ความรู้สึกอันเลือนลาง ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างอย่างแปลกประหลาด พิรุณเหมือนจมอยู่ในหมอกควันขมุกขมัว มองไปทางไหนก็มีแต่สีดำมืดไปหมด
ร่างของพิรุณนอนราบไปกับอะไรบางอย่าง หน้าท้องของเขาใหญ่กว่าที่จำความได้หลายเท่า ดวงตาของเขาพร่าเบลอเหมือนคนสายตาสั้น มองไปทางไหนก็ไม่ชัด
"พี่อภัย..นั่นพี่อภัยหรือ.."
เสียงทุ้มนุ้มถามขึ้นทันทีเมื่อเห็นเงาของร่างสูงจางๆท่ามกลางหมอกควัน แม้จะเห็นหน้าอีกคนไม่ชัดแต่เขาก็พอจะเดาได้ว่าคนตรงหน้าคือใคร
"พี่จะทำอะไร?"
ร่างสูงของพระอภัยเดินมาหยุดอยู่ข้างๆเขา ก่อนที่เจ้าตัวจะลงมือผ่าท้องของพิรุณออก มือหนาล้วงเอาเด็กในท้องออกมาจนเลือดซึมไปทั่วบริเวณ พิรุณตกตะลึงกับภาพที่เห็นอย่างมาก
เขากลัว กลัวไปหมด
"น้องพิรุณ เป็นอะไรไป"
เจ้าของชื่อลืมตาขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก พิรุณหยัดตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว หัวใจเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ มันถี่เร็วระรัวเหมือนกลองชุด
พิรุณหอบหายใจหนัก เขาเลื่อนสายตามองไปยังคนข้างกายที่ตอนนี้เองก็มีสีหน้าตกใจไม่ต่างจากเขา
"ฝะ..ฝันหรอ"
ภาพอันน่าสยดสยองเมื่อครู่คือฝันงั้นหรือ ภาพที่พระอภัยผ่าท้องของเขาเพื่อเอาลูกออกไป ยังคงติดตาเขาไม่หาย ร่างเล็กถึงกับรีบเอามือกุมท้องตัวเองเพื่อตรวจสอบ และเขาก็พบว่าลูกของตัวเองยังอยู่ดีในนี้
"น้องพิรุณฝันร้ายหรือ"
ร่างสูงถามอย่างฉงนใจ คนตัวเล็กกว่าใบหน้าซีดเซียวมีเหงื่อผุดตามกรอบหน้า
ก่อนหน้านี้ที่พระอภัยนอนอยู่ จู่ๆเขาก็สัมผัสได้ถึงแรงขยับเขยื้อนอย่างแรงจากอีกคน เขาจึงได้ลืมตาขึ้นพร้อมกับลุกมาดูอาการของคนข้างกาย พิรุณมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ทั้งยังดิ้นไปมาเหมือนจะพยายามสบัดอะไรสักให้อย่างออกจากตัว
ตอนแรกเขาก็นึกว่าอีกคนโดนผีเข้าซะอีก แต่พอเจ้าตัวบอกว่าฝัน เขาก็คิดได้ทันทีว่าพิรุณอาจจะฝันร้าย
"ชะ..ใช่ พี่อภัยเมื่อครู่เราฝันร้ายมากเลย เราฝันว่าพี่ผ่าท้องเอาลูกเราไป ไม่เอานะพี่ อย่าทำแบบนั้นกับเรานะ"
ดวงตาสีแดงเข้มสั่นระริกอย่างกังวล ตอนนี้อารมณ์ของคนท้องเข้าเล่นงานเขาอีกแล้ว ความเครียดสะสมและความเหนื่อยล้าทำให้เขาคิดมากจนเก็บไปฝัน ถึงแม้จะรู้ว่ามันเป็นแค่ฝัน แต่เขาก็อดคิดมากไม่ได้อยู่ดี
ร่างสูงเห็นพิรุณตัวสั่นอย่างลูกนกก็เกิดเป็นห่วงขึ้นมา เขาดึงอีกคนเข้ามาหาพลางลูบหัวปลอบประโลมเบาๆ
เขาเองก็ค่อนข้างตกใจกับเรื่องราวในฝันของอีกคนไม่น้อย แม้พิรุณจะไม่ได้เล่ารายละเอียดแต่จากที่ฟังมาคร่าวๆแค่นี้มันก็น่ากลัวมากพอแล้ว
"ขวัญเอ้ยขวัญมา มันเป็นแค่ฝัน พี่ไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอกเชื่อพี่สิ"
ร่างสูงพูดปลอบอีกคนเสียงอ่อน ทางพิรุณเองตอนนี้ก็ค่อยๆอาการดีขึ้นเรื่อยๆตามลำดับ
"เรารู้ว่าพี่จะไม่ทำ..แต่เราตกใจ"
"แล้วตอนนี้ดีขึ้นหรือยัง"
"ดีขึ้นมามากกว่าเดิมแล้ว"
พิรุณว่าพลางยิ้มบาง ใบหน้าเหนื่อยอ่อนจากความเครียดสะสมทำให้เขาสภาพทรุดโทรมลงอย่างเห็นได้ชัด ในโลกเก่าที่พิรุณจากมาเหมือนจะมีการวิจัยออกมาด้วยว่าเมื่อคนท้องจะมีความเครียดสูงจากเดิมมากกว่าปกติและมีโอกาสเป็นโรคซึมเศร้า
พิรุณจึงคิดว่าตอนนี้ตัวเองน่าจะได้รับเอฟเฟคนั้นมาบ้างแล้ว
"ขอบคุณมากพี่อภัย แต่เราคิดว่าเราคงอยู่ที่นี่ตลอดไม่ได้แล้วล่ะ"
"น้องหมายถึง?"
"เราว่าเราย้ายไปอยู่บนฝั่งกันดีกว่า อยู่นี่โภชนาการไม่สมบูรณ์เอาซะเลย เรากลัวว่าลูกจะออกมาไม่แข็งแรงนี่สิ"
พิรุณพูดทั้งที่ยังซบอกอีกคนอยู่ เขารู้สึกว่าการได้อยู่ใกล้ๆพระอภัยจะทำให้ความเครียดและความกังวลใจของตัวเองสลายไปได้หลายส่วน พิรุณมีพระอภัยเป็นดั่งที่พึ่งทางใจ เพราะยังไงตลอดมาเราก็อยู่กันแค่2คนมาตลอด
กลิ่นอายทรงอำนาจและความอบอุ่นจากตัวร่างสูงทำให้เขาสบายใจเหลือเกิน หรือนี่จะเป็นอาการติดพ่อของลูกแบบที่แม่ๆหลายคนเป็นกัน?
นัยน์ตาสีบุษราคัมหลุบมองคนตัวเล็กกว่าที่ซบอกเขานิ่ง อีกคนดูเหมือนกับลูกแมวน้อยไม่มีผิด แก้มเนียนซบลงกับอกของเขาจนซาลาเปาลูกนั้นบู้บี้ แต่มันก็ดูน่ารักมิหยอก
พระอภัยเปิดใจให้อีกคนมากขึ้นเป็นเท่าตัวหลังจากที่มั่นใจแล้วว่าพิรุณคนนี้คือคนละคนกับผู้ที่จับตัวเขามาก่อนหน้า แม้เขาจะไม่ได้รักชอบอีกคนอย่างเต็มหัวใจ แต่ความรู้สึกอยากปกป้องดูแลคนตัวเล็กๆคนนึงมันก็คงไม่มากเกินไปสำหรับคนที่พึ่งรู้จักกันใช่มั้ย
"พี่อภัย น้องจะกลับร่างยักษ์แล้วนะ"
"อื้ม.."
"ถ้ามันน่าเกลียดมากก็ไม่ต้องพูดถึงละกัน ดูแต่ตา ปากอย่าอ้า"
พิรุณพูดดักไว้ก่อนเพราะเขาไม่อยากจะให้ใครมาบูลลี่เรื่องหน้าตาของตัวเองในร่างยักษ์ บทบรรยายบอกว่าพิรุณในร่างผีเสื้อสมุทรน่าเกลียดน่ากลัว แม้เขาจะไม่เคยเห็น เขาก็ไม่คิดว่ามันจะแย่สักเท่าไหร่หรอก
ร่างของพิรุณค่อยๆแปรเปลี่ยนสภาพไปทั้งแบบนั้น ดวงตาคู่คมจับจ้องอีกคนนิ่งเขามองการเปลี่ยนแปลงของอีกคนไปเรื่อยๆพลางสำรวจอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
เส้นผมสีดำเงาก่อนหน้าเปลี่ยนเป็นเส้นแพรไหมสีปีกกายาว มันกระจัดกระจายดูไม่เรียบร้อยเท่าไหร่นัก บางส่วนเองก็ตกลงปรกหน้าเจ้าของอีกต่างหาก
ใบหน้าอ่อนหวานกาลก่อนกลายเป็นแบบที่ดูเป็นผู้ใหญ่ยิ่งขึ้น ดวงตาสีแดงเข้มไล่เฉดจนแดงอย่างเลือดสด จมูกจิ้มลิ้มเองก็ดูโด่งขึ้นมาเป็นทรง ริมฝีปากยังคงบางกระจับ หากแต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดคงเป็นเขี้ยวทั้งสองที่งอกขึ้นมาพร้อมกับไพรเหงือกข้างแก้มนี่แหละ
อะไรไหนว่าน่าเกลียด ก็ดูได้หนิ
ทางพิรุณเองที่เห็นว่าอีกคนเงียบไปก็ลองๆจับใบหน้าตัวเองดูครู่หนึ่ง เขารู้สึกได้ถึงเขี้ยวที่งอกขึ้นมาสองข้าง ให้ความรู้สึกแปลกไม่น้อย
"มันน่าเกลียดขนาดนั้นเลยหรือ"
เสียงทุ้มนุ่มกล่าวแผ่วเบาเมื่อเห็นอีกคนมองมานิ่งๆ ถึงจะเป็นเขาเองที่บอกให้อีกฝ่ายห้ามพูดก็เถอะ แต่เขาก็อยากจะถามความเห็นจากอีกคนอยู่ดี
"นี่เปลี่ยนร่างแล้วหรอ"
"ทำไม?"
"ไม่ค่อยจะต่างจากก่อนหน้าเท่าไหร่ แค่มีเขี้ยวกับไพรเหงือกงอกขึ้นมา"
"อ่าว แล้วแบบนี้พิรุณจะใช้ร่างแปลงแต่แรกทำไมล่ะ"
"ไม่รู้สิ เก็บเขี้ยวมั้ง"
ร่างสูงว่าอย่างไม่ใส่ใจนัก ต่างจากพิรุณที่อยากจะเห็นหน้าของตัวเองใจจะขาด แถวนี้แน่นอนว่าไม่มีกระจกให้เขาส่อง เขาจึงไม่รู้ว่าใบหน้าของตัวเองเป็นยังไง
ร่างโปร่งค่อยๆขยับตัวออกจากอีกคน สองขายืนขึ้นก่อนจะเดินออกไปตรงปากถ้ำ พิรุณไม่เคยใช้พลังอะไรเลยของผีเสื้อสมุทร เขากลัวว่าถ้าเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมาเรื่องมันจะยิ่งยุ่งเข้าไปใหญ่
นับวันๆความทรงจำของผีเสื้อสมุทรก็ยิ่งเลือนลาง จากที่ตอนมาแรกๆมันชัดเจนจนทับซ้อน ตอนนี้กลับค่อยๆจางหายจนจำแทบไม่ได้
พิรุณค่อยๆหลับตาพลางจินตนาการว่าร่างนี้กำลังขยายใหญ่ขึ้น หากเขาต้องการจะข้ามมหาสมุทร เขาก็คงต้องปรับสภาพตัวเองให้สูงใหญ่พอจะยืนในน้ำได้
ร่างของพิรุณค่อยๆขยายใหญ่ขึ้น เขาลืมตามองพลางสอดส่องดูรอบข้างที่หดเล็กลงไปถนักตา
"พี่อภัยขึ้นมาสิ"
เมื่อดวงตาสีแดงทับทิมสดเหลือบไปเห็นร่างของพระอภัย เขาจึงแบมือให้อีกคนปีนขึ้นมาบนนั้น
ร่างสูงเองก็ทำตามโดยว่าง่าย เขาเดินขึ้นไปบนมือใหญ่ของพิรุณพลางมองร่างยักษ์ของอีกคนด้วยความแปลกใจ
"เป็นไงล่ะพี่อภัย เราเท่ใช่มั้ยล่ะ"
ยักษ์พิรุณว่าพลางยิ้มน้อยๆ เขาเดินแหวกมหาสมุทรไปทางฝั่งที่ใกล้ที่สุดเท่าที่จำความได้เพื่อส่งพระอภัยให้ถึงที่ก่อน
"พี่รอนี่ก่อนนะ เราจะไปเก็บของที่พอใช้ได้มาที่ฝั่ง"
พิรุณว่าพลางวางร่างของพระอภัยลงกับพื้นทรายชายฝั่ง ร่างยักษ์ค่อยๆกลับไปยังทะเลอีกครั้ง ส่วนพระอภัยก็มองสำรวจโดยรอบ
เกาะนี้อุดมสมบูรณ์อย่างไม่ต้องสงสัย แต่เขาคิดว่าหากจะตั้งบ้านอยู่กันจริงๆคงต้องหาทำเลที่ดีกว่านี้ ต้องมีที่ให้เพาะปลูก และอยู่ใกล้แม่น้ำ
ทางพิรุณใช้ผ้าผืนใหญ่มัดของรวมกับไว้เป็นกระจุกเพื่อที่จะได้หอบหิ้วไปง่ายๆ เขาวางของใช้ที่ไปกวาดเอามาอย่างลวกๆลงบนทรายหยาบ ก่อนจะหดตัวกลับเท่าเดิม
ทั้งคู่คุยกันเรื่องที่ตั้งของบ้าน พระอภัยบอกกับพิรุณเรื่องทำเลที่ควรตั้งที่อยู่อาศัย ทางพิรุณจึงได้ขยายตัวออกอีกครั้งเพื่อสอดส่องดูรองข้าง
"เราเจอที่โล่งๆติดลำธารแล้วพี่"
"งั้นพาพี่ไป"
พิรุณล่าสุดรับบทเป็นวินมอไซหอบหิ้วพระอภัยไปทุกที่ มือหนึ่งมีมนุษย์ยืนอยู่ ส่วนอีกมือก็หอบหิ้วของไว้ พิรุณคิดว่าร่างยักษ์ตอนนี้ของตัวเองช่างสะดวกสบายยิ่งนัก
ติดอยู่อย่างเดียว ก็ที่กลัวคนจะเห็นนี่แหละ แต่ดูจากสายตา แถบนี้ไม่มีที่พักอาศัยหรือบ้านคนอยู่เลย คงจะเป็นอิทธิพลจากผีเสื้อสมุทรนี่แหละที่ทำให้ทะเลแถบนี้ไม่กล้ามีคนล่องเรือผ่าน ไม่พอยังพาลมาไม่กล้าตั้งที่อยู่อาศัยอีก
"แล้วเรื่องบ้านจะทำยังไงล่ะ พี่เป่าปี่เสกบ้านได้มั้ย"
"จะบ้าหรอ ปี่พี่ไม่ได้เป็นของวิเศษขนาดนั้นสักหน่อย"
เมื่อทั้งคู่ไปถึงจุดหมายกันแล้ว พิรุณจึงหดตัวกลับลงเท่าเดิม ของใช้มีแล้ว เรื่องอาหารก็ไม่ต้องห่วง แต่ดันติดอยู่อย่างเดียว พวกเขาจะเอายังไงกับบ้านดี
"พี่อภัยสร้างบ้านเป็นมั้ย"
"เหมือนน้องลืมว่าพี่เป็นอดีตเจ้าชาย"
ไอ่บ้าเอ้ย พิรุณอยากทึ้งหัวตัวเอง ทั้งเขาทั้งพี่อภัยดันมาทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง แบบนี้จะใช้ชีวิตอยู่ให้รอดยังไงล่ะเนี่ย
"ไม่ใช่ว่าน้องควบคุมพวกพรายได้หรือไง ใช้งานพวกมันให้เป็นประโยชน์สิ"
"อันนั้นมันพิรุณคนก่อน เราทำเป็นที่ไหนเล่า"
"ทำไม่เป็นก็ทำให้เป็น เร็วเข้าก่อนที่จะมืด"
ทางพิรุณที่จู่ๆก็เหมือนต้องรับภาระอันยิ่งใหญ่ก็ต้องฮึ้ดสู้สุดใจ เขาเค้นความทรงจำของผีเสื้อสมุทรที่ตกผลึกอยู่ที่ก้นบึ้งความทรงจำออกมา เพื่อเรียกเหล่าพรายมาจัดการธุระให้เขา
มาขนาดนี้แล้ว ถอยกลับไม่ได้แล้ว
เป็นไงเป็นกันละวะ
ฮึ้บๆนะลูก!
น้องรับบทหญิงแกร่ง เจ้าตะเล็กแม่ลูกหนึ่งสู้ๆค้าบ?✌️