“ขโมยของ มีโทษตัดมือ” กายสูงใหญ่ล่ำสันปรากฏขึ้นพร้อมกับน้ำเสียงอันเยือกเย็น ทำเอาใจดวงน้อยร่วงหล่นลงกับพื้น
เกาชิงหรูที่ยังไม่ทันได้ออกจากห้องหยุดชะงัก หมุนตัวกลับมามอง ภาพที่เห็นตรงหน้าสร้างความตกใจระคนมึนงง เรื่องหนึ่งคือเหตุใดเขาจึงมาอยู่ในห้องนี้ได้ ทั้งที่ยามเข้ามาก็ไม่เห็นมี
แต่ที่น่าตกใจคืออีกฝ่ายสวมเพียงกางเกงสีขาวบาง เสื้อตัวในถูกถอดทิ้ง สวมเพียงอาภรณ์ตัวนอกที่ไม่ได้ผูกสาบเสื้อทับกัน เผยให้เห็นแผงอกแน่นเต็มสองตาของชิงหรู
“เหอะ ไอ้คนขี้อวดเอ๊ย” หนาวจะตายยังใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้น น่ามองตายล่ะ
ถึงจะเบะปากด้วยความหมั่นใส่ แต่นัยน์ตาสีน้ำตาลก็ยังเลื่อนขึ้นลงมองสำรวจไม่เลิก ผมเผ้าที่ปล่อยยาวไม่ได้เก็บรวบให้เรียบร้อย นั่นยิ่งส่งเสริมบุคลิกให้ดูดิบเถื่อนอย่างช่วยไม่ได้
“อึก...”
“มองพอหรือยัง หากยัง ข้าจะควักลูกตาเจ้ามาร้อยเป็นสร้อยคอ จะได้มองทั้งวันทั้งคืน” ไม่ว่าเปล่า คนอำมหิตยังเดินอาดๆ เข้ามา จนชิงหรูต้องกระเถิบถอยหลัง
“เฮ้ยๆ นี่ข้าเป็นเมียท่านนะ”
“เมีย? หึ คนชั้นต่ำ มักใช้คำพูดต่ำๆ”
“อะแฮ่ม ข้าเป็นชายาเอกของท่านนะ ท่านจะควักลูกตาข้าไม่ได้” ผัวๆ เมียๆ คงฟังแล้วระคายหูเชื้อพระวงศ์ สตรีแสนธรรมดาอย่างนางจึงต้องจีบปากจีบคอพูดจาให้ถูกต้องเหมาะสมกับคนชั้นสูงเสียหน่อย
“น่ารำคาญ เอาของของข้าคืนมา” มือใหญ่ยื่นเข้ามาหมายจะยื้อแย่ง แต่ชิงหรูดันบิดตัวหนีได้ทันการณ์
“แบร่!” ลอกลิ้นปลิ้นตาเยาะเย้ยเสร็จ ก็หมายจะหันหลังวิ่ง ทว่าคอเสื้อกลับถูกคว้าไว้ ทั้งยังโดนลากให้ถอยหลังจนของที่อยู่ในอ้อมแขนตกกระจายเต็มพื้นไปหมด
ตุ๊บ!!!
“โอ๊ย! ไอ้คนป่าเถื่อน บอกให้นั่งดีๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้องลากมาโยนเลย” สองมือจับบั้นท้ายของตนเอง ที่กระแทกกับตั่งไม้
“ข้าได้ยินเจ้าเรียกข้าว่า ไอ้ มาหลายรอบแล้วนะ นอกจากตัดมือ ก็คงต้องตัดสิ้นด้วย” ดูจากแววตาแข็งกร้าว อีกฝ่ายไม่ได้จะพูดเล่นเป็นแน่
ข้อมือเล็กทั้งสองถูกคว้ามาวางบนโต๊ะเตี้ยที่อยู่ข้างตั่ง อีกฝ่ายจับกดเอาไว้ด้วยมือเดียว ส่วนมืออีกข้างหยิบเอามีดสั้นจากที่ใดไม่รู้ขึ้นมา แต่ที่แน่ๆ มันคมชนิดที่ว่าเฉือนครั้งเดียวขาด
“ทะ ท่านอ๋อง เดี๋ยวก่อนๆ ข้าไม่เอาแล้วก็ได้ ฮื่อ!” ความห้าวหาญ ปากเก่งเมื่อครู่มลายหายสิ้น ยามที่ต้องเอาตัวรอด
“สายไปกระมัง เมื่อครู่ข้าให้โอกาสเจ้าคืนของแล้ว”
“ไม่สายๆ ข้าขอโทษนะ ขอโทษๆ” เกาชิงหรูทำหน้าน่าสงสาร ขอร้องอ้อนวอน ทั้งยังขยับเข้าไปซบอกเปลือยของคนที่ก้มตัวลงมาจับข้อมือนาง ศีรษะเล็กถูกไถบนอกเปล่า ยอมออดอ้อน เพื่อรักษาชีวิต
“เจ้ารู้หรือไม่ ว่าข้ารังเกียจสตรีแพศยา ที่ทำกิริยาต่ำช้าเช่นนี้เป็นที่สุด”
“ทำแบบนี้ท่านรังเกียจหรือ...เช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้” ในเมื่อไม้อ่อนไม่ได้ผล ก็ต้องใช้ไม้แข็ง ชิงหรูเงยขึ้นมองดวงตาแข็งกระด้างคู่นั้น ก่อนสาวงามจะเผยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
งับ!!!
“อ้า!!!” เฉิงจื่อหานหลุดอุทานออกมาเสียงดัง เมื่อฟันขาวงับเข้าที่เม็ดไตสีเข้มบนอกแกร่งอย่างสุดกำลัง มือหยาบคว้าผมสลวยดึงทึ้งให้ชิงหรูออกห่างตัว
แต่ไม่รู้ว่านางเป็นสุนัขหรือไร จึงกัดไม่ปล่อย ยิ่งดึงออก ก็ยิ่งรู้สึกเจ็บ
“มีคนลอบสังหารท่านอ๋อง! เร็วเข้า” ได้ยินเสียงเพียงเสี้ยวลมหายใจ ประตูบานหรูก็ถูกพังจนล้มลงมาทั้งบาน
องครักษ์และทหารอารักขาต่างก็กรูกันเข้ามาในห้องบรรทม ทว่าภาพที่เห็นตรงหน้า ไม่คล้ายกับการลอบสังหารเลยสักนิด ออกจะเป็นเรื่องชวนให้ใจเต้นเสียมากกว่า
“ท่านอ๋อง-”
“...”
“นี่เจ้า!” เฉิงจื่อหานมัวแต่นิ่งอึ้ง จึงคว้าเอาตัวชายาชังไว้ไม่ทัน เจ้าตัวเล็กวิ่งไปคว้าเอาเสื้อคลุมขนสัตว์ของเขา แล้วออกไปท่ามกลางสายตาทหารนับสิบนาย ที่บัดนี้พากันหน้าแดง กัดริมฝีปากไม่ให้เผลอยิ้มออกมา
“พวกเจ้าออกไปให้หมด!” ทหารอารักขาก้มคำนับก่อนจะออกไปตามคำสั่ง เหลือก็เพียงองครักษ์ซ่งเหยียน องครักษ์หนุ่มวัยเพียงสิบแปดหนาว ทว่าฝีมือเก่งกาจ ทำงานไว จนได้เป็นคนสนิทของชินอ๋อง
“กระหม่อมขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ ได้ยินเสียงท่านอ๋องตะโกนจึงคิดว่ามีคนร้าย ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่อง...” องครักษ์หนุ่มจิ้มนิ้วชี้เข้าหากัน พลางบิดกายกระมิดกระเมี้ยน
“หยุดคิดเรื่องน่าขยะแขยง เมื่อครู่นางกัดข้า เจ้าไม่เห็นหรือ” จื่ออ๋องกระแทกตัวนั่งบนตั่ง พลันกุมส่วนที่ถูกทำร้าย
“อ่า รอยฟันชัดเจนเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“เกาชิงหรู แค้นนี้ข้าต้องชำระกับเจ้าแน่” น่าเจ็บใจนัก! ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้นำทัพมาร แต่กลับปล่อยให้สตรีเพียงคนเดียวทำร้ายได้
“ท่านอ๋องจะไปกัด...พระชายาหรือพ่ะย่ะค่ะ” สองมือจับไปที่อกตนเอง ก่อนจะมองนายตาโต ในหัวเฝ้านึกภาพที่เคยเห็นเอกบุรุษมักกระทำในหอนางโลม
“ซ่ง เหยียน” เฉิงจื่อหานกดเสียงต่ำ
“กระหม่อมมีงานต้องทำ ทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
เพล้ง! เฉิงจื่อหานขว้างจอกชาตามหลังองครักษ์ไป อ๋องหนุ่มได้แต่ส่ายหัว ดูความคิดของเด็กหนุ่มผู้นี้เถิด คิดว่าเขาจะทำเรื่องน่ารังเกียจนั่นหรือ ฝันเอาเถิดว่าชาตินี้เขาจะแตะต้องนางอีก
เขาเกลียดที่นางกล้าใช้ยาชั้นต่ำนั่นกับเขา
ด้านเกาชิงหรูที่วิ่งกระหืดกระหอบมาถึงเรือนท้ายจวน จากที่หนาวเหน็บเพราะอากาศ เนื้อตัวกลับมีเหงื่อไหลซึมออกมาทุกรูขุมขน มีดแหลมถึงเพียงนั้นหากบอกว่าไม่กลัวก็คงโกหกแล้ว
“เฮ้อ ดีนะที่รอดมาได้” สองแขนหอมเอาเสื้อขนสัตว์ตัวใหญ่ที่คว้ามาได้เพียงชิ้นเดียว ปีนขึ้นไปนอนบนเตียง ตบที่นอนไล่ฝุ่น ก่อนจะเอาผ้าห่มมาปูนอน แล้วใช้เสื้อคลุมขนสัตว์ห่มกาย เพราะลำพังจะให้นอนเตียงแข็งๆ คงนอนไม่หลับกันทั้งคืน
“จะทำอย่างไรดีนะ” ในหัวเล็กแทบไม่ได้หยุดพัก ยิ่งเสียงเงียบสงัดเรื่องราวก็ยิ่งไล่เรียงขึ้นมาเป็นฉากๆ จำได้ว่าหลังจากที่แต่งเข้าจวนจื่ออ๋องมา เกาชิงหรูก็มีความเป็นอยู่ไม่ต่างจากบ่าว ถูกสวามีรังเกียจ ใช้ชีวิตไร้ตัวตนไปวันๆ กระทั่งเฉิงจื่อหานได้รับราชโองการให้ไปช่วยปราบโจรป่าที่เมืองทางใต้ของแคว้น เพราะคำสั่งของฝ่าบาทเกาชิงหรูจึงได้เดินทางไปด้วย
และนั่นก็กลายเป็นหายนะครั้งใหญ่ของอดีตคุณหนูสกุลเกา เพราะได้ชื่อว่าเป็นพระชายาเอก พวกโจรจึงจับตัวนางไปเพื่อต่อรองกับชินอ๋องของแคว้น แต่ใครจะคิดว่าเฉิงจื่อหานไร้คุณธรรม ไม่สนใจว่าชายาจะเป็นตายร้ายดี มุ่งมั่นเพียงบุกทลายซุ้มโจร
พอเกาชิงหรูไร้ประโยชน์ โจรพวกนั้นจึงไม่คิดจะเก็บนางไว้ และนั่นก็ทำให้นางตกนรกทั้งเป็น...
ไม่ได้! จะให้เป็นอย่างนั้นไม่ได้เด็ดขาด คงต้องรีบตัดสัมพันธ์กับจื่อหานตั้งแต่เนิ่นๆ
“หาว~ พรุ่งนี้ค่อยไปขอหย่าแล้วกัน”
เช้าวันรุ่งขึ้นเกาชิงหรูไปขอพบสวามี เพื่อจะพูดคุยเรื่องหย่า แต่ขันทีหูเอ่ยว่าเขาออกไปร่วมประชุมในวังแต่เช้าตรู่
นางอยู่รอพบตอนกลางวัน เฉิงจื่อหานก็ไม่กลับเข้ามา รอกระทั่งเย็นก็มีคนมาแจ้งว่าจื่ออ๋องออกไปทำธุระต่างเมือง หลายวันกว่าจะกลับ
เกาชิงหรูจึงได้แต่ รอ รอ รอ รอวันแล้ววันเล่า
“สิบวันแล้วนะ เมื่อไหร่จะกลับมาสักที เสียเวลาชีวิตจริงๆ” เกาชิงหรูตัดสินใจออกจากจวนไปรับเสื้อผ้าที่นำไปให้ช่างตัดเย็บ อีกฝ่ายกลับมาเมื่อใดนางก็คงจะรู้เอง
“พอใจหรือไม่เจ้าคะคุณหนู”
“งามมากเจ้าค่ะ” นิ้วเรียวลูบไปตามลายปักที่วิจิตรงดงาม ริมฝีปากใต้ผ้าผืนบางยกขึ้นอย่างพอใจ
“เช่นนั้นข้าก็ดีใจเจ้าค่ะ”
“ขอบใจท่านมาก นี่เป็นเงินค่าจ้างของท่าน” ชิงหรูนับเงินในถุงส่งให้อีกฝ่ายครบตามจำนวน แต่ยังไม่ทันได้หมุนตัวกลับ หูทั้งสองก็ได้ยินเสียงสนทนาของแม่ลูกเข้าเสียก่อน
“ท่านแม่ขอรับ วันนี้ข้าไปฟังนิทานได้หรือไม่ขอรับ”
“วันนี้ไม่มีนักเล่านิทานมิใช่หรือ เขาบอกว่าจะเดินทางไปต่างเมืองแล้ว”
“อ่า จริงด้วย” ใบหน้าจิ้มลิ้มของเด็กชายวัยเจ็ดขวบ สลดลงทันที
“ข้าเล่าให้ฟังดีหรือไม่” อยู่ๆ เกาชิงหรูก็พูดโพล่งออกไป
“ท่านเล่าได้หรือขอรับ” ขาสั้นวิ่งเข้าไปหาพี่สาวปิดหน้า ก่อนจะจูงมือมานั่งแคร่ไม้ เงยหน้ารอฟังด้วยความคาดหวัง
“หึ เช่นนั้นก็เอาเรื่องกระต่ายกับเต่าเป็นอย่างไร” กระต่ายกับเต่า นิทานพื้นบ้านที่นางได้ยินมาตั้งแต่เด็ก แต่มีหรือชิงหรูจะเล่าอย่างที่เคยได้ยินมา
เสียงหวานเอ่ยเล่าเรื่องราว ร่างกายก็ขยับโยกย้ายเลียนแบบตัวละคร บอกวิ่งก็ขยับขาวิ่ง บอกเหนื่อยก็หอบหายใจถี่ให้คนฟังเห็นภาพ
“สุดท้าย...กระต่ายก็วิ่งเข้าเส้นชัยไป”
“น่าสงสารเจ้าเต่า เพราะเกิดมาเป็นเต่า เลยต้องวิ่งช้า” เด็กน้อยทำหน้าเศร้ากว่าเดิม
“ผิดแล้ว เรื่องนี้ยังมีต่ออีกนะ แพ้ครั้งเดียวมิได้หมายความว่าจะแพ้ตลอดไปเสียหน่อย”
“จริงหรือขอรับ...แต่อย่างไรก็เป็นเต่า”
“เฮ้อ~ ข้าจะแอบบอกก่อนก็ได้ เอาหูมานี่” ชิงหรูก้มลงพูดเรื่องราวในตอนถัดไป
“...”
“เจ้าเต่าน่ะ หากวิ่งช้า ก็ต้องสร้างเครื่องทุ่นแรง” เกาชิงหรูว่าเพียงเท่านั้น ก็โบกมือลาเด็กชาย พร้อมกับสัญญาว่าจะหาเวลาออกมาเล่าเรื่องนี้ให้จบ เพราะบัดนี้ใกล้ยามเย็นแล้ว ไม่แน่ว่าท่านอ๋องอาจจะกลับถึงจวนแล้ว
ชายาอ๋องเดินลัดเลาะตามทางออกมาโผล่กลางตลาด กะว่าจะแวะซื้อขนมไปทานจึงได้เดินเลือกซื้อสักพัก
“พระชายา ออกมาได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” คำทักทายของขันทีหู ทำให้คนรอบข้างหันมาสนใจสตรีสวมผ้าปิดหน้า
“ท่านขันที...มองออกหรือว่าเป็นข้า” ทั้งที่นางสวมผ้าคลุมหน้าแล้ว
“พ่ะย่ะค่ะ เสื้อคลุมหนังสัตว์ที่ท่านสวมมีเพียงผืนเดียวในแคว้น เป็นของพระราชทานจากอดีตฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ”
“หา!!!” นางไม่รู้มาก่อนว่าเสื้อคลุมผืนนี้จะเป็นของพระมารดาสวามี เห็นทีจะต้องนำไปคืน
“ว่าแต่พระชายาออกจากจวนด้วยเหตุใดพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าจะมาเที่ยวเล่นบ้างมิได้หรือ” มือเล็กดึงผ้าคลุมหน้าออก เพราะคิดว่าอย่างไรเสียก็คงไม่จำเป็นแล้ว เฮ้อ! ขนาดใส่ผ้าคลุมหน้าก็ยังมีคนจำได้
แต่นางคงลืมไปเสียสนิท ว่าการเปิดหน้าครั้งนี้ ยิ่งทำให้คนที่ไม่รู้จักจดจำนางได้มากขึ้น
“ออกมาได้พ่ะย่ะค่ะ แต่ควรแจ้งกระหม่อมก่อน กระหม่อมจะได้จัดนางกำนัลมาดูแล” ออกมาคนเดียวเช่นนี้ ชาวบ้านจะเอาไปเล่าลือ เสื่อมเสียไปถึงท่านอ๋องของพวกเขา
คิดยังไม่ทันจบเรื่อง ปากหอยปากปูก็เริ่มสร้างเรื่องเสียแล้ว
“นี่น่ะหรือพระชายาจื่ออ๋อง งดงามเช่นนี้นี่เอง สมควรแล้วที่ท่านอ๋องมิยอมพาออกงาน”
“นั่นสิ หากภรรยาข้างามเช่นนี้ คงมิยอมให้ออกจวนเช่นกัน”
“ทั้งสองคงจะรักใคร่กลมเกลียวกันมาก” ทุกสายตาหันมาสนใจชิงหรู ทั้งยังเข้าใจผิดกันไปใหญ่
หากมีเพียงคนพวกนี้ที่เข้าใจผิด ชิงหรูคงไม่กังวล แต่ถ้ามีคนของพวกโจรมาสอดแนม แล้วคิดว่าเฉิงจื่อหานรักใคร่นางจริง คงแย่แน่ๆ
อย่างไรก็ต้องแก้ต่าง!
“ข้าเป็นพระชายาจริง แต่ข้ากำลังจะขอหย่าท่านอ๋อง ข้ากับเขาไม่ได้รักใคร่กันเลยสักนิด”
“พระชายา! พะ พูดเช่นนั้นมิได้พ่ะย่ะค่ะ” เหล่าขันทีและนางกำนัลแทบมิอยากเชื่อหูตนเอง ว่าพระชายาจะกล้าพูดเรื่องหย่าออกมาด้วยตนเอง
ในแคว้นหลัวเป่ยน้อยนักจะมีสตรีออกปากของหย่าสามี เพราะฉะนั้นชายใดที่ถูกภรรยาขอหย่า ถือเป็นการเสื่อมเสียศักดิ์ศรี จนกลายเป็นตัวตลกให้ผู้คนหัวเราะเยาะ
“ข้าพูดจริงๆ นะ ข้าจะหย่าแน่ รอเขากลับมาก่อนเถิด ข้าจะหย่าทันที ข้ากับเขาไม่ได้รักกันเลยสักนิด!” ยิ่งห้าม ชิงหรูก็ยิ่งตะโกนดังขึ้น หวังให้คนในเมืองหลวงช่วยกระจายข่าวออกไป
เหล่านางกำนัลจึงต้องรีบเชิญแกมบังคับ ให้พระชายากลับจวน
นับจากนั้นไม่นาน เรื่องราวก็ถูกเล่าต่อไปในเชิงเสียหาย ต่างก็คิดว่าท่านอ๋องคงปฏิบัติต่อพระชายาไม่ดี ถึงขั้นฝ่ายหญิงเป็นผู้ออกปากขอหย่า บางก็เอ่ยว่ามิแปลกใจที่องค์ฮ่องเต้ไม่ยอมยกตำแหน่งรัชทายาทของแคว้นให้เสียที คงเพราะเป็นคนจิตใจอำมหิตจนยากจะแก้ไข
ข่าวลือเหล่านี้ดังเข้าหูของเฉิงจื่อหานทันทีที่กลับเข้าเมืองหลวง
คนอารมณ์ไม่ดีเป็นทุนเดิมก็ยิ่งโมโห เดินปึงปังเข้ามาในเรือน ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าจะเฉียดกายเข้าใกล้
“หูตู๋!”
“พะ พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเฒ่าค้อมตัวรับคำสั่งด้วยขาสั่นๆ
“ไปเรียกเกาชิงหรูมา ข้ามีเรื่องจะถามนาง”