บทที่ 4 เพื่อนเราคนนี้ไร้เดียงสา
อารยารู้ว่าเพื่อนประหยัดมาก เงินทุกบาทที่หามาได้ต้องใช้สอยอย่างรอบคอบ แม้แต่ของฟุ่มเฟือยเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็แทบจะไม่ได้ซื้อ เธอจึงมักจะแบ่งปันสิ่งที่ตัวเองมีให้เพื่อนด้วย อย่างพี่สาวของเธอที่ทำงานอยู่ในบริษัทเครื่องสำอางชั้นนำ เมื่อได้สินค้าทดลองใช้มา เธอก็มักจะนำมาแบ่งปันให้เพื่อนคนนี้ได้ใช้เสมอ
“อือ อีกประมาณหนึ่งอาทิตย์ภาคต่อของทรูเลิฟจะออกมาแล้วนะ ได้อ่านที่ให้ไปหรือยัง”
“อ่านแต่แบบเล่มเดียวจบ แบบที่เป็นเล่มต่อยังไม่ค่อยได้อ่านหรอก อ่านแล้วอารมณ์มันค้างน่ะ”
“จีนก็ไม่อ่านเหมือนกัน เมื่อก่อนอ่านนะ อ่านแล้วเสียอารมณ์เป็นบ้า บางทีค้างตอนเลิฟซีน หงุดหงิดมากขอบอก”
“ปั่นหัวเพื่อนครีมอีกแล้วนะคุณหนูจีน” พันวาที่เพิ่งเดินเข้ามาสมทบเหน็บเพื่อนสาวลูกเจ้าของธุรกิจที่มีนิสัยก๋ากั่น ปากคอเราะรายผิดกับคุณหนูทั่วไป
“ปั่นอะไรยะคุณวา ฉันยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ”
“เธอก็รู้ว่าเพื่อนเราคนนี้ไร้เดียงสาแค่ไหน ยังจะพูดเรื่องเลิฟซีนให้นางฟังอีก เดี๋ยวนางก็ตัวแดงหรอก” เป็นที่รู้กันในกลุ่มว่าเวลาเพื่อนสาวคนนี้อายทีไร ตัวจะแดงเถือกทั้งตัว ไม่ใช่แดงเฉพาะใบหน้าเหมือนชาวบ้านชาวช่องเขา
“ไม่ใช่แบบนั้นซะหน่อย วาก็ว่าครีมแรงจัง”
“จริงเหรอ” พันวามองเพื่อนด้วยสายตามีแผน “เมื่อคืนนะ ฉันดูหนังเกาหลีเรื่องหนึ่ง พระเอกเป็นเกย์มีอะไรกับองครักษ์ของตัวเอง โอ้โห พี่แกเลียตั้งแต่หัวนมยันไปถึงตรงนั้นเลยนะครีม วาใจสั่นหวิวเลย โคตรอยากเป็นองครักษ์เลย” ตัวคนพูดก็ทำท่าสั่นสะท้าน ใบหน้าชวนเคลิบเคลิ้ม “อยากให้พระเอกจัดให้สักดอก”
“พอเถอะวา พูดอะไรก็ไม่รู้” สุภัครพีหน้าแดงก่ำ ร้อนวาบไปทั่วทั้งกายด้วยความเขินอายต่อคำพูดของเพื่อน
“นั่นไง ๆ แดงแล้วเห็นหรือเปล่า คิก ๆ ๆ” อารยายกแขนของสุภัครพี ชี้ชวนให้พันวาดูพร้อมกับกลั้วหัวเราะด้วยความขบขัน
พันวาหัวเราะลั่น รีบเม้มปากเมื่อเพื่อนร่วมสถาบันที่นั่งอยู่รอบ ๆ หันมามอง “คราวหน้าเวลาอยู่ในบ้าน แก้ผ้าให้ดูหน่อยนะ อยากจะดูว่าแดงไปถึงไหน”
“วาพูดอะไรก็ไม่รู้ ไม่คุยด้วยแล้ว” สุภัครพียกมือกุมแก้มทั้งสองข้างแล้วตบเบา ๆ เพื่อให้รู้สึกเจ็บ จะได้หายอาย
“ครีมไม่เคยมีแฟนเลยเหรอ” พันวาถาม
“ไม่เคยหรอก เราไม่มีเวลาชอบใครหรอก”
“จะยี่สิบแล้วนะ ยังไม่เคยมีแฟนเลยเหรอ รู้ไหมว่าจีนเลิกกับแฟนไป..ห้าคนแล้ว” อารยาคิดสักครู่ก่อนตอบ
“วาก็เคยเลิกกับคนที่รักกันมากเหมือนกัน คบกันตั้งแต่ขึ้นมอปลาย แต่พอวาเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยได้แค่หกเดือน มันก็บอกเลิกกับวา มันบอกว่ามันยังรักวาอยู่แต่มันไม่ชอบรักทางไกล แต่พอให้เพื่อนที่บ้านนอกสืบให้ ปรากฏว่ามันมีแฟนใหม่อยู่ที่ราชภัฏเดียวกัน แม่งโคตรเจ็บ” พันวานึกถึงอดีตคนรักสมัยที่เรียนอยู่ขอนแก่นด้วยกัน “ความรักสามปีแพ้ความรักหกเดือน”
“ครีมไม่กล้ามีแฟนเพราะครีมคงไม่มีเวลาให้เขาแน่ เพราะต้องทำงานหาเงิน ฉะนั้นไม่มีจะดีกว่า ว่าแต่ทำไมแมวมาช้าจัง”
“เมื่อกี้เห็นคุยกับอาจารย์อยู่นะ แต่มีคนอื่นมาแทนแมวแล้วนั่น” พันวาที่นั่งหันหน้าไปทางที่เขาคนนั้นเดินมาพอดีเอ่ยขึ้น “เธอไม่คิดจะรักพี่เขาบ้างเหรอครีม พี่เขาจีบเธอมาตั้งแต่วันรับน้องเลยนะ”
สุภัครพีหันกลับมามองเพื่อน “พี่กาแฟเขาก็แค่เอ็นดูเราเท่านั้นแหละ”
“เทียวไล้เทียวขื่อแบบนี้เขาไม่เรียกว่าเอ็นดูหรอกนะ เขาเรียกว่าจีบ” อารยากระซิบกระซาบ แล้วส่งยิ้มให้ชายหนุ่มที่เดินมาเกือบจะถึงโต๊ะที่พวกตนนั่ง
“สวัสดีจ้ะสาว ๆ กำลังนินทาพี่อยู่ใช่ไหม” นักศึกษาหนุ่มปีสามทักทายสาว ๆ รุ่นน้องปีหนึ่งทั้งสามคนอย่างอารมณ์ดี แล้วถือวิสาสะนั่งลงตรงที่ว่างข้าง ๆ หญิงสาวที่เขาสนใจมากเป็นพิเศษ “สวัสดีค่ะน้องครีม”
“สวัสดีค่ะพี่กาแฟ วันนี้มีเรียนเหรอคะ”
“เปล่าหรอกค่ะ พี่มีนัดกับอาจารย์ก็เลยแวะมาหาน้องครีมด้วย พี่มีของมาฝากค่ะ ช่วงวันหยุดพี่กลับบ้านมา” พรหมเทพยื่นถุงของฝากให้หญิงสาว
“ครีมเคยบอกแล้วนี่ว่าไม่ต้องซื้อมาฝากครีมแล้ว” ทุกครั้งที่เขากลับบ้านที่จังหวัดสงขลา เขาจะหิ้วของฝากมาให้เธอตลอด และเขาก็กลับบ้านบ่อยมากจนทำให้เธอเกรงใจ
“พี่อยากซื้อนี่นา ครีมก็รับไว้เถอะนะ” หนุ่มหน้าคมลูกชายเจ้าของไร่กาแฟที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ครีมเกรงใจที่รับอยู่ฝ่ายเดียว ไม่เคยซื้ออะไรฝากพี่กาแฟบ้างเลย”
“แค่รับของฝากจากพี่ก็พอแล้ว เรื่องนั้นไม่ต้องคิดมากไปหรอก”
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณนะคะ”
“รับของฝากแล้วรีบไปกันเถอะ วันนี้ฉันอยากไปซื้อของใช้สักหน่อย”
“แต่แมวยังไม่มาเลยนะ”
“นั่นไง นางมาแล้ว”
สุภัครพีหันไปมองแล้วจึงหันกลับมากล่าวลาชายหนุ่มรุ่นพี่ เพื่อไปซื้อของใช้ส่วนตัวกับเพื่อน ๆ
ใกล้สิ้นปีเข้ามาแล้ว คนอื่น ๆ ต่างก็มีโปรแกรมไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ และครอบครัว แต่สำหรับสุภัครพีแล้วเธอกลับต้องมานั่งดูแลพ่อที่เอาแต่เมา จมอยู่กับความทุกข์ระทมที่ว่าตัวเองเลี้ยงเมียได้ไม่ดี เมียจึงต้องล้มป่วยจนตายจากไปตั้งแต่ยังสาว
“พ่อกินข้าวหน่อยนะจ๊ะ” เธอบอกกับบิดาหลังจากท่านตื่นนอนในตอนสาย ๆ ของวัน เรียกว่าเป็นช่วงที่ท่านมีสติสมบูรณ์ที่สุดของวัน
“พ่อไม่กินหรอกลูก หนูกินเถอะ”
“แต่พ่อไม่สบายอยู่นะ ถ้าไม่กินข้าวมันจะยิ่งแย่ไปใหญ่นะจ๊ะ”
“พ่อสบายดีนะ ไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อย” สุภัคแย้งลูกสาว นั่นก็เพราะเขาเมาหนัก จนจำไม่ได้ว่าตัวเองป่วยหนักถึงขนาดอาเจียนเป็นเลือด หมดสติอยู่ริมถนนก็หลายครั้ง ทุกครั้งก็ได้ชาวบ้านในละแวกช่วยพามาส่งเอาไว้ที่ห้องเช่า “ครีม”
“จ๋าพ่อ”
“ขอเงินพ่อสักร้อยสิลูก”
“กินข้าวก่อนนะพ่อนะ ถ้าพ่อกินข้าวแล้วครีมจะให้เงินพ่อนะ” หญิงสาวหว่านล้อมบิดา
“พ่อกินไม่ลงหรอกลูก ร่างกายพ่อมันรับอย่างอื่นไม่ได้แล้วนอกจากเหล้า ให้เงินพ่อเถอะนะลูกนะ” ต่อให้เขากลายเป็นไอ้คนขี้เมา แต่เขาก็ไม่เคยเป็นขี้เมาเจ้าอารมณ์ และไม่เคยแล้งน้ำใจกับเพื่อนบ้าน อะไรที่ช่วยได้ก็จะช่วยเท่าที่สติจะอำนวย จึงไม่มีคนเกลียดขี้หน้าเขา ในบ้านจึงมีของกินของฝากจากคนอื่น ๆ อยู่เสมอ ทำให้พอประหยัดค่ากินไปได้บ้าง
“ดื่มแต่เหล้าร่างกายจะพังเอานะจ๊ะพ่อ อย่างน้อยก็กินข้าวรองท้องสักหน่อยจะดีกว่า”
“อย่าบังคับพ่อเลยนะลูกครีม ขอเงินให้พ่อเถอะนะ” บุรุษผู้เคยอ่อนโยนและขยันทำมาหากินแบมืออ้อนวอนลูกสาว
“ถ้าพ่อไม่กินครีมก็ไม่ให้” เธอข่มใจแข็งใส่บิดา เดินกลับไปกินข้าวที่เตรียมเอาไว้