากไม่มีใครช่วย
ลิฟต์ถูกเปิดออกยังชั้นบนสุดของคอนโด ซึ่งทั้งชั้นนี้มีห้องของเธออยู่เพียงแค่ห้องเดียวเพราะต้องการความเป็นส่วนตัว สองขาก้าวออกมาจากลิฟต์อย่างไม่เร่งรีบ แต่แล้วคนที่ยืนอยู่หน้าห้องก็ทำให้อารมณ์ความหงุดหงิดและความขุ่นมัวของเธอหายไปแล้วจนหมดสิ้น
ราวกับว่าเรื่องที่เธอเคยขุ่นเคืองเขา...มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย
“มัมมี้คะ...ติณณ์กลับมาแล้ว”
“…”
“บี๋คิดถึงมี้จนแทบแย่ เรามาสานต่อเรื่องของเราที่คั่งค้างกันเมื่อคืน ดีไหมคะ?”