“พี่ใหญ่ส่งคนไปเรียกท่านหมอที พี่สามแย่แล้ว” เยว่ชิงรีบวิ่งเข้าไปช้อนตัวพี่ชายของนางขึ้นมา ใบหน้าซีดเผือดและเนื้อตัวเย็นเฉียบของลี่อินยิ่งทำให้เยว่ชิงรู้สึกหวั่นใจ
“น้องรองเจ้ารับท่านหมอไปที่เรือนที พี่จะพาน้องสามกลับเรือนเอง” เฉินกงรีบเข้าไปอุ้มน้องชายของตนขึ้นรถม้ากลับเรือนทันที เยว่ชิงที่กำลังตกใจพยายามเรียกสติตนเองกลับมา พร้อมกับเอ่ยขออภัยต่อลูกค้าในร้าน แล้วจึงได้ไหว้วานให้เผิงจงดูแลทางนี้ ส่วนตนเองนั้นรีบกลับไปดูอาการของพี่สามต่อที่เรือน
“บุตรชายข้าเป็นอย่างไรบ้างท่านหมอ” ลู่หวังเหล่ยเร่งกลับเรือนทันทีหลังจากที่บ่าวในเรือนไปแจ้งว่าบุตรชายของตนนั้นล้มป่วย
“หากตรวจดูจากอาการของคุณชาย อาจเกิดจากหยินหยางไม่สมดุลกัน แต่อย่างไรข้าจะต้องสอบถามอาการจากคุณชายหลังจากที่เขาตื่นอีกครั้ง” ทุกคนเฝ้ารอไม่นานลี่อินก็ได้สติขึ้นมา
“ลี่อิน! ลูกแม่ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” น้ำสีใสเคล้าคลอในหน่วยตาแดงก่ำของผู้เป็นมารดา ซูเมิ่งตกใจจนแทบสิ้นสติ เมื่อเห็นว่าเฉินกงอุ้มลี่อินเข้ามาในเรือน ดวงใจของมารดาปวดหนึบราวกับถูกบีบรัด
“ท่านแม่ ข้ามิเป็นอันใดขอรับ คงเพราะเมื่อคืนข้านอนไม่หลับจึงได้อ่อนเพลีย” ลี่อินคิดว่าตนเองคงเหนื่อยล้าเนื่องจากพักผ่อนไม่เพียงพอ จึงได้เอ่ยเช่นนั้นกับมารดาไป
“อย่างไรเจ้าให้ท่านหมอตรวจดูก่อนเถิด แม่เป็นห่วง”
“ขอรับท่านแม่” ลี่อินจำใจพยักหน้ารับ ทั้งที่ในใจเขามิอยากให้ท่านพ่อ ท่านแม่เสียเงินทองค่าจ้างท่านหมอ
“คุณชาย ช่วงนี้ท่านมีอาการหนาวสั่นบ้างหรือไม่”
“ขอรับ ข้ารู้สึกหนาวสั่นในตอนกลางคืน แต่ก็เป็นปกติมิใช่หรือ เพราะช่วงนี้เริ่มเข้าเหมันตฤดูแล้ว”
“เป็นปกติ หากท่านมิได้มีอาการใบหน้าซีด มือเท้าเย็น ลิ้นซีดมีฝ้าขาว และชีพจรบกพร่องร่วมด้วย แต่อาการพวกนี้เกิดกับท่านทั้งหมด แล้วท่านมีอาการถ่ายหนักเหลวบ้างหรือไม่” ท่านหมอเอ่ยอธิบายอาการที่ลี่อินเป็นอยู่ตอนนี้อย่างละเอียด
“ขะ ขอรับ” ลี่อินเขินอายไม่น้อยที่ต้องตอบคำถามเช่นนี้ แม้ในห้องจะมีเพียงบิดา มารดา และพี่น้องทั้งสามของเขา แต่คำถามเช่นนี้มันออกจะน่าอายไปเสียหน่อย
“เช่นนั้นสิ่งที่คุณชายเป็นอยู่ตอนนี้คงเป็นภาวะหยางพร่อง”
“แล้วอันตรายหรือไม่เจ้าคะ” ซูเมิ่งร้อนรนถามออกไป
“หากได้รับการรักษาและดูแลร่างกายอยู่เสมอก็มิได้ถึงแก่ชีวิต”
“เช่นนั้นต้องรบกวนท่านหมอแล้วขอรับ” ลู่หวังเหล่ยเอ่ยกับท่านหมออย่างนอบน้อม
“เอ่อ แท้จริงแล้วมีวิธีรักษาอยู่สองวิธี วิธีแรกคือทานยาบำรุงและดูแลร่างกาย แต่วิธีนี้จะเห็นผลช้ามาก หากผู้ป่วยมีอาการหนักอาจทำให้การรักษาเช่นนี้มิทันการ” คำพูดของท่านหมอทำให้ครอบครัวสกุลลู่ถึงกับใจเสีย
“แล้วอีกวิธีเล่าขอรับ” เฉินกงจ้องมองไปที่ท่านหมออย่างคาดหวัง
“อีกวิธีได้ผลดีชะงัก แต่ทว่าสมุนไพรที่ใช้ในการปรุงโอสถรักษานั้นหายากมาก จึงมีราคาสูงถึงจินละห้าตำลึงทอง” ยังไม่ทันที่ท่านหมอจะเอ่ยจนจบประโยค ลี่อินก็รีบเอ่ยแทรกขึ้นมา
“รักษาวิธีแรกเถิดขอรับท่านหมอ” เขามิอยากให้ครอบครัวต้องเสียเงินทองไปกับยาสมุนไพรที่ว่า อีกอย่างเขาอาจจะมิได้มีอาการหนักถึงขนาดรักษาด้วยวิธีแรกไม่หาย
“ไม่!!!” สามพี่น้องเอ่ยขึ้นพร้อมกัน ชีวิตของคนในครอบครัวต้องมาก่อน จะเสียเงินทองมากเท่าใด หากรักษาชีวิตคนในครอบครัวไว้ได้ก็ถือว่าคุ้มค่า
“ใช้สมุนไพรที่ว่าเถิดเจ้าค่ะ ท่านหมอ…จะต้องเสียกี่ตำลึงทอง พวกข้าก็มีจ่าย ขอเพียงให้พี่สามหายขาดก็เพียงพอ” ลู่หวังเหล่ย ซูเมิ่ง เฉิงกง และหมิงยู่เองก็เห็นด้วยกับสิ่งที่เยว่ชิงพูด
“แต่ว่า…” ลี่อินพยายามเอ่ยค้านขึ้นมา
“พ่อเองก็คิดเห็นตามที่น้องของเจ้าว่า เงินทองที่หามาได้หากมินำมาใช้จะนำไปทำสิ่งใดเล่า ชีวิตของคนในครอบครัวเราย่อมสำคัญที่สุด”
“ใช่แล้วน้องสาม ขอให้เจ้าหายดีเท่านั้นก็เพียงพอ เงินทองจะหาเพิ่มเมื่อใดก็ได้” หมิงยู่ยกยิ้มให้กับน้องชายอย่างอ่อนโยน เขาเข้าใจดีว่าน้องสามคงจะมิอยากให้ครอบครัวเสียเงินทองที่เก็บออมมาได้
“…” ลี่อินก้มหน้าคิดหนัก
“พี่สามรักษาตัวให้หายเถิด เพราะค่าจ้างคนบรรเลงดนตรีในร้านคงจะราคาสูงไม่น้อย หากท่านไม่รีบหาย ร้านของเราอาจจะล่มจม เพราะจ้างคนบรรเลงดนตรีก็เป็นได้” เยว่ชิงส่งยิ้มขำให้กับพี่ชาย นางตั้งใจเอ่ยเรื่องเกินจริงหวังให้พี่ชายรู้สึกขบขันไปด้วย
“คิกๆ หากค่าจ้างแพงถึงเพียงนั้น พี่คงต้องรีบหายแล้วกระมัง” ลี่อินหัวเราะให้กับคำพูดเกินจริงของน้องสาว เขาเข้าใจความปรารถนาดีของทุกคน โชคดีเหลือเกินที่เขาได้เกิดมาในสกุลลู่
“ดีแล้วลูก รักษาตัวเองให้หายดีก่อน…รบกวนท่านหมอด้วยนะเจ้าคะ” ซูเมิ่งหันไปเอ่ยกับท่านหมอ
“มิต้องกังวลไป ข้าจะรีบไปเตรียมสมุนไพรมาทำโอสถให้ โอสถที่ว่าจะต้องให้คุณชายดื่มเป็นประจำทุกเช้า หากว่าอาการเริ่มดีขึ้น ข้าจะปรับให้คุณชายดื่มเพียงเจ็ดวันครั้ง และหากอาการคงที่ คุณชายก็จะได้ดื่มโอสถเพียงเดือนละครั้งเท่านั้น ฉะนั้นแล้วหากคุณชายกังวลเรื่องเงินที่ซื้อโอสถ ท่านจะต้องดูแลตนเองและรักษาอาการให้คงที่” หลังจากท่านหมอเอ่ยอธิบายวิธีการดูแลตนเองให้กับลี่อินและทุกคนฟังแล้ว จึงขอตัวกลับไปเตรียมสมุนไพรเพื่อทำโอสถทันที
.
.
.
“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะท่านหมอ” เยว่ชิงเอ่ยถามท่านหมอที่มาตรวจ อาการพี่สาม หลายเดือนที่ผ่านมาพี่สามได้ดื่มโอสถที่ท่านหมอปรุงให้หมดไปหลายขวด ซึ่งที่ผ่านมาอาการของพี่สามก็ดีขึ้นตามลำดับ
“อาการของคุณชายเริ่มดีขึ้นแล้ว ต่อไปข้าจะลดโอสถ ให้คุณชายดื่มโอสถเพียงเจ็ดวันครั้งเท่านั้น ทั้งคุณชายมิได้มีอาการอื่นมาแทรกซ้อน ถือว่าคุณชายดูแลตนเองได้ดีทีเดียว”
“เช่นนั้นข้าจออกไปทำงานได้หรือไม่ขอรับ” ลี่อินคิดถึงการบรรเลงกู่เจิงเหลือเกิน แม้เขาจะได้บรรเลงกู่เจิงอยู่ในเรือนตลอด แต่ทว่าเขากลับคิดถึงเสียงชื่นชมจากลูกค้าในร้านมากกว่า
“ไปได้ แต่อย่าได้หักโหมจนเกินไป มิเช่นนั้นค่ายาที่จ่ายไปจะสูญเปล่า หลังจากนี้หากว่าอาการคงที่แล้วคุณชายย่อมออกไปทำงานได้ตามเดิม”
“ขอบพระคุณท่านหมอขอรับ” ครอบครัวสกุลลู่เอ่ยขอบคุณท่านหมอจากนั้นลู่หวังเหล่ยและซูเมิ่งจึงเดินออกไปส่งท่านหมอที่หน้าเรือน อาการลี่อินดีขึ้นเช่นนี้ ครอบครัวสกุลลู่จึงเริ่มผ่อนคลายความตึงเครียดลงได้บ้าง ในมื้ออาหารจึงกลับมามีเสียงหัวเราะขบขันดังเก่าก่อน
เวลาล่วงเลยเข้าปลายยามห้าย (21:00-22:59 น.) แล้ว แต่ทว่าเยว่ชิงกลับยังมิอาจข่มตาหลับลงได้ นางย้อนนึกถึงเรื่องราวในนิยายเรื่องชะตาร้ายขึ้นมาอีกครั้ง ยามที่ลู่เยว่ชิงเจ็ดหนาวพี่สามล้มป่วย เรื่องราวตอนนี้ตรงกับที่นิยายได้บอกไว้ ฉะนั้นแล้ว เมื่อลู่เยว่ชิงอายุได้สิบหนาวพี่ใหญ่จะถูกทางการเกณฑ์ไปทำสงครามและกลับมาเมื่อลู่เยว่ชิงอายุสิบสองหนาว ในตอนนั้นพี่ใหญ่ก็พิการขาไปเสียแล้ว
“มีเวลาอีกสองหนาว ก่อนที่พี่ใหญ่จะถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร” เยว่ชิงพึมพำออกมาแผ่วเบา นางย้อนนึกถึงตอนที่นางอ่านเรื่องราวหลังจากพี่ใหญ่พิการขา
เฉินกงกลับมาจากสงครามพร้อมร่างกายและดวงใจที่บอบช้ำ ยามเห็นสายตาที่ครอบครัวมองมาทางเขาอย่างโศกเศร้า เขายิ่งนึกต่ำใจในโชคชะตา หากฟ้าจะลิขิตให้เขาต้องมีชีวิตอยู่อย่างคนไร้ค่าเช่นนี้ สู้ให้เขาตายจากไปอย่างสมเกียรติ ดีกว่าให้เขามีชีวิตอยู่เป็นภาระของครอบครัว ทั้งบิดา มารดา น้องชายและน้องสาวต้องทำงานหนักเพื่อหาเงินทองมาใช้จ่าย แต่เขากลับทำสิ่งใดไม่ได้ วันๆ กิน นอน เป็นภาระให้ผู้อื่นต้องมาดูแล
“พี่ใหญ่เรียกข้ากับน้องมา มีสิ่งใดหรือขอรับ”
“มิมีสิ่งใด พี่เพียงอยากฝากฝังพวกเจ้าให้ดูแลท่านพ่อท่านแม่เท่านั้น หมิงยู่ เจ้าจงเติบใหญ่เป็นเสาหลักให้สกุลลู่ของเรา อย่าได้อ่อนแอ เยว่ชิง พี่ขอให้เจ้าเติบใหญ่มีชีวิตที่สดใส แม้วันหน้าจะแต่งออกไปแล้ว แต่อย่าได้ลืมสกุลเดิมของเราเล่า”
“แต่งออกอันใดกันเจ้าคะ น้องยังมิพ้นวัยปักปิ่นเลยด้วยซ้ำ” สามพี่น้องหัวเราะร่า เสียงดังลั่นจนบ่าวในเรือนยกยิ้มตาม แต่กลับมิมีผู้ใดรับรู้เลยว่านั่นจะเป็นเสียงหัวเราะสุดท้ายของเฉินกง…คุณชายใหญ่สกุลลู่
“ชีวิตนี้เยว่ชิงจะไม่ยอมให้พี่ใหญ่ต้องพบเจอสิ่งเลวร้ายเช่นนั้นเป็นแน่”