อันติง | อดีตที่ฝังใจ

1362 คำ
“นรก” เมื่อฉันนั่งคิดถึงเหตุการณ์ในอดีต คำนี้ก็หลุดออกจากปากโดยไม่ได้ตั้งใจ จนมะนาวเพื่อนสาวคนสนิทเดินถือพาสปอร์ตมาใกล้ ๆ แล้วตีแขนฉันทันที “ว้าย... อันติง แกมาพูดเรื่องนรกบ้าบอคอแตกอะไรตอนจะขึ้นเครื่องบินห้ะ? ฉันกลัวนะ” “ฉันพูดถึงคนบางคนต่างหาก” ฉันตอบเรียบ ๆ พลางเบือนหน้ามองไปทางอื่น “อะไร แกดูไม่มีความสุขเลยนะ จะได้กลับไปเจอลูกสาวแล้วแท้ ๆ ยิ้มหน่อยสิ” “มะนาว ฉันมีความสุขนะที่ได้เจออันอัน แต่ฉันก็คงไม่มีความสุข ที่ได้กลับไปเจอผู้ชายนรกคนนึง” มะนาวรู้แบบนั้นก็ชะงักไปพักนึง ก่อนจะค่อย ๆ เผยยิ้มแห้ง ๆ ตอบฉัน “แก... มันผ่านมาสามปีกว่าแล้วนะ ถ้าจบดี ๆ ได้ก็จบดีๆเถอะ” เท่านั้นแหละ ฉันก็หันขวับจ้องหน้ามะนาวทันที ก่อนที่จะถ่ายทอดความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลออกมาผ่านแววตาที่แข็งกร้าว แค่ได้ยินว่าจบดี ๆ ฉันก็รู้สึกเจ็บ แค้น และเสียใจ ฉันจ้องมะนาวนิ่งและเขม็ง จนครั้งนี้เพื่อนสาวยิ้ม แล้วเอื้อมมือมาบีบไหล่ฉันแทน “แหะ ๆ แก... ใจเย็น ๆ ฉันแค่ไม่อยากให้แกโกรธแค้นอะไรผู้ชายคนนั้นอีก เขาเป็นมาเฟียเลยนะ” “ไม่มีทาง มาเฟียแล้วไง มาเฟียใหญ่แค่ไหนก็เคยมุดกระโปรงฉันมาก่อน ฉันไม่มีทางญาติดีกับคนพันธุ์นั้นหรอก!” มะนาวได้ยินแบบนั้นก็ยอมแพ้ หย่อนก้นนั่งที่เก้าอี้ข้าง ๆ ฉันหมดแรง ถึงแม้ตอนนี้สายตาเพื่อนสาวจะมองฉันด้วยความเป็นห่วงก็ตาม แต่ฉันไม่สนใจหรอก เพราะต่อให้ผ่านไปสิบปีสิบชาติ ฉันก็จะไม่ลืม วันที่เขาลังเลถามว่าลูกในท้องฉันเป็นลูกใคร วันที่เขาเฉยเมยกับฉัน ไม่แสดงความรับผิดชอบอะไรสักอย่าง จนฉันต้องระเห็จบากหน้าหนีอายมาคลอดที่เยอรมัน และส่งลูกกลับไปให้ครอบครัวเลี้ยงแบบนี้ สามปีแล้ว ไอ้ผู้ชายขี้ขลาด! ฉันโตกว่าเดิมและแข็งแรงกว่าเดิม ฉันจะไม่ยอมให้แกเสวยสุขกับผู้หญิงนางโรมของแกแน่ ลีออง 3 ปีที่แล้ว ฉันอันติง นักศึกษาแพทย์ปีหก กำลังวุ่นกับการขึ้นวอร์ราวน์คนไข้ ขึ้นชั้นปีนี้ฉันต้องปรับตัวเองมากมาย เพราะฉันต้องเรียนรู้และทำงานจริง เป็นหมอจริง ๆ รักษาคนจริง ๆ ที่โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง ความเครียดมันจึงโถมเข้ามาทับฉัน โดนรุ่นพี่ Intern ด่าสารพัด วงการหมอคนในอยากออก คนนอกอยากเข้า และใช่ ฉันคือหนึ่งในนั้น (ที่อยากออก!) แต่ครอบครัวฉันดันมีธุรกิจโรงพยาบาล และทำสายการบิน ซึ่งพี่ชายคนเดียวของฉัน พี่ติณห์ ก็รับหน้าที่ซีอีโอสายการบินไปแล้ว มันก็เลยเหลือแค่ฉันเนี่ยแหละ ที่ต้องเป็นหมอ สืบทอดกิจการโรงพยาบาลต่อจากแม่ “วอร์ดเมด (อายุรกรรม) ทำฉันเดี้ยงเลยแกเอ๊ย! ฉันมีงาน MC อีก คืนนี้จะรอดมั้ยนะ” ค่ะ คนนี้ที่บ่นอยู่ คือมะนาว เพื่อนสนิทนักศึกษาแพทย์ของฉัน ที่หาเงินเรียนเอง ใช้ชีวิตเองมาตั้งแต่เด็ก เพราะพ่อแม่ของเธอได้ทิ้งไว้กับยาย และยายก็ได้เสียไปแล้ว เฮ้อ แต่เพื่อนฉันก็ใฝ่ดีนะ หล่อนเรียนเก่ง ขยัน แล้วนี่อีกไม่กี่ปี ก็จะได้เป็นหมอสมใจแล้ว “ฉันเวรชันสูตร รุนแรงกว่าแกเยอะ” ฉันตอบเสียงเอื่อย เพราะเหนื่อย จนแทบอยากหอบหมอนกับฟูกมานอนมันตรงนี้ จนเพื่อนสนิทที่ดูดกาแฟถึงกับคายหลอดทันที แล้วทำหน้าพะอืดพะอมใส่ฉัน “เอิ่ม โชคดีนะ” “ก็หวังอย่างนั้น ขอให้ทุกอย่างราบรื่น” ฉันทิ้งท้ายกับมะนาวแค่นั้น ฉันก็พนมมือขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกป้องคุ้มครอง คุ้มครองในที่นี้ คืออย่าให้คนไข้ที่อยู่ในห้องสุขนิรันดร์ ได้ตามฉันกลับบ้านเลย จนถึงเวลาชันสูตร ฉันเดินตามพี่ Intern ไปที่ห้องนั้น ถือแฟ้มเตรียมเอกสารไว้จดรายละเอียดเต็มไม้เต็มมือ ถึงจะใส่มาสก์บอกเลยว่ากลิ่นมันตีจมูกมากฉันไม่ชอบความตายชะมัด และที่สุดคือไม่ชอบเห็นหน้าศพ แต่ก็ห้ามไม่ได้ ทันทีที่เปิดร่างฉันต้องทำหน้าที่ต่อไป และต้องฝืนใจตรวจ “จะมือสั่นทำไม! ถ้าแผลศพเปิดกว่านี้เสียรูปคดีหมด” “ขอโทษค่ะ” ฉันหลับตาปี๋ไปครู่ ข่มอารมณ์กลัวไว้สุด ๆ ก่อนจะสำรวจภายนอกของศพแทน เห็นมั้ย ว่าแค่มือโดนศพนิดเดียว แม่งก็โดนด่าแล้ว บ้าจริง! ปากพี่ Intern มีหมาอยู่กี่ตัวนะ “ศพเพศชาย อายุสามสิบปี มีรอยสักรูปปลาคาฟกลางหลัง เสียชีวิตเพราะถูกกระสุนเจาะเข้าที่กลางหน้าผาก สันนิษฐานว่าถูกฆาตกรรม” “ฆาตกรรมงั้นเหรอ? กระสุนและวิถีกระสุนเป็นยังไงบ้างหมอ” เจ้าหน้าที่ที่มารอผลถาม “กระสุน 9 มม. ฝังลึกและเป็นแนวตรง เสียชีวิตทันที คงถูกจ่อยิงครับ” พี่ Intern ให้การไป ส่วนฉันก็จดรายละเอียดลงไปด้วย คนสมัยนี้โหดร้ายกันจัง จ่อยิงกันเป็นว่าเล่น และหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็พลิกตัวศพช้า ๆ หารอยฟกช้ำอีก และแน่นอนว่ามีทั้งตัวและตรงท้ายทอย ที่ฉันเห็นว่าฮ้อเลือด ราวกับถูกของแข็งฟาด “มีร่องรอยถูกทำร้าย ชัดเจน” ฉันจดอย่างขมักเขม่น และมองตามพี่ Intern ที่ตรวจร่องรอยทีละจุด แต่พออยู่ไปสักพักกลิ่นฟอร์มาลินมันเริ่มฉุน และมันก็ฉุนจนฉันเริ่มรู้สึกขมคอขึ้นมา อึก! ข้าวเย็นที่เพิ่งกินกับมะนาว มันมาจุกที่คอหมดแล้ว! “อุ๊บ” ฉันยกมือปิดปากหันหน้าหลบ แต่เสียงนั้นทำทุกคนในห้องหันมามองเป็นตาเดียว โดนแน่ ๆ พี่ Intern ต้องด่าฉันอีกแน่ ๆ “อดทน อย่ามาโอกอากแถวนี้ เพราะมันจะบ่งบอกว่าคุณไม่ให้เกียรติคนตาย” “ขอโทษค่ะ หนูจะพยายาม” ฉันตอบหน้าเหยเก น้ำตาพล่าออกมาเต็มสองตา ยิ่งพลิกดูศพ กลิ่นก็ยิ่งแรง แถมฉันเริ่มขมคอและแสบตาอีกแล้ว แต่เมื่อฉันตัดสินใจก้าวถอยหลัง หันหลบทำใจเท่านั้นแหละ พี่ Intern ก็หันมาเรียกฉันอีก! “น้องจะหลบทำไม? มาชันสูตรต่อ เห็นจุดไหนผิดปกติบ้าง? ตรวจให้ละเอียด” จุดผิดปกติก็ตัวน้องนี่แหละค่ะ น้องจะไม่ไหวแล้วพี่ น้องจะอ้วกแล้ว! อยากให้น้องอ้วกใส่หัวพี่เหรอคะ? “เฮ้! มีสติหน่อยสิ ทำงานแค่นี้ไม่ได้จะเป็นหมอได้ไง” สายตาทุกคนในห้องจ้องมาที่ฉัน มันไม่มีใครอยากอยู่ในห้องนี้นาน ฉันเข้าใจ แต่อิก้อนข้าวที่มันจุกอยู่ในคอฉันจัดการไม่ได้ และฉันก็ทนมองศพต่อไปไม่ไหวแล้ว จนฉันก้าวถอยหลังอย่างชั่งใจ ภายใต้สายตางุนงงของพี่ Intern และเจ้าหน้าที่ “น้องจะไปไหน?” พี่ Intern ถาม “อุ๊บ คือ คือ...” “จะไปไหน? งานยังไม่เสร็จ” กูรู้แล้ว! อยากพูดไปแบบนี้แต่มันดูไม่น่ารัก ฉันจึงพยายามยกมือปิดปากและละสายตาไม่มอง เพื่อหลบสิ่งที่มันไม่พึงประสงค์รอบ ๆ ตัว “น้องกลับมา จะไปไหน!” “พี่คะหนูขอเวลา สักครู่” “จะไปไหน?” “อุแหวะ! ไปอ้วกสิไอ้บ้า! ไม่ไหวแล้ว” ‘โครม’ ฉันโยนแฟ้มเอกสารลงเตียงสแตนเลสเปล่า ๆ ในห้อง แล้วเปิดประตูวิ่ง ดุ่ม ๆ ออกมาจากห้องสุขนิรันด์ทันที ก่อนที่จะเลี้ยวซ้ายเปิดประตูออกไปข้างนอก หยุดที่จุดรับศพ แล้วโก้งโค้งเอาทุกอย่างในคอออกมา! “อ้วก... แค่ก ๆ อ้วก...” ‘หมอคนนี้เหรอครับนาย?’ ‘เออ! ยัยคนที่อ้วกแตกคนนั้นแหละ ไปจับตัวมา!’
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม