จอมขวัญเลิกเรียนแล้วก็ได้นั่งรถไฟฟ้ากลับมาถึงบ้านย่านสาทร แต่เมื่อกลับมาถึงบ้านก็ต้องใจหายและตื่นตกใจมากกับสภาพของบ้านหลังใหญ่ที่ตัวเองอาศัยอยู่มาตั้งแต่เด็ก ภาพเบื้องหน้าที่เห็นคือคนงานกำลังเก็บข้าวของเตรียมตัวย้ายของออกจากบ้าน
“แม่คะ นี่มันเกิดอะไรขึ้นทำไมมีคนมาขนข้าวของของเราออกจากบ้านละคะ” จอมขวัญถามแม่ด้วยความตกใจ
“จอมเราไม่เหลืออะไรแล้วลูก บริษัทของคุณพ่อขาดทุนกำลังจะปิดกิจการลง เราต้องขายบ้านหลังนี้ทิ้งจะได้มีเงินส่วนหนึ่งเหลือไปซื้อบ้านหลังเล็กแถวชานเมืองอยู่กัน” แม่ของจอมขวัญบอกลูกสาว
“แล้วป้าดาวละคะแม่ แม่ไล่ป้าดาวออกด้วยเหรอคะ” จอมขวัญถามถึงนางดวงดาวพี่เลี้ยงของตัวเอง
“ดาวเขาขออยู่กับเราต่อ โดยไม่ขอรับเงินเดือนเพราะเขาไม่รู้จะไปไหน เขาตัวคนเดียวไม่มีบ้านไม่มีครอบครัว แม่เลยต้องให้เขาอยู่กับเราต่อ ก็คงต้องขยับขยายหาทางกันอีกทีนะลูก ส่วนคนงานคนอื่นๆ แม่คงไม่สามารถจ้างเขาทำงานต่อได้” นางดรุณีบอกลูกสาวเสียงเศร้า
“แล้วเราต้องย้ายออกจากบ้านหลังนี้วันไหนคะแม่” จอมขวัญถามแม่ พยายามเรียกสติและทำใจยอมรับกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“ภายในอาทิตย์หน้านะลูก” นางดรุณีบอกลูกสาวเสียงเศร้าแต่พยายามฝืนใจทำเหมือนเข้มแข็งเพราะต้องเป็นหลักให้กับลูกและทุกคน
“แล้วพ่อละคะแม่ ไปไหน” จอมขวัญถามหาพ่อ
“พ่อออกไปจัดการธุระที่บริษัทแล้วก็คงเลยไปธนาคารด้วย หลังจากขายบริษัททิ้งแล้วเราคงพอมีเงินให้พอตั้งตัวได้ แม่เองก็คงต้องกลับไปทำงาน” แม่ของจอมขวัญบอกลูกสาว
“ค่ะแม่ จอมเองก็ใกล้จะเรียนจบแล้ว หลังจากนี้จอมก็จะลองสมัครงานดู ทำงานไปด้วยเหลือปีเดียวแล้วก็จะเรียนจบ” จอมขวัญบอกแม่
“แม่คุยกับป้าปรางไว้แล้วว่าจะให้จอมไปช่วยงานป้าปรางที่ร้านสปา ไว้ป้าปรางจะมาคุยด้วยตอนเราย้ายเข้าบ้านใหม่อาทิตย์หน้านะลูก” แม่ของจอมขวัญบอกลูกสาว
“แล้วป้าปรางจะให้จอมช่วยอะไรคะ จอมทำสปาไม่เป็นนะคะแม่” จอมขวัญบอกแม่กังวลเรื่องงานที่ต้องรับผิดชอบเหมือนกัน
“ป้าปรางบอกว่าจะให้จอมไปคุมบัญชีของร้าน แต่ถ้าจอมอยากทำสปาให้ลูกค้าด้วยป้าปรางจะส่งจอมไปเทรนอีกที แม่เห็นว่าป้าปรางให้โอกาส แม่เลยตอบตกลงส่วนแม่ก็จะกลับไปทำงานบริษัทอสังหาริมทรัพย์ดูแลหอพักให้ป้าปรางจะได้ช่วยคุณพ่อหาเงินอีกทางนะลูก ส่วนงานบ้านก็ให้ดาวเขาดูแลไป” นางดรุณีบอกลูกสาวถึงเพลนการใช้ชีวิตของครอบครัวในช่วงวิกฤตินี้ให้ลูกทราบ
“แล้วพ่อละคะแม่ พ่อจะทำใจได้หรือคะที่จะต้องมาเสียบริษัทไปแล้วพ่อจะทำอย่างไรต่อไป” จอมขวัญถามถึงพ่อของตัวเองด้วยความเป็นห่วงความรู้สึกของพ่อเหนือกว่าสิ่งใด
“พ่อก็ทุกข์ใจนั่นแหละ แต่เราก็ต้องยอมเสียบางอย่างเพื่อรักษาชีวิตที่เหลือ เราแบกรับค่าใช้จ่ายเงินเดือนพนักงานไม่ไหว บริษัทพ่อนำเข้าสารเคมี ยา ปุ๋ย และอุปกรณ์การเกษตรมาขาย พอเรานำเข้าไม่ได้ และสินค้าบางอย่างเราต้องหยุดขายเพราะเป็นของควบคุมเป็นสารเคมีผิดกฎหมายก็ทำให้ยอดขายของเราไม่มี สินค้าที่สต๊อกไว้ก็ขายออกไม่ได้ทุนหายหมด ไหนจะต้องแบกรับค่าใช้จ่ายเงินเดือนพนักงานอีก เมื่อทุกอย่างมันเป็นแบบนี้แล้วเราก็ต้องทำใจยอมรับ ขายในสิ่งที่ขายได้ออกไปก่อนเพื่อกลับมาตั้งหลักใหม่ให้สามารถลุกขึ้นสู้ได้อีกครั้ง พ่อเองก็กำลังหาทางตั้งหลักใหม่อีกครั้งนะลูก”
“ค่ะแม่” จอมขวัญรับคำเสียงเศร้า
เมื่อจอมขวัญคุยกับแม่เสร็จนางดวงดาวก็เดินเข้ามาถามจอมขวัญด้วยความเป็นห่วงว่าหิวข้าวหรือไม่
“คุณหนูจอม ป้าดาวไปตั้งโต๊ะให้นะคะหิวหรือเปล่าคะ” นางดวงดาวถามจอมขวัญด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรค่ะป้าดาว ป้าดาวอยู่ช่วยแม่เก็บของเถอะนะคะเดี๋ยวจอมจะขอไปอาบน้ำก่อน” จอมขวัญบอกพี่เลี้ยง
“แล้วคุณจอมไม่หิวเหรอคะ” ดวงดาวถามนายสาวด้วยความเป็นห่วง
“ช่วยกันเก็บของให้เสร็จแล้วค่อยกินพร้อมกันนะคะป้าดาว”
จอมขวัญอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็ลงมาช่วยแม่เก็บของจนเสร็จ เสร็จแล้วก็พากันกินข้าวเย็น แต่เย็นวันนั้นนายเดชาพ่อของจอมขวัญยังไม่กลับบ้าน
“พ่อยังไม่กลับมาหรือคะแม่” จอมขวัญถามแม่ด้วยความเป็นห่วงพ่อ
“คุณพ่อโทรมาบอกว่าออกไปคุยธุระต่อกับเพื่อนจะกลับมาไม่เกินสี่ทุ่มนะลูก จอมไม่ต้องเป็นห่วงพ่อหรอกหนูไปพักผ่อนเถอะลูก” แม่ของจอมขวัญบอกลูกสาวให้คลายกังวล
คืนนั้นเมื่อพ่อของจอมขวัญกลับมาถึงบ้านก็ได้พูดจาปรับทุกข์กับแม่ของจอมขวัญ
“ผมทำธุรกิจผิดพลาดทำให้คุณกับลูกต้องลำบากผมขอโทษนะคุณ ผมขายบริษัทและขายบ้านทิ้งเพื่อให้เราเหลือเงินไปซื้อบ้านใหม่หลังเล็กลงพออยู่กันเป็นครอบครัวเล็ก ๆได้ ตอนนี้ผมเองก็กำลังหาลู่ทางหาเงินอยู่ผมจะต้องเอาทุกอย่างที่เป็นของผมคืนมาให้ได้ สงสารก็แต่ยายจอมไม่รู้ลูกจะรู้สึกอย่างไร อยู่ดี ๆ พ่อแม่ก็ต้องมาหมดเนื้อหมดตัวแบบนี้” นายเดชาบอกภรรยาน้ำเสียงรู้สึกผิดและเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“ฉันกับยายจอมไม่เป็นไรหรอกค่ะ เราสองคนเข้าใจคุณนะคะ ชีวิตก็อย่างนี้แหละนะคะมีขึ้นมีลง” นางดรุณีบอกสามีน้ำเสียงหนักแน่นปลอบใจและให้กำลังใจ
“ผมอายุสี่สิบเจ็ดแล้วไม่มีบริษัทไม่มีงานทำ ถ้าผมไปสมัครงานเขาก็คงไม่จ้างผมแล้ว ผมอยากจะหาเงินสักก้อนเอามาเริ่มธุรกิจใหม่”
“ฉันคิดว่าคุณใจเย็นๆเถอะนะคะ ทำใจยอมรับค่อยๆ คิดค่อยๆทำ หาทางออกกันไปนะคะคุณ แม้ว่าครอบครัวของเราจะหมดสิ้นแล้วทุกสิ่ง แต่มันก็เป็นแค่ของนอกกายนะ วันนี้เรายังเหลือชีวิต ถนอมชีวิตที่เหลือของเราเอาไว้แล้วค่อยหาโอกาสลุกขึ้นสู้กันต่อนะคะ” นางดรุณีพูดและจับมือสามีไว้ ในม่านดวงตามีความเชื่อมั่นเด็ดเดี่ยวพร้อมที่จะสู้และอยู่เคียงข้างสามีของตัวเอง
“ขอบใจนะคุณที่ให้กำลังใจผม ไม่พูดจากล่าวโทษและยืนเคียงข้างผมในวันที่ผมล้มลง ผมห่วงก็แต่ยายจอมขวัญลูกสาวของเรากลัวแกต้องมาลำบาก” นายเดชาพูดกับภรรยา
“ไม่ต้องห่วงยายจอมหรอกค่ะคุณ อีกปีเดียวก็จะเรียนจบแล้ว ฉันจะพาลูกไปฝากให้ทำงานกับพี่ปรางรุ่นพี่ที่ฉันนับถือมาก ยายจอมจะได้ทำงานเป็นและมีรายได้ช่วยเหลือตัวเองได้ ตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะไปหาพี่ปรางเลย” นางดรุณีบอกกับสามี
“แล้วยายจอมลูกสาวเราจะไหวเหรอคุณ ลูกเราเรียนบัญชีแต่รุ่นพี่ของคุณเปิดร้านสปาและความงามจะให้ลูกเราไปช่วยงานในส่วนไหนกัน อีกอย่างลูกเรียนปีสุดท้ายแล้วจะกระทบกับการเรียนของลูกหรือเปล่า” นายเดชาพูดน้ำเสียงเป็นห่วงลูกมาก
“ก็คงต้องค่อยๆ เรียนรู้งานกันไป จะให้ทำยังไงได้ยายจอมโตแล้วต้องสอนให้ลูกทำงานเขาจะได้เอาตัวรอดได้ พี่ปรางเมตตายายจอมมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ขอตัวไปช่วยงานแบบนี้คงคิดว่าสอนงานกันได้นะคะคุณ”
“ถ้าคุณวางใจแบบนั้นผมก็ไม่ขัดข้องอะไร” นายเดชาพูดสีหน้าบ่งบอกให้รู้ถึงความทุกข์ใจที่เก็บซ่อนไว้ข้างในแต่ก็ซ่อนไว้ไม่มิด