ตอนที่ 4
ฝ่ายของผู้ถูกหมายหัวทั้งหลายนั้นกลับยังไม่มีผู้ใดรู้ตัวสักคนเพราะในจวนจิ้งหนานโหวนับตั้งแต่วันงานแต่งของบุตรสาวคนรองที่ล่มไม่เป็นขบวน จนทำให้ทุกคนภายนอกอาจคิดว่านายท่านหลู่หรือจิ้งหนานโหวล้มป่วยหลังจากคุณหนูรองหลู่หนีงานแต่งแต่ความเป็นจริงมีเพียงโจวอี้เหนียงกับคุณหนูสามหลู่เท่านั้นที่ทราบดีว่าใครถึงเบื้องลึกเบื้องหลังนี้ ที่เป็นต้นเหตุให้จิ้งหนานโหวล่มป่วยหนักเช่นทุกวันนี้
หลู่ฮั่นเหลียง หรือจิ้งหนานโหวคือบุรุษวัยสี่สิบสามปี รูปร่างสูงใหญ่กำยำถึงเขาไม่ใช่นักรบแต่คงเพราะเขาอยู่กรมโยธามาตั้งแต่อายุสิบแปดจากขุนนางระดับล่างจนปัจจุบันจิ้งหนานโหวคือเจ้ากรมโยธาแห่งต้าเซี่ยมาได้เจ็ดปีแล้วขุนนางบุ๋น แต่เขามักไปตรวจงานก่อสร้างบ่อยไม่แปลกที่รูปร่างจะยังสูงใหญ่กำยำราวกับขุนนางบู๊ ซึ่งไม่น่าเชื่อได้เลยว่าคนร่างกำยำและอายุเพิ่งจะเท่านี้ไม่น่าจะล้มป่วยหนักจนกลายเป็นผักดองอย่าเอ่ยว่าเดินเหินไม่ได้ จิ้งหนานโหวแม้แต่พูดก็ยังพูดไม่ได้เลยด้วยซ้ำ หากสังเกตย่อมมีหลายจุดให้สงสัยมากมาย
แต่คนถูกกระทำเช่นจิ้งหนานโหวพูดไม่ได้นอนเป็นผักเหี่ยวเฉาไปแล้วสองแม่ลูกย่อมไม่มีทางปริปากพูดออกมาเด็ดขาด โดยเฉพาะกับคุณชายใหญ่หลู่ หลู่ฮ่าวอวี่ พวกนางย่อมไม่มีทางเปิดปากบอกความจริงออกไปให้อีกฝ่ายร่วมรับรู้เป็นแน่
ยังดีว่านับตั้งแต่วันงานแต่งงานที่ล่มไม่เป็นกระบวนหลู่ฮ่าวอวี่เองเขาก็ต้องวิ่งไปตามหาน้องสาวคนรองสลับกับแบ่งเวลาไปทำงาน ส่วนกลางคืนหลู่ฮ่าวอวี่นั้นยังต้องกลับมาดูแลงานของบิดาที่เป็นถึงเจ้ากรมโยธา เขาจึงยิ่งไม่มีเวลาสังเกตหรือสงสัยถึงอาการป่วยของบิดา นอกจากแวะดูอาการทุกวันก็ยกให้มารดากับน้องสาวดูแลไป
รวมไปถึงแม่นมและสาวใช้ของคุณหนูรองหลู่ที่หายตัวไปทั้งหมดหลู่ฮ่าวอวี่เองก็ลืมนึกถึงไปเสียสิ้น เรียกได้ว่าเกือบสองเดือนเศษที่ผ่านมาหลู่ฮ่าวอวี่กินอิ่มนอนหลับยังทำไม่ได้เช่นนั้นจะไปสนใจสิ่งอื่นภายในจวนได้อย่างไร
"พวกเจ้าออกไปด้านนอกเถอะ ข้าจะดูแลจิ้งหนานโหวเอง"
โจวอี้เหนียง หรือโจวอิ๋งชุน ปีนี้นางอายุสามสิบแปดปีแต่รูปร่างและใบหน้ากลับยังดูอ่อนเยาว์ราวกับอายุเพิ่งยี่สิบกว่าปี เอ่ยกับสาวใช้ในเรือนส่วนตัวของจิ้งหนานโหวด้วยสีหน้าอ่อนโยน น้ำเสียงมากเมตตา
"นายท่านเจ้าค่ะ ดื่มยาหน่อยนะเจ้าค่ะ"
ร่างอรชรทรุดลงนั่งด้านข้างเตียง จัดการนำผ้าเช็ดหน้าเหน็บตรงหน้าอกและลำคอ จากนั้นนางก็หยิบถ้วยยามาตักป้อนหลู่ฮั่นเหลียง คนป่วยบนเตียงที่ขยับได้เพียงดวงตา จับจ้องใบหน้างามที่ตนเองเคยหลงใหล พลันนั้นดวงตาของจิ้งหนานโหวก็สั่นระริก
"อื้อ! อื้อ! "
หลู่ฮั่นเหลียงพยายามที่จะไม่ยอมเปิดปากรับการถูกป้อน เพราะตนเองกระจ่างมาหลายเดือน ยานี้หาได้รักษา แต่มันกำลังฆ่าเขาช้าๆ ต่างหาก
"ท่านพี่อย่าดื้อดึงสิเจ้าค่ะ ดื่มยาเสีย ท่านพี่ไม่อยาไปพบหน้า ท่านพ่อท่านแม่ ฮูหยิน กับคุณหนูรองหลู่โดยเร็วหรือเจ้าค่ะ ทุกคนไปรออยู่นานแล้วนะ ท่านพี่ไม่รีบหน่อยหรือ"
ทุกคำพูดโจวอิ๋งชุนเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หากแต่รอยยิ้มดังกล่าวกลับไปไม่ถึงดวงตา จิ้งหนานโหวแค้นใจจนสั่นไปหมดทั้งร่าง หากแต่โกรธแค้นแน่นอุรา กลับมิอาจทำอันใดได้เลย รู้ตัวเมื่อสายมันเป็นเช่นนี้นี่เอง
"อื้อ!"
โจวอี้เหนียงกดนิ้วเรียวงามบีบลงไปบนขากรรไกรโดยแรง จากริมฝีปากหนาของจิ้งหนานโหวเผยออ้าออก จากที่แต่แรกตักป้อน บัดนี้นางเทกรอกลงไปทั้งถ้วย หลู่ฮั่นเหลียงน้ำตาไหลอาบแก้มนับตั้งแต่เติบโตขึ้นมาเขาไม่เคยคิดเลยว่าตนเองจะตกมาอยู่ในสภาพเช่นนี้
อยู่มิสู้ตาย...
วันนี้หนุ่มใหญ่กระจ่างแล้ว อยากตายก็มิอาจตายได้ อยากอยู่ก็ใช่จะสบาย ชีวิตของเขาในยามนี้เป็นดังนี้ รู้ทั้งรู้ว่าที่อีกฝ่ายให้กินคือยาพิษ แต่กลับมิอาจปฏิเสธ ทุกสิ่งทุกอย่างบังเกิดมาจากเขาที่ชักศึกเข้าบ้าน นำพาอสรพิษมาสังหารคนทั้งตระกูล
"คงยากตายเต็มทีแล้วกระมัง อย่าเพิ่งใจร้อนสิท่านพี่ รอก่อน ไม่นานหรอก ท่านได้ตายสมใจแน่"
โจวอี้เหนียงก้มลงไปกระซิบที่ข้างหูของบุรุษโง่เขลาตรงหน้า ใบหน้าของนางประดับไปด้วยรอยยิ้มแสนหวาน ดวงตาของนางกระจ่างนัก อดีตหลู่ฮั่นเหลียงเคยคิดว่านางงดงามที่สุด มาบัดนี้คนงามตรงหน้ากลับกลายเป็นนางปีศาจร้ายไปเสียแล้ว
"อี้เหนียง ท่านอยู่ที่นี่เอง"
เป็นหลู่ฮ่าวอวี่ที่เพิ่งกลับมาจากจวนเฉินกั๋วกงด้วยใบหน้าอ่อนล้า ซึ่งนับจากหลู่อวี้หลิงกระโดดหน้าผาหายไปไม่พบร่างไม่ว่าเป็นหรือตาย เขากลับมาก็ต้องแวะมาเยี่ยมบิดาก่อนเป็นอันดับแรกเช่นนี้ทุกวัน
"คุณชายใหญ่กลับมาแล้วหรือเจ้าค่ะ"
บุตรชายของตนเองแท้ๆ แต่กลับมิอาจเรียกเขาได้เต็มปาก ต้องก้มศีรษะให้ โจวอิ๋งชุนเจ็บช้ำมาโดยตลอดยี่สิบเอ็ดปี แต่อีกไม่นานหรอกอีกไม่นานทุกสิ่งจะสมดังที่นางต้องการทั้งหมดแล้ว
"เป็นอย่างไรบ้าง มีสิ่งใดคืบหน้าบ้างหรือไม่"
ถามทั้งที่นางพอจะรู้ผลอยู่แล้ว แต่กับบุตรชายนางจะต้องเป็นอี้เหนียงแสนดีและอ่อนโยน
"ยังเหมือนเดิมขอรับ แล้วท่านพ่อเล่า อาการเป็นอย่างไรบ้าง"
ตอบออกไปด้วยแววตาอ่อนล้า ก่อนจะถามความคืบหน้าอาการของบิดา สองเดือนเศษ สำหรับเขามันไม่ง่ายเลย ยิ่งหลังจากบิดาล้มป่วย เขาต้องรับหน้าที่ผู้นำสกุลหลู่ทั้งที่ไม่ทันตั้งตัวเตรียมใจ ออกจะเกินกำลังเขาไปมากจริงๆ
"ก็ยังเหมือนเดิมนั่นแหละคุณชายใหญ่"
ขณะตอบบุตรชายโจวอี้เหนียงก็ลงมือบีบนวดไปตามขาของคนป่วย มองอย่างไรก็คือภรรยาที่จงรักภักดีกับสามี แต่ใครเล่าจะรู้ดีไปกว่าจิ้งหนานโหวไปได้ ว่าสตรีบัดซบผู้นี้มันร้ายกาจยิ่งกว่าอสรพิษ!
"อื้อ อื้อ"
เขาอยากพูดอยากบอกบุตรชาย แต่กลับทำได้เพียงร้อง"อื้อๆ" เท่านั้นเจ็บใจแค้นใจ คงไม่ต้องบรรยายว่ามากเพียงใดในหัวอกของหลู่ฮั่นเหลียง
"นายท่านคงอยากถามคุณชายใหญ่กระมังว่าพบคุณหนูรองแล้วหรือไม่"
โจวอี้เหนียงพูดเสียงอ่อน ใบหน้าและแววตาก็ปั้นแต่งจนเศร้าโศกสมจริง อาจเพราะยี่สิบกว่าปีนางสวมบทบาทมานาน โกหกผู้คน จนตนเองบางวันก็ไม่แน่ใจแล้วว่าที่ตนเองกล่าวออกมาอันใดจริง สิ่งไหนปั้นแต่ง
"ท่านพ่ออย่ากังวลไปเลยขอรับ ไม่แน่ว่าป่านนี้ น้องรองอาจถูกคนช่วยไว้และคงกำลังหาทางกลับจวนก็เป็นไปได้"
หลู่ฮ่าวอวี่ไม่แน่ใจว่าที่เขาเอ่ยออกมานี้ปลอบใจตนเองหรือปลอบใจบิดากันแน่
"นั่นสิเจ้าค่ะนายท่าน คุณหนูรองจะต้องปลอดภัย คนตายต้องพบศพนานแล้ว ในเมื่อไม่พบศพ คนต้องปลอดภัยแน่นอน"
ฟังผิวเผินที่โจวอี้เหนียงเอ่ยเช่นนี้คือปลอบใจสามี ทว่าสำหรับหลู่ฮั่นเหลียงที่รู้แล้วว่าภายใต้หน้ากากแสนดีของสตรีลายดอกตรงหน้าก็คือปีศาจร้ายมากเล่ห์ มีหรือจะฟังไม่เข้าใจว่านางต้องการจะสื่อสารอันใดกับตนเอง
"ท่านพ่อ พักรักษาตัวให้ดีนะรอรับ ไม่แน่พรุ่งนี้อาจมีข่าวดี"
หลู่ฮ่าวอวี่พูดปลอบใจบิดาอีกหลายประโยค ก่อนจะกลับเรือนของตนเองเพื่อไปตรวจบัญชีที่เป็นกิจการของสกุลหลู่ต่อ หลังจากบิดาล้มป่วยน้องสาวหายไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นกิจการของสกุลหลู่ หลู่ฮ่าวอวี่ต้องรับมาดูแลทั้งหมดจากในอดีตเขาแค่ช่วยบิดาแล้วแต่อีกฝ่ายจะมอบหมาย
ซึ่งกิจการของสกุลหลู่ก็มีไม่น้อย ดังนั้นทุกวันนี้ เขาจึงแทบไม่ได้กินอิ่มนอนหลับ ยังดีว่างานภายในจวน มารดากับน้องสาวช่วยเขาได้มาก ไม่อย่างนั้นหลู่ฮ่าวอวี่คงไม่เหลือแม้แต่เวลาสักวันละสองชั่วยามก็เป็นไปได้ยิ่งในใจรู้สึกผิดและติดค้างหลู่อวี้หลิง ร่างกายของชายหนุ่มวัยยี่สิบเอ็ดปีเศษจึงผ่ายผอมและทรุดโทรมลงไปไม่น้อยเลย
ส่วนมู่หรงจิ่งเองช่วงนี้เขาก็มีสภาพไม่ต่างจากหลู่ฮ่าวอวี่นัก เพราะยิ่งนานวันในใจของเขาก็ยิ่งกังวล ช่วงแรกพอไม่พบศพก็ยังพอมีความหวัง แต่นอกจากรองเท้าก็ยังไม่พบสิ่งของอื่นใด สอบถามไปตลอดสายน้ำที่ต้นกำเนิดนั้นมาจากน้ำตกแห่งนั้น แต่ผ่านมาร่วมสองเดือนไม่พบอันใดเลย ถึงจะพยายามปลอบใจทุกวันอยู่ได้บ้างว่านางอาจรอดชีวิตเพราะมีคนช่วยเอาไว้ เรียกว่ายิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าใด เขาก็พยายามหลอกตนเองเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้น
เพราะคนตายต้องพบศพ ในเมื่อไม่พบศพ นั่นก็หมายความว่า หลู่อวี้หลิงนั้นยังคงมีชีวิตอยู่ พอหลอกตนเองนานไปใจก็ยิ่งมีแต่ความหวัง คาดหวังเต็มเปี่ยม เขาจะได้พบหลู่อวี้หลิงแน่นอน คิดวาดฝันไปว่าเมื่อได้พบกับนางเขาจะง้องอนนางให้ดี จะสารภาพกับนางว่าแต่แรกตนเองตั้งใจหลอกลวงนางจริง ทว่าผ่านไปสองปี เขากลับรักนางจริงๆ
ชีวิตนี้ของเขาขาดนางไม่ได้ มู่หรงจิ่งคิดฝันเอาไว้ดิบดี คิดว่าตนเองจะจัดงานแต่งงานอีกครั้ง หากนางไม่พึงใจให้เขารับหลู่อวิ๋นเซียงเข้าจวน เขาก็จะตามใจหลู่อวี้หลิง ในเมื่อสตรีนั้นมีมากมาย แค่ตัดหลู่อวิ๋นเซียงไปสักคนยังจะนับเป็นอันใดสำหรับเขาได้อีก เรียกว่าคิดแต่ในมุมมองของตนเองแต่ฝ่ายเดียว มู่หรงจิ่งไม่เคยเผื่อใจเอาไว้เลยว่า หากพบกัน หลู่อวี้หลิงนั้นจะไม่ยอมอภัยให้ตนเอง
แต่แล้วสิ่งมู่หรงจิ่งที่คาดหวังก็พังทลายลงทันทีหลังจากมีชาวบ้านไปหาของป่าใกล้บริเวณน้ำตกแล้วพบเข้ากับซากศพในชุดเจ้าสาวเต็มยศที่แทบจะเหลือเพียงโครงกระดูกนั่งหลบอยู่ตรงซอกหินก้อนใหญ่ให้อีกสองเดือนเศษต่อมาเข้าเสียก่อนความหวังทั้งหลายจึงทลายสิ้นในทันใด
"ที่ผ่านมาหาไม่พบเพราะพวกเราคิดว่าหลิงเอ๋อร์จะลอยไปกับสายน้ำ ใครจะคาดนางปีนขึ้นมาจากน้ำได้แต่คงมิอาจพาตนเองไปไกลว่านี้ได้"
คราวนี้หลู่ฮ่าวอวี่หลั่งน้ำตาออกมาแล้วจริงๆ เมื่อยามไม่พบศพยังพอจะหลอกตนเองได้ว่าน้องสาวอาจรอดไปได้ แต่อาจจะบาดเจ็บหนักหรือไม่ก็ไม่คิดจะกลับมาพบพวกตน หากแต่ในยามนี้พบศพอยู่ตรงหน้า มองเช่นไรก็เป็นหลู่อวี้หลิงในวันที่กระโดดหน้าผาลงมาจริงๆ น้องสาวตัวน้อยแสนดีตายจากเขาไปแล้ว นางไม่อาจกลับมาได้แล้ว น้ำตาของบุรุษไหลเต็มหน้า หัวเข่าแกร่งทรุดลงหน้าร่างของผู้ที่เขาแน่ใจว่าเป็นน้องสาวอย่างคนหมดสิ้นแล้วซึ่งเรี่ยวแรง สิบเจ็ดปี หลู่อวี้หลิงและมารดาของนางดีกับเขามาก ไม่เคยมองว่าเขาเป็นบุตรที่เกิดจากสตรีอื่นที่เข้ามาแย่งความรักของทั้งสองไป แล้วสิ่งที่เขาตอบแทนพวกนาง…
"หลิงเอ๋อร์พี่ใหญ่ขอโทษ เจ้ากลับมาได้หรือไม่หลิงเอ๋อร์ พี่ใหญ่ผิดต่อเจ้า หลิงเอ๋อร์!"
ในขณะที่หลู่ฮ่าวอวี่กำลังฟูมฟายไร้สติ มู่หรงจิ่งเองก็ใช่จะดีกว่าลูกน้องคนสนิท ถึงแม้เขาจะมิได้ฟูมฟายเช่นท่านที่ปรึกษาหลู่แต่ภายในใจนั้นอาจย่ำแย่ยิ่งกว่า สองเดือนเศษที่สร้างความหวังอย่างคนโง่เขลาหลอกตนเองมาตลอด พอวันนี้ย่อยยับสิ้น มู่หรงจิ่งก็มิอาจจะพูดอันใดได้แม้เพียงครึ่งคำ
มันจุกแน่นขมขื่นในอกไปหมดความขมขื่นดังกล่าวนั้นพุ่งขึ้นมาถึงในปากของเขาแล้ว สุดท้ายจึงรู้ว่าตนเองอยากอาเจียน ร่างสูงใหญ่จึงวิ่งไปหลบอาเจียน คราวนี้ไม่รู้ว่าน้ำตาที่ไหลลงมาตามแก้มนั้นเป็นเพราะอาเจียนอย่างหนัก อาเจียนจนเหมือนจะเอาลำไส้ออกมา หรือมันไหลเพราะในใจของเขามันทนความเจ็บปวดไม่ไหวกันแน่
ความผิดบาปที่หลอกลวงหลู่อวี้หลิงนั้นมีมากก็จริงแต่มันไม่มากเท่าความเสียใจ มู่หรงจิ่งเสียใจที่เขารู้ตัวช้าไป เขารู้ตัวว่ารักหลู่อวี้หลิงก็ในวันที่เห็นนางกระโดดหน้าผาต่อหน้าต่อตาโดยที่เขามิอาจคว้าร่างของนางเอาไว้ได้ทัน และยิ่งนานวันที่เฝ้าตามหาเขาจึงยิ่งกระจ่าง อันใดคือความรัก อันใดคือความหลงได้อย่างจัดเจน
แน่นอนว่าเขาเพิ่งตาสว่าง ว่ากับหลู่อวิ๋นเซียงนั้นเป็นความหลง พอนางดูได้มายากเขาจึงยิ่งอยากได้ เพราะตลอดชีวินยี่สิบห้าปีของบุตรชายคนโตของจวนเฉินกั๋วกง ไม่เคยมีสตรีใดที่เขาอยากได้อยากครอบครองแล้วไม่ได้ พอมาเจอกับหลู่อวิ๋นเซียง ที่มีข้อกำจัดและยิ่งถูกบิดากับมารดาเอ่ยขัดขวางอย่างเด็ดขาดเขาจึงยิ่งดิ้นรนอยากได้นางเพิ่มขึ้นไปอีก แต่พอสุดท้ายได้ร่วมเรียงเคียงหมอนแล้ว ที่เคยอยากได้อย่างรุนแรงจนคิดไปเองว่าคือความรักมั่นคงก็กลับจืดจาง
ผ่านมานับตั้งแต่สองเดือนเศษที่ผ่านมาเขาได้เห็นธาตุแท้ของคุณหนูสามหลู่ แม้แต่พบหน้าของหลู่อวิ๋นเซียงบอกตามตรงจากใจว่าไม่อยากพบนางแล้วจริงๆ เสียงหวานที่เคยฟังไพเราะก็รำคาญจนไม่อยากได้ยิน กลิ่นกายของนางที่เคยหอมจนร่างกายเรียกร้องอยากร่วมรักกับนาง ยิ่งนานกลับยิ่งเหม็นจนวิงเวียนศีรษะ แค่กลิ่นกายของนางลอยมาเขาถึงกับรีบร้อนหนีก็บ่อยครั้ง
แต่กับหลู่อวี้หลิง ยิ่งนานเขากลับยิ่งคิดถึง ใบหน้ายิ้มแย้มทุกครั้งที่พบหน้า ไม่เคยจู้จี้คาดคั้นเมื่อเขาหายหน้าไปหลายวัน ไม่เคยแสดงอารมณ์ไม่ดียามเมื่อนางถูกเขาขัดใจ ยามใดเห็นว่าเขาดูเหนื่อยล้านอกจากไม่ซักไซ้นางยังทำเพียงนั่งอยู่เคียงข้างเงียบๆ อาหารอร่อยมีไว้รอเขาเสมอ แค่ให้นางรู้ว่าเขาจะแวะไปเยี่ยมไปหาที่จวน ที่สำคัญนางไม่เคยว่าร้ายผู้ใดต่อให้คนผู้นั้นทำไม่ดีต่อนาง เรียกว่ายิ่งนางจากไปนานเท่าใดภาพในอดีตที่นางทำดีกับเขามันยังเด่นชัด แต่สุดท้าย…
…นางก็จากไปแล้วจริงๆ …