00.30 น.
หลังจากซ้อมหลีดรุ่นน้องเสร็จพวกเราก็พากันแยกย้ายกลับบ้าน เหลือแค่รุ่นพี่และน้องๆ ไม่กี่คนเท่านั้น
มีรุ่นน้องคนหนึ่งเดินมาหาฉันเหมือนมีเรื่องอยากจะพูดกับฉันแต่ไม่กล้าพูดเพราะเห็นว่าฉันนั่งอยู่กับตุ๊กตา
เพื่อนฉันน่ะไม่ค่อยมีใครอยากเข้าใกล้มันหรอกเพราะมันโหด เวลาซ้อมน้องนี่คือแหกปากร้องเสียงดังมากทำให้รุ่นน้องไม่กล้าเข้ามาทักด้วยซ้ำ
“พี่ลิซคะหนูมีเรื่องอยากคุยด้วยค่ะ”
เธอหันหน้าไปมองตุ๊กตาแล้วรีบหลบตาทันทีเหมือนกลัวว่าจะโดนด่า ฉันก็เลยเดินออกมาเพื่อมาคุยกับเธอแค่สองคน
พอเราอยู่ด้วยกันเธอถึงได้ยอมเงยหน้าขึ้นมาคุยกับฉัน เหมือนว่าเมื่อกี้ตอนที่ก้มหน้าเป็นเพราะไม่อยากเห็นสายตาเพื่อนฉันที่มองแบบดุๆ ถึงตุ๊กตามันจะดุแต่มันก็ไม่ได้ใจร้ายหรอกนะ มันก็แค่วางฟอร์มให้รุ่นน้องกลัวเท่านั้นแหละ
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
“คะ...คือพรุ่งนี้หนูต้องไปทำธุระกับครอบครัวค่ะเลยอยากจะขออนุญาตหยุดซ้อมหนึ่งวันได้มั้ยคะ หนูไม่กล้าขอพี่ตุ๊กตาเพราะกลัวว่าจะโดนดุและไม่อนุญาต”
ฉันก็นึกว่าเรื่องอะไร ถ้าติดธุระแจ้งเพื่อนมาก็ได้ เพราะพวกเราเองก็ไม่ได้ซ้อมแบบเอาเป็นเอาตายขนาดนั้นอยู่แล้ว แต่ก็เข้าใจน้องนะที่ต้องมาขออนุญาตก่อนเพราะกลัวว่าตุ๊กตาจะมองเธอไม่ดี
“แต่ถ้าไม่ได้ไม่เป็นไรค่ะ หนูเข้าใจ”
“ได้ดิ เดี๋ยวพี่บอกตุ๊กตาให้”
น้องจับมือฉันมากุมไว้แล้วยิ้มดีใจพูดขอบคุณไม่หยุด ที่ฉันใจดีแบบนี้และไม่เป็นรุ่นพี่ที่โหดก็เพราะติดนิสัยใจดีมาจากพี่คิณณ์ไง เขาใจดีกับทุกคนช่วยเหลือทุกคนที่เดือดร้อน ฉันก็เลยได้ส่วนนั้นของเขามา
แต่การที่พี่คิณณ์ใจดีกับทุกคนมันก็ดีนะ แต่มันก็มีข้อเสียเหมือนกัน เพราะมักจะมีผู้หญิงเข้าหาเขาเยอะมากและเขาก็เป็นคนที่เฟรนลี่เข้ากับคนอื่นได้ดีซะด้วยสิ
บางครั้งฉันก็เองก็หวงเขานะแต่ก็พูดอะไรไม่ได้เมื่อเขาชอบเอางานมาอ้างและมักจะบอกว่าไม่ได้คิดอะไรก็แค่คุยด้วยเท่านั้น
“ขอบคุณนะคะพี่ลิซ พี่ใจดีมากเลยค่ะ”
“เรื่องแค่นี้เอง”
“กลับได้ยังลิซ?”
เสียงของพี่คิณณ์ดังขึ้นมาและเดินเข้ามาหาฉัน ที่จริงพี่คิณณ์มารอฉันตั้งแต่ห้าทุ่มครึ่งแล้วแต่ก็ไม่เดินเข้ามาเพราะเห็นว่าฉันกำลังซ้อมรุ่นน้องอยู่
เขาถือขวดน้ำยื่นมาให้ฉัน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่ผู้ชายที่โรแมนติกแต่เขาก็ทำหน้าที่แฟนได้อย่างดีในบางครั้งเหมือนกันนะ
“เหนื่อยหรือเปล่าวันนี้”
“นิดหน่อยค่ะ ขอบคุณนะคะที่มารับ”
“ก็ต้องมารับสิ พี่คงไม่ปล่อยให้ลิซกลับคนเดียวหรอก”
“พี่กลับก่อนนะมีไรโทรมาแล้วกัน”
พวกเราที่เป็นหลีดต่างแลกเบอร์กันและกันเอาไว้เผื่อว่าใครมีธุระอะไรเร่งด่วนก็โทรเข้ามาแจ้งได้เลย และมีไลน์กรุ๊ปเอาไว้ด้วยเพื่อปรึกษาหรือนัดเจอกันให้ครบทุกคน
“พี่คิณณ์”
ฉันกำลังจะเดินไปกับพี่คิณณ์ก็ต้องหันกลับไปมองน้องที่ฉันเพิ่งคุยด้วยเมื่อกี้ที่เรียกชื่อพี่คิณณ์ด้วยน้ำเสียงที่ดีใจอย่างบอกไม่ถูก พี่คิณณ์หันกลับไปมองพร้อมกับฉันแล้วเลิกคิ้วเหมือนพยายามนึกว่าใคร
“อ้าวจัสมิน”
พี่คิณณ์ยิ้มให้รุ่นน้องของฉันเหมือนว่าพวกเขารู้จักกันมาก่อนหน้านี้ จัสมินฉีกยิ้มกว้างที่พี่คิณณ์จำเธอได้ ไปรู้จักกันตั้งแต่ตอนไหนเนี่ยทำไมฉันไม่รู้เลย
“เป็นรุ่นน้องลิซเหรอเราอ่ะ?”
พี่คิณณ์พูดทักทายอย่างเป็นกันเอง เพราะความเฟรนลี่ของเขาแบบนี้ไงบางทีก็ทำให้ฉันหึง แต่ฉันไม่ได้หึงเขากับรุ่นน้องฉันนะ หมายถึงคนอื่นน่ะ เพราะการที่เขาเป็นคนเฟรนลี่แบบนี้มันทำให้ผู้หญิงเข้าหาเขาเยอะมากเลยไง
“ใช่ค่ะ พี่ลิซน่ารักกับหนูมากเลย”
พี่คิณณ์มองหน้าฉันที่ยืนข้างๆ เขาแล้วยิ้มให้ เพราะเขามักจะบอกให้ฉันใจดีกับทุกคน ฉันไม่ใช่คนไม่ดีนะแต่บางทีการที่เราใจดีเกินไปก็ทำให้เราเดือดร้อนได้
“พี่คิณณ์เป็นพี่น้องกับพี่ลิซเหรอคะ?”
“พี่น้อง?”
พี่คิณณ์ทวนคำพูดของจัสมินแล้วหัวเราะ ทำให้ฉันมองเขาสลับกับมองหน้าจัสมินเหมือนว่าสองคนนี้ดูสนิทกันมาก มากซะจนฉันกลายเป็นส่วนเกินยังไงไม่รู้ พี่คิณณยิ้มให้เธอก่อนจะตอบคำถามที่เธอถามเมื่อกี้
“พี่น้องท้องชนกันดิไม่ว่า”
“พี่คิณณ์พูดอะไรแบบนั้นคะ”
ฉันตีแขนพี่คิณณ์ที่พูดเรื่องแบบนี้กับรุ่นน้องของฉัน มันใช่เรื่องที่จะเอามาพูดหรือเปล่า ก็แค่บอกว่าเป็นแฟนกันแค่นั้นก็พอแล้วมั้ง แต่ฉันสังเกตเห็นว่าจัสมินหุบยิ้มแล้วทำหน้าเศร้า แต่แค่แป๊บเดียวเท่านั้นแหละเธอก็ฉีกยิ้มกว้างเหมือนเดิม
“หรือมันไม่จริงล่ะ?”
“แต่ก็ไม่ต้องพูดแบบนั้นก็ได้นี่คะ”
“พี่กับลิซเป็นแฟนกันน่ะ โลกกลมเนอะ”
พี่คิณณ์ยิ้มให้ฉันก่อนจะหันไปตอบจัสมินที่ยืนมองเราสองคนอยู่ก่อนแล้ว “พี่พารุ่นน้องของเรากลับก่อนนะ”
“ค่ะ”
พี่คิณณ์โยกหัวฉันอย่างเอ็นดู แล้วพาฉันเดินไปที่รถของเขาก่อนจะโบกมือลาจัสมินที่ยืนอยู่ที่เดิม ฉันไม่ชอบนิสัยใจดีของพี่คิณณ์แบบนี้เลย
เขาดูสนิทกับผู้หญิงที่เข้ามาทักเขาแทบทุกคน หลายครั้งนะที่เราทะเลาะกันเรื่องนี้แล้วเขาก็บอกให้ฉันเชื่อใจ เพราะที่เขาต้องทำงานอย่างหนักก็เพื่อฉันทั้งนั้น เพื่อฉันคนเดียว
แต่รู้อะไรมั้ยว่าฉันไม่ได้ต้องการให้มันเป็นแบบนี้เลย ฉันอยากให้เขามีเวลาให้ฉันบ้าง แต่เอาเถอะในเมื่อเขาอ้างว่าทำเพื่อฉันฉันก็จะเชื่อเขา
พี่คิณณ์มาส่งฉันที่หอพักเขาไม่ได้ขึ้นห้องไปด้วยเพราะเขาบอกว่าจะต้องไปส่งของให้ร้านเหล้า ส่วนมากพวกร้านเหล้าจะให้คนมาส่งของในเวลากลางคืนเพราะช่วงเช้าไม่ค่อยมีคนมารับของ ฉันถึงบอกไงว่าเราสองคนไม่ค่อยมีเวลาได้อยู่ด้วยกันเลย
นับครั้งได้เลยล่ะตั้งแต่ที่เราคบกันมาแล้วพี่คิณณ์จะนอนค้างกับฉัน แต่ฉันก็ต่อว่าอะไรไม่ได้เมื่อเขาเอางานมาอ้าง ทุกวันนี้เราแทบไม่ค่อยมีเวลาอยู่ด้วยกันหรอก
เขาเอาเวลาของเขาไปทุ่มเทกับการทำงานเป็นส่วนใหญ่ บางทีก็แอบน้อยใจแต่ทำอะไรไม่ได้ในเมื่อมันรักไปแล้วก็ต้องอยู่กับสิ่งเหล่านี้ให้ได้ ก็อยากจะชินนะเพราะมันก็สองปีแล้วที่เราคบกันมา แต่บางทีก็ทำใจให้ชินไม่ได้จริงๆ
“พี่ไม่ได้ขึ้นไปส่งที่ห้องนะ พี่ต้องไปทำงานต่อน่ะ”
“ค่ะ ไม่เป็นไรแค่ขึ้นห้องเองหนูเดินคนเดียวได้”
“อย่าพูดประชดสิ พี่ต้องไปทำงานจริงๆ”
“ค่ะ รู้แล้วค่ะ”
“ขึ้นห้องแล้วอาบน้ำเข้านอนล่ะตอนเช้าพี่มารับ”
ฉันยังไม่ทันจะได้พูดอะไรพี่คิณณ์ก็บึ่งรถไปทันทีเหมือนกลัวว่าถ้าไปช้ากว่านี้ร้านเหล้ามันจะหายไปอย่างนั้นแหละ
ฉันถอนหายใจออกมาก่อนจะเดินขึ้นห้องอย่างเซ็งๆ ที่ต้องนอนคนเดียวอีกตามเคย จนตอนนี้ความเหงามันจะกลายเป็นแฟนฉันอยู่แล้ว
[JASMIN : SAID]
ฉันยืนมองพี่คิณณ์สวมหมวกกันน็อกให้พี่ลิซก่อนจะขับรถออกไปนอกรั้วมหาลัย ฉันยิ้มให้กับพวกเขาก่อนจะเดินไปรถของตัวเองเพื่อที่จะขับรถกลับหอบ้าง แต่แล้วเท้าของฉันก็เหยียบเข้ากับสิ่งของบางอย่าง
ฉันหยิบมันขึ้นมาดูถึงได้รู้ว่ามันเป็นของพี่ลิซที่ทำตกเอาไว้ ฉันก็เลยรีบขับรถตามสองคนนั้นไปเพื่อที่จะเอาของไปคืนให้พี่ลิซ โชคดีที่ตามทัน พี่ลิซกำลังจะเดินเข้าหอพักฉันก็เลยต้องรีบเรียกเอาไว้ก่อน
“พี่ลิซคะ”
เธอหันหน้ามามองฉันแล้วทำหน้าแปลกใจที่เห็นฉันมาอยู่ที่นี่ เธอเดินมาหาฉันที่นั่งอยู่ในรถ ฉันยื่นของให้พอเธอเห็นเธอก็ยิ้มกว้างออกมาอย่างดีใจ เห็นว่าเธอได้รับของแล้วฉันก็สบายใจ นี่ถ้าของสิ่งนี้หายมันต้องเป็นเรื่องแน่ๆ เลย
“หนูเห็นมันตกอยู่ที่พื้นก็เลยรีบเอามาให้พี่ลิซค่ะ”
“ขอบใจนะจัส ว่าแต่รู้ได้ยังไงว่าเป็นของพี่?”
พี่ลิซเลิกคิ้วถามเหมือนเธอสงสัยว่าฉันรู้ได้ยังไง ไม่รู้สิแปลกสลักชื่อของพี่คิณณ์กับเธอซะขนาดนั้น
อีกอย่างที่นิ้วนางข้างซ้ายของพี่คิณณ์ก็มีแหวนสวมอยู่แต่ของเธอไม่มี ก็คงต้องเป็นของเธอแล้วล่ะที่หายไป
“สลักชื่อของกันและกันแบบนี้ไม่รู้สิคะแปลก”
ฉันยิ้มให้พี่ลิซที่ยิ้มตอบกลับมาแล้วขอบใจฉันที่เก็บมาคืนให้ เธอบอกว่ามันเป็นแหวนคู่ที่คิณณ์สั่งทำขึ้นมา มีแค่สองวงเท่านั้น
ได้ยินอย่างนั้นฉันก็ยิ้มอย่างดีใจที่เธอได้รับแหวนคืน จะว่าไปก็แอบอิจฉาเหมือนกันนะที่พี่ลิซมีแฟนแสนดีอย่างพี่คิณณ์แบบนี้
“ขอบใจนะ ถ้าพี่ทำหายนี่แย่เลย”
“ไม่เป็นไรค่ะ แต่ก็อย่าทำหายอีกนะคะไม่งั้นพี่คิณณ์คงน้อยใจแย่เลย”
“เดี๋ยวพี่จะเก็บไว้อย่างดีเลย”
“งั้นหนูขอกลับเลยนะคะ”
“จ๊ะ ขับรถกลับดีๆ นะ”
ฉันขับรถออกมาเพื่อที่จะกลับห้องตัวเองบ้าง แต่แล้วก็ดันเห็นพี่คิณณ์จอดรถติดไปแดงอยู่ ฉันก็เลยขับไปจอดเทียบข้างๆ เขา แล้วลดกระจกลงทักทายเขาอีกครั้ง
เขาหันกลับมายิ้มให้ฉัน รอยยิ้มของเขามันน่ารักดีนะ มันเป็นรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นและอ่อนโยนมากเลยล่ะ
“เจอกันอีกแล้วนะเนี่ย”
“นี่พี่คิณณ์จะไปไหนต่อคะ?”
“พี่ไปทำงานน่ะ”
พี่คิณณ์ชี้ไปที่ด้านหลังตัวเองที่มีกล่องเหล้าอยู่สองกล่องเหมือนจะไปส่งของ
“ดึกขนาดนี้ยังทำงานอีกเหรอคะ?”
ฉันถามอย่างแปลกใจที่คนคนเดียวจะทำได้หลายงานขนาดนี้ เขาไม่เหนื่อยบ้างเหรอ ฉันเคยเอารถไปซ่อมกับเขานะและเขาเคยเล่าให้ฟังว่าเขาทำหลายงานมาก
ตอนเช้าถึงเย็นทำงานที่อู่ซ่อมรถ ตกเย็นหน่อยก็ทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟ ดึกๆ ก็ยังมาส่งของแบบนี้อีก พี่คิณณ์หัวเราะแล้วส่ายหน้าเหมือนเขาไม่เหนื่อยเลยที่จะทำสิ่งเหล่านี้
“คนมันจนช่วยไม่ได้”
เขายักไหล่เหมือนไม่แคร์อะไรทั้งนั้น ถ้าผู้ชายบนโลกนี้เป็นเหมือนเขาทุกคนก็คงดีสินะ โลกนี้ก็คงน่าอยู่มากขึ้น และผู้หญิงหลายคนก็คงจะโชคดีเหมือนพี่ลิซเหมือนกันที่ได้แฟนน่ารักอย่างพี่คิณณ์
“พักบ้างนะคะเดี๋ยวไม่สบายนะ”
ฉันเตือนอย่างเป็นห่วง ทำงานหักโหมเกินไปไม่รู้ว่าเขาได้พักหรือเปล่า มันก็ใจคอไม่ดีขึ้นมา ถึงว่าล่ะทำไมวันนั้นที่พี่คิณณ์มาช่วยฉันตอนที่รถฉันเสียกลางดึก แสดงว่าวันนั้นเขากำลังทำงานอยู่แน่ๆ
“ขับรถดีๆ ด้วยนะคะ ดึกๆ แบบนี้รถวิ่งกันเร็ว”
“คร้าบบบบบบบ”
พี่คิณณ์ลากเสียงยาวแล้วขับรถออกไปเมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว ฉันยิ้มให้แผ่นหลังของพี่คิณณ์อดชื่นชมในความขยันของเขาไม่ได้
จะมีผู้ชายสักกี่คนที่ทำเหมือนเขาคนนี้ได้ แบบนี้ไงฉันถึงได้บอกว่าพี่ลิซน่าอิจฉาที่มีแฟนน่ารักๆ อย่างพี่คิณณ์แบบนี้
[JASMIN : SAID END]