ชั่วโมงต่อมา...
หลังจากที่ทานอาหารเสร็จ ลูคัสก็เรียกภาคินเข้าไปคุยที่ห้องทำงาน ส่วน วรันยาก็ถูกดาหลาและกังศมาชวนไปคุยต่อที่นั่งเล่น กระทั่งเวลาล่วงเลยเข้าสู่สามทุ่มครึ่ง ก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้ต้องเตรียมตัวไปบ้านของอัสลาน ไคล์ แต่เช้า
เช้าวันต่อมา...เวลา 09:09 น.
วรันยาเดินทางไปร่วมงานหมั้นที่จัดขึ้นอย่างเรียบง่าย โดยมีผู้ใหญ่จากตระกูลไคล์และซานเตียนโน่ พูดคุย รับประทานอาหารและดื่มสังสรรค์กันด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ในขณะที่คาร่าเอาแต่ทำหน้าเคร่งเครียดจนเธอรู้สึกสงสาร
“เธอโอเคไหม?” วรันยาถามเมื่อมีโอกาสได้อยู่กับเพื่อนสองต่อสอง
“ไม่โอเคแล้วทำอะไรได้ล่ะ เฮ้อ...” คาร่าบอกพร้อมกับถอนหายใจอย่างเซ็งๆ ขณะเดียวกันก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าเหตุใดภัคคินัยถึงเอาแต่นิ่งเฉย ราวกับว่าเรื่องหมั้นหมายที่เป็นสัญญาผูกมัดระหว่างเธอกับเขานั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
“สรุปเรื่องราวเป็นมายังไง? พี่นัยเขา เอ่อ...”
“ไม่! เราไม่ได้มีอะไรกัน แต่ผู้ใหญ่ไม่เชื่อ” คาร่าบอกความจริงพร้อมกับถอนหายใจทิ้งอีกครั้ง
“แล้วทำไมเธอถึงไปนอนกับพี่นัยที่โรงแรม?” วรันยาอยากรู้สาเหตุ
คาร่าหันซ้ายหันขวาแล้วรีบดึงแขนเพื่อนสาวหลบมุมเข้าไปคุยเรื่องที่ได้พบเจอกับภัคคินัยมาเมื่อคืน “เรื่องทั้งหมดมันเป็นเพราะ...บลาๆๆๆ”
วรันยาได้ฟังถึงกับขนลุกซู่ขึ้นมาทั้งตัว ไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะมีอยู่จริง
อีกมุมหนึ่งของงานหมั้น...
“ไง! ติดใจน้องทอมเข้าแล้วสิ” ภาคินเอ่ยแซวแฝดผู้น้อง หลังเห็นอีกฝ่ายนั่งจิบไวน์ด้วยท่าทีไม่ทุกข์ร้อนอย่างที่ควรจะเป็น
“บ้า! คาร่าไม่ใช่ทอมสักหน่อย” ภัคคินัยรีบแก้เพราะไม่อยากให้อีกฝ่าย ถูกเข้าใจผิดๆ
“แหม...พิสูจน์มาแล้วสินะ” ภาคินแซวต่ออย่างอดไม่ได้
“เลอะเทอะน่าคิน เรื่องมันไม่ใช่อย่างที่ทุกคนเข้าใจหรอก” ภัคคินัยส่ายหน้ากับคำถามที่หากเป็นคนอื่นถาม ป่านนี้คงได้ลงไปนอนนับดาวอยู่บนพื้น
“ก็แล้วพาไปนอนด้วยทำไมวะ?”
“ขอไม่เล่าได้ไหม”
“ตามใจ! แต่รู้ใช่ไหมว่ากำลังทำอะไรอยู่” ภาคินเอ่ยเตือน
“อืม! รู้สิ ว่าแต่แกเถอะได้ข่าวว่าจะขอตามไปเที่ยวอังกฤษกับน้องไวน์ ใช่ไหม?” ภัคคินัยเปลี่ยนเรื่องคุย
“ยุ่งน่า! ฉันก็แค่พูดเล่นเท่านั้น” ภาคินกลอกตาอย่างเซ็งๆ หลังถูกย้อนศร
“ยายคงเชื่อ” ภัคคินัยหัวเราะขำๆ กับท่าทีของแฝดผู้พี่ที่คนทั้งบ้านต่าง ก็รู้ว่าแอบชอบวรันยา จะมีก็เพียงแค่มารดาเท่านั้นที่คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเป็นเหมือนวันวาน ทั้งๆ มันเปลี่ยนไปตั้งนานแล้ว
“วิวตรงนี้สวยดีว่ะ” ภาคินแสร้งชี้ให้แฝดผู้น้องดู
“หึ! มึงน่าจะไปชวนน้องไวน์มาถ่ายรูปนะ” ภัคคินัยบอกพลางส่ายหน้าเบาๆ
“จริงด้วย! งั้นกูไปหาน้องไวน์ดีกว่า” ภาคินรีบออกเดินไปตามหาสาวเจ้าด้วยสีหน้าระรื่น พลางนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อวานตอนที่ตนเกือบจะได้ลิ้มรสดอกบัว คู่งาม ก็อดอมยิ้มออกมาไม่ได้
สองวันต่อมา...ไร่ไปรยาเวศ
หลังจากที่ผ่านพ้นพิธีหมั้นแบบภายในของคาร่ากับภัคคินัย ลูคัสก็จัดงานเลี้ยงฉลองให้กับบุตรชายฝาแฝดที่คว้าเกียรตินิยมอันดับหนึ่งมาได้ทั้งสองคน อย่างยิ่งใหญ่ โดยมีแขกมากมายเดินทางมาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง
“สาวๆ มากันเต็มเลยเนาะ” คาร่าที่เดินทางมาร่วมงานพร้อมกับบิดามารดา หันไปคุยกับเพื่อนสาว
“อืม! เยอะจริงๆ” วรันยากวาดตามองรอบๆ ตัวอย่างรู้สึกอึ้งและหงุดหงิดนิดๆ ที่เห็นสาวๆ พากันจ้องมองไปยังโต๊ะที่ภาคินกับภัคคินัยนั่งอยู่
“สองสาวมาทำอะไรตรงนี้จ้ะ” กังศมาเอ่ยถาม เพราะไม่เห็นวรันยากับคาร่าไปนั่งร่วมโต๊ะกับคนอื่นๆ
“คุณมาร์!!” วรันยากับคาร่าหันกลับไปมองอย่างตกใจ
“ไปนั่งกับยายที่โต๊ะนั้นดีกว่า” กังศมาเอ่ยชวนเพราะแอบเห็นหนุ่มๆ ในงานพากันมองสองสาวจนแทบจะไม่กระพริบตา
วรันยากับคาร่าอมยิ้มก่อนจะเดินตามหลังผู้ใหญ่ไปที่โต๊ะอย่างรู้สึกอึดอัดนิดๆ เพราะไม่ชินกับการอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย
อนันที่นั่งอยู่โต๊ะถัดไป รีบสะกิดเพื่อนให้หันไปมองสาวที่สวยโดดเด่นที่สุดในงาน “คนนั้นเหรอ ลูกสาวของพ่อเลี้ยงสินชัย”
“คนไหนวะ ฉันเคยได้ยินเขาลือกันว่าสวยนักสวยหนา” มานพหันไปมอง
“ก็คนที่นั่งข้างๆ กับคุณมาร์นั่นไง” อาทิตย์บอกพิกัด
“บ๊ะ! คนอะไรยิ่งมองยิ่งสวยว่ะ” อนันฉีกยิ้มด้วยสายตาหยาดเยิ้ม
“น้องคนที่ผมสั้นๆ ก็น่ารักนะ เป็นลูกครึ่งใช่ไหม?” มานพจ้องมองสาว ผมสั้นที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างสนใจ
“ใช่! สวยคนละแบบเลย” อนันบอกอย่างชื่นชม
“พวกมึงอย่าบังอาจเข้าไปยุ่งกับเด็กของกูเด็ดขาด” ภาคินที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ กับแฝดผู้น้องและเพื่อนสนิท (ขุนพัน จอมพล แม่ทัพ) ได้ยินการสนทนาของเพื่อนร่วมรุ่นสมัยเรียนมัธยมปลายชัดทุกถ้อยคำ จึงหันไปเตือนด้วยสายตาขวางๆ
“ไอ้คิน! ตกใจหมดเลย” อนันยกมือขึ้นทาบอก ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะนั่งอยู่โต๊ะด้านหลังของตน เพราะเมื่อครู่ยังเห็นเดินอยู่แถวๆ หน้าเวที
“แหม...คนนี้หวงจังเลยนะเพื่อน” อาทิตย์ที่เมาได้ที่นิดๆ เอ่ยแซว
“เออ! กูยิ่งกว่าหวงอีก ใครคิดจะจีบน้องไวน์ ต้องข้ามศพกูไปก่อน” ภาคินจ้องมองหน้าทุกคนด้วยสายตาที่พร้อมจะมีเรื่อง
“แหม...อย่าซีเรียสนักสิเพื่อน แค่มองเฉยๆ เท่านั้น” อนันรีบบอกเมื่อเห็นท่าทีขึงขังของอีกฝ่าย แม้ว่าจะอยู่คนละกลุ่มและไม่ได้สนิทกันมากมายเท่าไหร่ แต่ก็ไม่มีใครอยากจะมีเรื่องบาดหมางใจกับพี่น้องตระกูลซานเตียนโน่
“แล้วอีกคนล่ะ?” มานพที่เมาจนไม่รู้สี่รู้แปดเอ่ยถามต่อ
“ลูกสาวของอัสลาน ไคล์ เพิ่งจะหมั้นไปเมื่อสองวันก่อน” ภาคินตอบก่อนปรายหางตาไปมองฝาแฝดผู้น้องที่อยู่ใกล้ๆ
“จริงดิ แต่ดูแล้วน้องน่าจะอายุยังไม่ถึง 20 นะ ทำไมถึงได้รีบหมั้นวะ” มานพถามอย่างรู้สึกเสียดาย
“ใครกันวะคู่หมั้นของน้องเขา?” อาทิตย์ถามอย่างสงสัย
“รู้แล้วพวกมึงจะได้อะไร มาดื่มกันดีกว่า” ภัคคินัยเบี่ยงความสนใจและ ตัดบทสนทนาของแฝดผู้พี่ เพราะกลัวอีกฝ่ายจะเผลอหลุดปากเอ่ยเรื่องของตนกับ คาร่า ให้คนอื่นๆ รู้
“ยินดีกับความสำเร็จของว่ะเพื่อน” อนันบอกพร้อมกับยกแก้วขึ้นชนอีกฝ่ายอย่างเกร็งๆ
“ยินดีด้วยเพื่อน!!” อาทิตย์และมานพเอ่ยขึ้นพร้อมๆ กัน แม่ทัพรีบสะกิดภาคินที่มีสีหน้าบูดนิดๆ ให้ยกแก้วขึ้นชนกับคนอื่นๆ ตามมารยาท
“ขอบใจ!” ภาคินยกแก้วบรั่นดีขึ้นกระดกจนหมด แล้วขอตัวไปเข้าห้องน้ำ
“เดี๋ยวกูมา” แม่ทัพเห็นท่าทีของเพื่อนรักไม่โอเคจึงรีบลุกตาม
“อืม! ฝากกูให้หน่อยแล้วกัน” ภัคคินัยบอกเพื่อนรัก
“นัย! ถ้าเมื่อครู่พวกฉันพูดอะไรไม่ดีออกไป ฝากขอโทษคินมันด้วยนะ” อนันรีบออกตัวอย่างรู้สึกหวิวๆ
“ไม่ต้องคิดมากน่า” จอมพลตบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆ อย่างปลอบใจ
“บอกตรงๆ ฉันเห็นท่าทีของคินเมื่อครู่แล้วใจคอไม่ดีเลย” อนันบอกด้วย สีหน้าเจื่อนๆ
“ฉัน! ไอ้นัย แล้วก็ไอ้จอม จะเคลียร์ให้ไม่ต้องห่วง” ขุนพันเอ่ยย้ำ
“ขอบใจมากเพื่อน” อนันพยักหน้ารับเบาๆ ยอมรับว่าสีหน้าเอาเรื่องของภาคินเมื่อครู่ ทำเอาหายเมาไปทันทีทันใด
“ไม่เป็นไร เรายังต้องทำธุรกิจร่วมกันอีกนาน” จอมพลตอบก่อนจะสะกิดให้ภัคคินัยยกแก้วขึ้นชนกับ อนัน มานพและอาทิตย์ แล้วเปลี่ยนไปคุยเรื่องงานที่เตรียมจะลงทุนทำร่วมกัน
แม่ทัพที่เดินตามหลังเพื่อนรักมาได้สักพัก เอ่ยเรียก “คิน!”
“แกตามฉันมาทำไม?” ภาคินกลอกตาก่อนจะหันไปถามด้วยสีหน้าเซ็งๆ
“ไอ้พวกนั้นมันก็แค่พูดไปตามประสา เพราะไม่เคยเห็นน้องไวน์มาก่อน บวกกับที่ใครๆ ก็เอาแต่พูดถึงลูกสาวของพ่อเลี้ยงสินชัยว่าสวย พวกมันก็เลยมีอาการอย่างที่เห็น” แม่ทัพให้เหตุผล
“โอเค! กูแค่หงุดหงิดที่มีใครเอ่ยถึงน้องไวน์ให้ได้ยิน” ภาคินยอมรับว่า เมื่อครู่ตนเองอารมณ์ร้อนไปหน่อย
“เอาน่าไม่มีใครกล้าจีบน้องไวน์หรอก อาสินน่ะดุจะตาย”
“อืม! ฉันขอปรับอารมณ์แป๊บ เดี๋ยวจะกลับไป”
“โอเค!” แม่ทัพพยักหน้ารับ แล้วเดินกลับไปที่โต๊ะ
ภาคินหลับตาลงแล้วสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ พอลืมตาขึ้นมาก็เห็น วรันยากำลังเดินตรงไปที่เรือนใหญ่ อารมณ์เดือดๆ ที่กำลังจะสงบก็กลับมาปะทุ ขึ้นมาอีกครั้ง
ด้านคนที่กำลังเดินไปเข้าห้องน้ำ ถึงกับตกใจเมื่อเดินผ่านห้องรับแขกไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกกระชากแขนจากด้านหลังอย่างแรง
“อ๊ะ! ปล่อยนะพี่คิน” วรันยาบอกคนที่ยืนทำหน้าบูดบึ้งพร้อมกับสะบัดแขนออกจากการจับกุม แต่ก็ไม่เป็นผล!
“แต่งหน้าทำไม” ภาคินถามด้วยน้ำเสียงตึงๆ
“น้าดาเป็นคนแต่งให้ไวน์” วรันยาถอนหายใจกับท่าทางชวนหาเรื่องของ อีกฝ่าย
“ชุดมีเป็นร้อยๆ ชุด ทำไมไม่หาชุดที่มันมิดชิดมาใส่ แต่งตัวอย่างกับ...” คนที่หึงจนหน้ามืดเอ่ยค้างแล้วเหลือบมองสาวเจ้าตั้งแต่หัวจรดเท้า
“อะไร” วรันยารู้สึกโกรธกับสายตาเหยียดๆ ของคนตรงหน้า
“ไปเปลี่ยนชุด แล้วก็ไปล้างหน้าซะ” ภาคินออกคำสั่งพร้อมกับชี้ไปที่ชั้นสอง เพื่อให้สาวเจ้าขึ้นไปจัดการตัวเองใหม่
“จะบ้าหรือไง ปล่อยไวน์เดี๋ยวนี้นะ” วรันยาสะบัดมือหนาที่ยังคงจับแขนของเธอออก
“อย่าให้พี่ต้องโมโห” คนที่ถูกอารมณ์หึงหวงครอบงำเอ่ยเตือนด้วย สายตาดุๆ
“ฮึก...ถ้าหากไวน์ทำให้พี่คินไม่พอใจ ไวน์กลับก็ได้” วรันยาบอกอย่างทนไม่ไหว ที่อยู่ๆ ก็ถูกหาเรื่อง
“พี่ไม่ให้กลับ” ภาคินหัวใจกระตุกวูบ เมื่อเห็นหยดน้ำใสๆ ไหลอาบแก้มของสาวเจ้าเป็นทาง
“นี่มันอะไรกัน คินทำอะไรน้องไวน์” ดาหลาเอ่ยถามอย่างตกใจที่ผ่านมาเห็นเหตุการณ์เข้า
“ฮึก...น้าดาช่วยไวน์ด้วยค่ะ” วรันยาหันไปขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ พร้อมกับแกะมือหนาออก แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมปล่อย
“ปล่อยน้องเดี๋ยวนี้นะคิน!” ดาหลาหันไปสั่งบุตรชายที่ไม่รู้ว่าเมาหรือถูก ผีเข้าสิงร่าง ถึงได้ทำตัวบ้าๆ แบบนี้
“ผมก็แค่จะพาน้องไปเปลี่ยนชุดเท่านั้น” ภาคินยอมปล่อยมือจากสาว
“เปลี่ยนทำไม?” ดาหลาถามอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะดึงเด็กสาวที่น้ำตานอง้หน้าเข้ามากอดอย่างรู้สึกสงสาร
“ก็ชุดนี้มันโป๊ แม่ไม่เห็นเหรอว่าผู้ชายทั้งงานพากันจ้องน้องไวน์ตาเป็นมัน” ภาคินต่อว่ามารดาที่ชอบจับวรันยาแต่งตัวเกินวัย
“ฮึก...พี่คินบอกให้ไวน์ไปล้างหน้าด้วยค่ะน้าดา ฮือๆๆ” วรันยาเงยหน้าขึ้นฟ้องก่อนจะปล่อยโฮออกมาอย่างรู้สึกเจ็บใจที่โดนบีบบังคับ
“คิน! นี่มันจะเกินไปแล้วนะ” ดาหลาบอกอย่างรับไม่ได้ ไม่เข้าใจว่าทำไมบุตรชายจะต้องมีปัญหาทุกครั้งที่เธอจับเด็กสาวแต่งตัวสวยๆ
“เกินไปตรงไหนครับ ก็ผมไม่ชอบให้น้องไวน์แต่งหน้า มันดู...” ภาคินเอ่ยยังไม่ทันจบก็ถูกขัดจังหวะเข้าเสียก่อน
“มีอะไรกัน อ้าว! น้องไวน์ร้องไห้ทำไมลูก” กังศมาที่เดินมาเข้าห้องน้ำเอ่ยถามอย่างตกใจ
“ก็ตาคินน่ะสิคะ จะลากน้องไวน์ไปเปลี่ยนชุดกับล้างหน้า” ดาหลาหันไปบอกมารดา
“เป็นบ้าไปแล้วเหรอฮะเรา” กังศมาต่อว่าหลานชายตัวดี ก่อนจะเข้าไปกอดปลอบเด็กสาว
“ยายกับแม่ไม่รู้หรอกว่าผู้ชายในงานพูดถึงน้องไวน์ยังไง” ภาคินตอกกลับอย่างไม่สบอารมณ์
“ฮึก...ไวน์ขอกลับไปนอนที่รีสอร์ตนะคะคุณมาร์” วรันยายกมือขึ้น ปาดน้ำตาทิ้งอย่างรู้สึกสะใจ ที่เห็นจอมหาเรื่องถูกผู้ใหญ่เอ็ด
“โธ่! น้องไวน์” ดาหลารู้สึกแน่นที่หน้าอกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“นอนนี่แหละลูก” กังศมาลูบแผ่นหลังบางเบาๆ อย่างรู้สึกสงสารที่อีกฝ่ายต้องมาเจออะไรแบบนี้
“ไวน์จะให้พี่นารีมารับค่ะ นะคะ” วรันยาบอกเสียงอ่อน
“เฮ้อ...ก็ได้จ้ะ” กังศมากัดฟันขานรับคำขอ เพราะต้องการดัดนิสัยของหลานชายตัวดีที่ชอบใช้อารมณ์
“ยาย!” ภาคินมองผู้เป็นยายอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าอีกฝ่ายจะยอมปล่อยให้วรันยากลับไปนอนที่รีสอร์ต ทั้งๆ ที่รู้ว่าสินชัยไม่อยู่
“ทำไม? ถ้าน้องนอนที่นี่ เดี๋ยวเราก็หาเรื่องน้องอีก” กังศมาสวนกลับ เพราะรู้ว่าหลานชายจะไม่ยอมหยุด หากวรันยาไม่ทำตามความต้องการของตัวเอง
“แต่อาสินอยู่กรุงเทพนะครับ” ภาคินบอกอย่างหัวเสีย
“ไม่เป็นไรหรอก! คนที่รีสอร์ตก็มี นารีเองก็ยิงปืนเก่งไม่แพ้ผู้ชาย” กังศมาให้เหตุผลด้วยท่าทีนิ่งๆ
“งั้นเดี๋ยวน้าไปสั่งแม่บ้านเตรียมอาหารให้นะ เผื่อน้องไวน์หิวตอนดึกๆ” ดาหลาบอกเด็กสาว
“ขอบคุณค่ะน้าดา” วรันยายกมือไหว้อย่างดีใจ
“นี่แม่กับยายเป็นบ้ากันไปแล้วหรือไงครับ” ภาคินสบถเสียงดังก่อนจะเดินหนีออกไปที่ด้านนอกด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
“คิน!” ดาหลาเอ่ยเรียกบุตรชายอย่างรู้สึกใจคอไม่ดี ‘บ้าจริง! หวังว่าคงไม่ไปหาเรื่องต่อยใครในงานหรอกนะ’
“ปล่อยไปเถอะ นิสัยร้ายไม่เปลี่ยนเลย” กังศมาบอกพร้อมกับถอนหายใจอย่างเพลียๆ
“เฮ้อ...พรุ่งนี้ดาจะเรียกตาคินมาอบรมค่ะ” ดาหลาบอกด้วยสีหน้าเจื่อนๆ
“อืม! ตอนนี้เมา พูดอะไรไปก็คงจะเท่านั้น” กังศมาหันไปฉีกยิ้มให้เด็กสาวที่ตอนนี้มีสีหน้าดีขึ้นกว่าเมื่อครู่
“ค่ะ งั้นเดี๋ยวดาไปตามหนูคาร่าให้น้องไวน์ก่อนนะคะ” ดาหลาอาสาไปตามว่าที่ลูกสะใภ้ เพราะคิดว่าสองสาวคงอยากจะคุยกันตามประสาวัยรุ่น มากกว่าที่ต้องมานั่งฟังผู้ใหญ่คุยกัน
“ขอบคุณค่ะน้าดา” วรันยายกมือไหว้อย่างซาบซึ้งใจเพราะเธอเองก็ไม่อยากจะกลับเข้าไปในงานอีก
“ไม่เป็นไรจ้ะ น้าสิต้องขอโทษน้องไวน์ที่คินทำตัวแย่ๆ”
“ช่างเขาเถอะค่ะ” วรันยาบอกอย่างเข้าใจก่อนจะขอตัวไปเข้าห้องน้ำ โดยมีกังศมาเดินตามไปส่ง
ดาหลาเดินไปสั่งสาวใช้ให้เตรียมอาหารจัดใส่กล่องรอ จากนั้นก็เดินกลับเข้าไปในงานแล้วกระซิบว่าที่ลูกสะใภ้ให้ไปหาวรันยาที่เรือนใหญ่
ยี่สิบนาทีต่อมา...วรันยาเดินทางกลับมาที่บ้านพักท้ายรีสอร์ตพร้อมกับคาร่าและเมนูต่างๆ ที่ดาหลาจัดใส่กล่องมาให้ สองสาวชวนนารีรับประทานอาหารและคุยกันเรื่องนั้นเรื่องนี้อย่างเพลิดเพลิน
กระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงห้าทุ่ม อัสลานกับชบาก็มารับคาร่ากลับบ้าน วรันยาร่ำลาเพื่อนรักเสร็จ ก็เข้าไปช่วยนารีเก็บจานไปล้าง จากนั้นก็เตรียมจะปิดประตูหน้าบ้าน เพื่อจะขึ้นไปนอน แต่นารีก็เหลือบไปเห็นร่างสูงที่คุ้นตา กำลังเดินตรงมาหา
“นั่นคุณคินใช่ไหมคะ?” นารีเอ่ยถามอย่างจำได้
“ใช่ครับ! ผมมาขอดูบอล พอดีที่ไร่เสียงดังมาก ดูไม่รู้เรื่องเลยครับ” ภาคินเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง หลังจากที่หนีไปสงบสติอารมณ์มาได้พักใหญ่ๆ
“คุณคินเดินมาเหรอคะ” นารีขยับหลบให้อีกฝ่ายเข้ามาในบ้าน
“ครับ! เอ่อ...พอจะมีเบียร์เย็นๆ สักกระป๋องไหมครับ” ภาคินเอ่ยถามขณะที่สายตาจับจ้องไปยังสาวที่สวมชุดนอนสีชมพูหวาน ซึ่งยืนอยู่ข้างหลังนารี
“ไวน์ขึ้นไปนอนก่อนนะคะพี่นา” วรันยาบอกจบก็สะบัดหน้าเดินหนีขึ้นห้องไปทันทีทันใด ‘หึ! อีตาบ้านี่จะตามมาหาเรื่องเราอีกหรือไงนะ’
“ค่ะ เดี๋ยวพี่นาตามไป” นารีขานรับก่อนจะเดินไปหยิบเบียร์ในตู้แช่มาส่งให้กับชายหนุ่ม
“ขอบคุณครับ พี่นาขึ้นไปนอนเถอะ ที่เหลือผมจะจัดการเอง” ภาคินยิ้มก่อนจะหยิบรีโมทมากดเปิดโทรทัศน์
“ค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ” นารียิ้มก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปอย่างรู้สึกขำกับข้ออ้างของชายหนุ่มที่บอกว่ามาดูบอล ทั้งๆ ที่วันนี้ไม่ได้มีบอลแข่งเลยสักคู่
ทันทีที่ประตูห้องนอนเปิดออก วรันยาก็รีบเอ่ยถามอย่างร้อนใจ “เอ่อ...คนบ้านั่นยังอยู่เหรอคะพี่นา”
“อยู่ค่ะ น้องไวน์มีอะไรหรือเปล่าคะ” นารีค่อยๆ ปิดประตูห้องอย่างเบามือ
“ไม่มีค่ะ แค่ไม่ชอบเท่านั้น” คนที่ยังโกรธบอกก่อนจะล้มตัวลงนอน
“แหม...คุณคินคงจะเป็นห่วงน้องไวน์ ก็เลยมาเฝ้าน่ะค่ะ” นารีบอกอย่างพอจะเดาสถานการณ์ออก
“จะมาทำไมก็ไม่รู้ บ้านตัวเองจัดงานออกใหญ่โต เพื่อนฝูงก็มากันตั้งเยอะแยะ” วรันยาบ่นพร้อมกับคว้าหมอนข้างเข้ามากอด
“หึๆ พี่นาว่าเราเข้านอนกันเถอะค่ะ” นารีเอ่ยชวนเพราะพรุ่งนี้เธอจะต้องไปคุมงานและตรวจงานแทนผู้เป็นนายแต่เช้า
“ค่ะ ฝันดีนะคะพี่นา” วรันยาหลับตาลงอย่างรู้สึกง่วงและอ่อนเพลีย
“ฝันดีค่ะน้องไวน์” นารีเอื้อมมือไปปิดไฟที่หัวเตียง จากนั้นก็เข้าสู่ห้วงนิทราไปแทบจะทันทีทันใด
ด้านคนที่นั่งดื่มเบียร์ดูรายการนู่นนั่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย หยิบมือถือมาเปิดดูก็เห็นสายเรียกเข้าจากบิดา มารดาและผู้เป็นยาย จึงรีบกดต่อสายหาแฝดผู้น้อง
[แกอยู่ไหน?] ปลายสายเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตึงๆ
[ฉันจะกลับพรุ่งนี้เช้า ฝากบอกทุกคนด้วยนะ]
[ให้ตายสิคิน! แกเป็นบ้าอะไรวะ ทำไมถึง...]
ภาคินกดตัดสายของแฝดผู้น้อง แล้วปิดเครื่องไปทันที เพราะไม่อยากจะบอกหรืออธิบายเหตุผลที่มีอยู่ในใจให้ใครฟัง รู้ดีว่ายังไงวันพรุ่งนี้ก็ต้องถูกทุกคนในครอบครัวรุมสวดยาว แต่นั่นก็ไม่ทำให้เขากลัวเท่ากับการที่ถูกวรันยาโกรธ