ฉันกำลังนั่งพับเสื้อผ้าตาหนูอยู่ในห้อง จู่ๆ คะนิ้งพี่สาวต่างสายเลือดที่เป็นห่วงเป็นใยฉันเหมือนพี่สาวแท้ๆ ก็เปิดประตูพรวดเข้ามาด้วยใบหน้าแตกตื่น
“เพนนี!”
“มีอะไร” ฉันเห็นสีหน้าไม่สู้ดีนั่นแล้วก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ รู้สึกเหมือนเกิดเรื่องอะไรสักอย่างขึ้นแต่ฉันขี้เกียจจะเดา ก้มลงพับผ้าในมือต่อ
“ฮาน... ฮานรถชน!”
ชื่อของผู้ชายคนนั้นทำให้มือที่กำลังพับผ้าชะงักกึก ฉันมองเนื้อผ้าที่วางไว้บนตักนิ่ง ยอมรับว่าตกใจแต่ก็ไม่ได้ร้อนรนอะไรมากมาย แต่เพราะสายตาคาดหวังของคะนิ้งที่จ้องอยู่ที่ประตูทำให้ฉันต้องพูดอะไรสักอย่าง
“เหรอ แล้วเป็นยังไงบ้าง”
“ตอนนี้อยู่ห้องฉุกเฉิน ริกกี้เพิ่งโทรมาบอกเมื่อกี้”
“อ่อ…”
ฉันพยักหน้ารับรู้แล้วพับผ้าต่อ คะนิ้งมองท่าทางนิ่งเฉยของฉันด้วยสีหน้าสับสน
“เพนนี… ทำไมเธอ”
“ฉันไม่สนใจหรอก จะรถชน แขนหัก ขาหัก หรือตกน้ำตายมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันแล้ว”
ฉันพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา แอบรู้สึกรำคาญคะนิ้งนิดหน่อยที่เอาเรื่องนี้มาบอก ยัยนั่นทำอย่างกับว่าฉันจำเป็นต้องรับรู้เรื่องของผู้ชายคนนั้นอย่างนั้นล่ะ ก็แปลกดี เมื่อก่อนยังบอกให้ฉันเลิกคิดเรื่องเขา แต่พอฉันเลือกจะไม่สนใจจริงๆ เธอกลับเอาเรื่องของเขามากรอกหูฉันอยู่เนือยๆ
ตกลงต้องการอะไรจากฉันกันแน่ เฮ้อ!
โทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างๆ ดังขึ้น ฉันมองชื่อที่แสดงอยู่บนหน้าจอแล้วกดรับสาย
>>ลีไทน์
“…ค่ะพี่”
[พอดีพี่มาติวหนังสือแถวนี้ ก็เลยซื้อวาฟเฟิลแบบที่เพนนีชอบมาฝากด้วย]
“อ๊ะ กำลังนึกอยากกินอยู่พอดี”
[ฮ่าๆ]
“แล้วจะถึงตอนไหนเหรอ”
[อยู่บนถนนแล้ว แต่รถติด… สักสี่ห้าโมงเย็นน่าจะถึง]
“อ่อ ถ้าไม่รีบอยู่กินข้าวเย็นด้วยกันก่อนไหม เดี๋ยวนีจะได้บอกแม่ให้ทำกับข้าวเผื่อ”
[จะดีเหรอ พี่เกรงใจ]
“แล้วตกลงจะกินหรือเปล่า”
[กิน] ทันควัน
ฉันหัวเราะลั่น ทำให้ปลายสายหัวเราะตาม
[ฮ่าๆ ใครจะไม่อยากกินข้าวฟรีบ้างล่ะ]
“คร่า~ แค่นี้ก่อนนะ ถึงแล้วก็บีบแตรเรียกเดี๋ยวเปิดประตูให้”
[คร้าบ~ แล้วเจอกัน]
ฉันวางสายก่อนวางโทรศัพท์ลงที่เดิม รอยยิ้มบนใบหน้ายังไม่ทันจาง คะนิ้งที่จับตามองอยู่ที่เดิมมาสักพักก็เอ่ยขึ้น
“ลีไทน์เหรอ”
“อืม”
พี่ลีไทน์เป็นเพื่อนกับคะนิ้ง และยังเป็นติวเตอร์ที่รับสอนหนังสือตามบ้าน ช่วงที่ฉันกำลังสับสนคะนิ้งก็พาเขามาที่บ้านเพื่อให้เขาช่วยติวข้อสอบเข้ามหาลัยให้ฉัน แรกๆ ฉันต่อต้านแต่นานวันเข้าก็พ่ายแพ้ให้กับความปรารถนาดีของคนรอบข้าง ไม่ใช่แค่คะนิ้งหรือพี่ลีไทน์แต่ทั้งแม่ทั้งลุงต่างก็อยู่ข้างฉันคอยช่วยเหลือทุกอย่างจนฉันสามารถผ่านวันคืนที่มืดมนมาได้
…ทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นและไม่เดินทางผิด
นับว่าฉันยังโชคดีที่มีคนรักและพร้อมจะเข้าใจไม่ว่าจะทำอะไรพลาดมา
แต่ถ้าคนใกล้ตัวเป็นอีกแบบ… ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ชีวิตฉันจะเป็นยังไง
“ลีจะมากินข้าวเย็นที่บ้านเหรอ”
เสียงคะนิ้งทำให้ฉันเงยหน้าขึ้นจากกองผ้าตรงหน้า ความคิดที่ทับซ้อนอยู่ในหัวพลันอันตรธานไปอย่างรวดเร็ว
“ใช่ จะมากินข้าวเย็นด้วย” พูดเสร็จฉันก็ก้มหน้าลงเก็บผ้าที่พับแล้วใส่ตะกร้า คะนิ้งจ้องมาด้วยสายตาที่เหมือนจะพูดอะไรสักอย่างเรื่องพี่ลีไทน์แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดแต่เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นแทน
“ตกลงว่าจะไม่ไปโรงพยาบาลใช่ไหม”
ฉันขมวดคิ้วแต่ไม่ได้เงยหน้าขึ้น “ทำไมต้องไป”
“ไม่อยากรู้เหรอว่าเขาอาการเป็นยังไง”
“รู้แล้วยังไง ไม่เกี่ยวกันสักหน่อย”
“แน่ใจเหรอ” คะนิ้งมองท่าทีเย็นชาของฉันด้วยสายตาเป็นห่วงกลัวว่าฉันจะฝืนใจพูดแล้วทำให้ตัวฉันเองต้องเจ็บปวด ฉันไม่ได้ตอบอะไรคะนิ้งอีก ความเงียบที่เกิดขึ้นคือสัญญาณยุติบทสนทนาของเราทั้งคู่
“อืม งั้นพี่ไปนะ ฝากทักทายลีไทน์ด้วย อ้อแล้วก็เหลือวาฟเฟิลไว้ให้กินด้วยนะ ไปล่ะ”
ฉันเบิกตากว้าง มองคะนิ้งหมุนตัวเดินออกห่างประตูก่อนตะโกนถามอย่างประหลาดใจ
“รู้ได้ไงว่าพี่ลีไทน์เอาวาฟเฟิลมาฝาก”
ฉันจำได้ว่ายังไม่ได้พูดเลยนะ
“เมื่อเช้าเธอบ่นว่าอยากกินไม่ใช่เหรอ” คะนิ้งหันกลับมาตอบ
“ใช่… อ๊ะหรือว่าเธอบอกพี่ลีไทน์?”
“เมื่อเช้าไลน์คุยกันนิดหน่อย หมอนั่นถามถึงเธอ ฉันเลยบอกว่าเธอบ่นอยากกินวาฟเฟิล บอกเล่นๆ น่ะไม่คิดว่าจะซื้อมาจริง” คะนิ้งยักไหล่ สีหน้าทึ่งเล็กน้อย แต่ฉันอึ้งไม่น้อยหลังรู้ว่าเรื่องราวเป็นมายังไง พี่ลีไทน์เอาใจใส่ฉันมากจริงๆ มากจนฉันรู้สึกเกรงใจและไม่สบายใจไปพร้อมๆ กัน
“ดูท่าลีจะห่วงเธอน่าดูนะ ฉันเคยถามด้วยว่าคิดยังไงกับเธอ”
“เอ๊ะ…”
ฉันมองสบสายตาเป็นประกายของคะนิ้ง ในใจสั่นไหวเบาๆ ไม่ใช่ไม่เคยสงสัย แต่ฉันกลัวที่จะถามพี่ลีไทน์มากกว่า กลัวว่าถ้าเอ่ยออกไปแล้วจะทำให้เขาลำบากใจ
“ลีบอกว่าเธอเหมือนน้องสาวน่ะ”
“ห๊ะ?”
“ผิดหวังเหรอ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย”
“ฮ่าๆ ฉันดูออกน่า ถ้าเธอมีใจให้ลีป่านนี้พวกเธอสองคนเป็นแฟนกันไปแล้วล่ะ”
ฉันนิ่งเงียบ ไม่ได้ตอบอะไรออกไป
“ถึงได้ถามไงว่าจะไม่ไปดูฮานที่โรงพยาบาลหน่อยเหรอ”
“พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง” ฉันเสียงแข็งขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
“เปล่า… ถ้ามันไม่มีอะไรก็อย่าคิดมากสิ จะโมโหทำไม”
“ไม่ได้โมโหสักหน่อย”
ฉันหันกลับมาโดยไม่พูดอะไรอีก เก็บผ้าใส่ตะกร้าจนหมดก็ลุกขึ้นเอาตะกร้ามาวางไว้ข้างลิ้นชักตู้เสื้อผ้า ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินห่างออกไปเบาๆ ก่อนเงียบหายไปในที่สุด พอหันไปมองอีกทีคะนิ้งก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว
ปี้นนน
เสียงแตรที่หน้าบ้านทำให้ตาหนูที่กำลังถือบล็อกไม้รูปมอเตอร์ไซค์หันขวับ ฉันวางปากกาลง ยิ้มให้ตาหนูที่หันมาสบตาก่อนจะลุกขึ้นเดินมาอุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้น
“น่าจะเป็นลุงลีน่ะ”
ตาหนูไม่พูดอะไร แค่มองปากแม่แล้วก็เด้งตัวขึ้นลงอย่างพอใจที่จะได้ออกไปข้างนอก คงคิดมั้งว่าจะได้ไปเที่ยว แต่เสียใจด้วยจ้ะแม่จะพาไปแค่หน้าประตูรั้วเท่านั้น ฉันหอมแก้มลูกเบาๆ ระหว่างเดินออกมารับพี่ลีไทน์ เขาจอดรถไว้ข้างกำแพงด้านนอกเดินหิ้วของฝากมายืนรออยู่หน้าประตูรั้ว
“ไงตัวเล็ก”
พี่ลีไทน์ยื่นมือออกมาขออุ้มตาหนูทันทีที่เข้ามาในบ้าน ฉันส่งลูกให้เขาอุ้มอย่างไม่คิดมาก ตาหนูก็ไม่ได้ต่อต้าน ยอมให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี พอพี่ลีไทน์เอาตาหนูไปอุ้ม มือฉันก็ว่าง รับถุงของฝากจากเขามาถือ เดินนำเข้ามาข้างใน แม่กำลังเตรียมกับข้าวอยู่ในครัวเยี่ยมหน้าออกมาดู
“ลีไทน์มาแล้วเหรอ”
“สวัสดีครับน้าโย”
“จ้า ตามสบายนะ อีกเดี๋ยวกับข้าวก็จะเสร็จแล้ว”
“ครับ”
พี่ลีไทน์ไม่พูดมาก เขาแค่พยักหน้าให้แม่ฉันพร้อมกับยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ แม่เองก็ยิ้มตอบอย่างใจดีก่อนผลุบหายเข้าไปในครัว ไม่นานก็ได้ยินเสียงผัดซ่า…ซ่า… ตามมาพร้อมกับกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย
“นี่ทำอะไรอยู่เหรอ”
พี่ลีไทน์วางตาหนูลงที่หน้าบล็อกของเล่น เขานั่งลงข้างๆ ตาหนูแล้วหันมาทางฉัน
ฉันวางถุงขนมไว้บนโต๊ะใกล้ๆ เดินกลับมานั่งลงที่โต๊ะญี่ปุ่นซึ่งเอามากางชั่วคราว
“ทำงานส่งอาจารย์ ตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วเพิ่งจะมีเวลาทำ”
“อ่อ มีอะไรให้พี่ช่วยไหม”
“เล่นเป็นเพื่อนภามก็พอ” ฉันพยักพเยิดหน้าอย่างเป็นนัยๆ
“ฮ่าๆ ได้” พี่ลีไทน์หัวเราะเบาๆ พยักหน้าอย่างเข้าใจ ช่วยตาหนูหยิบตัวต่อลงบล็อกให้ถูกต้อง แต่แป๊บๆ ตาหนูก็เลิกสนใจคงเพราะว่าก่อนหน้านี้ก็เล่นบล็อกมาสักพักแล้วนั่นแหละ ตอนนี้ถึงได้ยกก้นป่องๆ ขึ้น (เป็นท่าลุกที่ต้องเอาก้นขึ้นก่อนแล้วมือยันพื้นเพื่อช่วยทรงตัว) ก่อนจะยืนได้แล้วสับขาที่ยังเป๋ไปเป๋มาไปทางที่ชงนม
“มะ… มา…ม”
เกาะโต๊ะได้ก็ขย่มตัวขึ้นลง หันมามองแม่ พลางชี้มือให้ดูว่าจะเอา ฉันส่ายหน้าต่อให้จะกำลังทำงานส่งอาจารย์แต่ก็แบ่งความสนใจครึ่งหนึ่งมาที่ลูกตลอด แม้ว่าตอนนี้จะมีพี่ลีไทน์ช่วยดูแต่ก็ใช่ว่าฉันจะละสายตาจากลูกได้จริงๆ
“ไม่ได้ เดี๋ยวก็ได้เวลากินข้าวแล้ว” ฉันบอกแต่เหมือนตาหนูไม่เข้าใจ ตบโต๊ะพลั่กๆ แล้วก็ร้องจะเอาไม่หยุด
“หิวเหรอตัวเล็ก” พี่ลีไทน์รีบเข้าไปอุ้มตาหนูออกห่างโต๊ะก่อนที่แกจะงอแงไปมากกว่านี้ ฉันจ้องตาหนูที่สาวมือเท้าไปทางโต๊ะชงนมอย่างเอาแต่ใจแล้วได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน
“มะ…”
แปะๆ
เสียงฝ่ามือเล็กๆ ฟาดเข้าที่หน้าพี่ลีไทน์
“อุก... ใจเย็นตัวเล็ก เดี๋ยวเราเข้าไปดูในครัวว่ามีอะไรกินบ้าง”
พี่ลีไทน์จับมือเล็กๆ นั่นเอาไว้แล้วพูดกับตาหนูเสียงกลั้วหัวเราะ เขาหันมามองฉันแวบหนึ่งพอเห็นว่าฉันไม่ได้ห้ามอะไร พี่ลีไทน์ก็พาตาหนูเดินเข้าไปในครัว
“หิวแล้วเหรอ...” ได้ยินเสียงแม่ร้องอย่างแปลกใจดังแว่วๆ แล้วก็บอกให้ไปล้างมือก่อน สักพักแม่ก็ตะโกนบอกฉันให้เรียกลุงมากินข้าว