“แฮ่กๆ แฮ” เสียงหอบหายใจของเยว่ชิงดังขึ้นหลังจากที่นางใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วยามในการฝึกดาบไม้ที่พี่ชายซื้อให้ เด็กน้อยวัยห้าหนาวย้อนกลับไปนึกถึงเรื่องซื้อดาบทีไร นางก็เจ็บใจทุกครั้ง แม้จะผ่านมาหนึ่งหนาวแล้วก็ตาม เพราะบรรดาพี่ชายทั้งสามคนต่างค้านหัวชนฝา มิยอมให้นางซื้อดาบของจริง ทั้งยังขู่ว่าหากมิเอาดาบไม้ก็จะมิยอมซื้อสิ่งใดให้เลย เยว่ชิงจึงจำใจเลือกดาบไม้ที่ค่อนข้างแข็งแรงทนทาน และเลือกซื้อตำราฝึกซ้อมดาบมาอีกหนึ่งเล่ม เพื่อมิให้ครอบครัวสงสัยว่านางเรียนรู้ศิลปะป้องกันตัวต่างๆ มาจากที่ใด
“มูมู่ ตาเจ้าแล้ว” เยว่ชิงตะโกนเรียกมูมู่พร้อมกับโยนลูกหนังลูกเล็กออกไป มูมู่จึงรีบวิ่งไปกระโดดงับลูกหนังได้ในทันที ยิ่งวันเวลาผ่านไปมูมู่ก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเสือหนุ่มที่มีอายุสองหนาวย่างเข้าสามหนาว
“ดีมาก รอบนี้มูมู่ทำได้เร็วกว่าคราก่อน เด็กดีๆ” เยว่ชิงกับมูมู่มักจะมาเล่นด้วยกันเช่นนี้เสมอ หลังจากที่เยว่ชิงฝึกดาบเสร็จหนึ่งรอบมูมู่ก็จะได้ฝึกวิ่งฝึกกระโดดด้วยเช่นกัน ทั้งเยว่ชิงยังเคยใช้มูมู่เป็นคู่ต่อสู้ในการฝึกดาบอีกด้วย แม้มูมู่จะทำได้เพียงเบี่ยงตัวหลบไปมาก็เถอะนะ
“คุณหนูเจ้าคะ จะได้เวลามื้อเช้าแล้ว คุณหนูรีบไปอาบน้ำเถิดเจ้าค่ะ วันนี้คุณหนูจะต้องไปเปิดร้านซิ่งฟู่นะเจ้าคะ” เยว่ชิงได้ยินเสียงเรียกของแม่นมลี่ก็รีบเก็บดาบแล้วเข้าไปอาบน้ำอาบท่าทันที
วันนี้เป็นวันเปิดร้านซิ่งฟู่วันแรก หลังจากที่ช่างไม้เข้าไปปรับปรุงโรงเตี๊ยมเก่าให้กลายเป็นเหลาอาหารสุดหรู เยว่ชิงและครอบครัวก็ใช้เวลาร่วมหลายเดือนในการจัดเตรียมสิ่งของมากมาย เพราะพี่ชายของนางต่างคิดเห็นไปในทางเดียวกันว่าควรเพิ่มการละเล่นต่างๆ เข้ามาอีก ทำให้ตอนนี้นอกจากจะมีการโยนห่วงแล้ว ยังมีการละเล่นกลิ้งลูกหนังซึ่งคล้ายคลึงกับการโยนโบว์ลิ่ง กระดานหมาก บันไดงู และต่อแต้มที่คล้ายกับการเล่นโดมิโน่ ด้วยเหตุนี้จึงต้องใช้เวลาร่วมหนึ่งหนาวกว่าจะทำการเปิดร้านซิ่งฟู่ที่เป็นทั้งเหลาอาหาร และยังมีการละเล่นอีกมากมาย
“พร้อมแล้วหรือยัง” ลู่หวังเหล่ยเอ่ยถามภรรยาและครอบครัวของตนเอง
“พร้อมแล้วขอรับ” / “พร้อมแล้วเจ้าค่ะ” เมื่อได้ยินคำตอบรับจากทุกคน ลู่หวังเหว่ยจึงได้ส่งสัญญาณให้บ่าวรับใช้แขวนป้ายชื่อหน้าร้านทันที
ครอบครัวสกุลลู่ต่างยืนอยู่หน้าร้านเฝ้ามองร้านซิ่งฟู่ที่สร้างขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงของพวกเขา กว่าหนึ่งหนาวที่ผ่านมาทุกคนในครอบครัวสกุลลู่ทำงานกันอย่างหนักเพื่อเก็บออมเงินมากกว่ายี่สิบตำลึงทองมาใช้ในการปรับปรุงร้านซิ่งฟู่จนเสร็จสมบูรณ์ เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วทำเอาทุกคนอดที่จะหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความปลื้มปริ่มมิได้
“ร้านซิ่งฟู่…พ่อภูมิใจในตัวพวกเจ้าทุกคน” ลู่หวังเหล่ยหันมายิ้มให้กับบุตรทั้งสี่คนของเขา
“เป็นเพราะมีท่านพ่อกับท่านแม่ และทุกๆ คนในสกุลลู่คอยช่วยเหลือ เราจึงเปิดร้านซิ่งฟู่ได้ขอรับ” เฉินกงเอ่ยออกไปตามที่คิด
“เช่นนั้นก็เข้าไปช่วยกันทำงานเถิด พ่อเองก็ต้องไปท้องพระโรงแล้ว ขอให้ร้านซิ่งฟู่ของพวกเจ้าเจริญรุ่งเรือง” ซูเมิ่งและบุตรทั้งสี่ยืนส่งลู่หวังเหล่ยขึ้นรถม้าเพื่อไปทำงาน จากนั้นจึงได้เข้าร้านเพื่อช่วยกันทำงาน จากที่เยว่ชิงเคยคิดว่าจะจ้างคนเข้ามาทำงานประจำอยู่ในร้าน กลับต้องปรับเปลี่ยนแผนการเนื่องจากเมื่อปรึกษาพี่ชายและบิดามารดาแล้ว พบว่าเงินที่มีอยู่ไม่เพียงพอที่จะจ้างคน ท่านพ่อจึงได้ให้คนในเรือนออกมาช่วยงานที่ร้านก่อนในระยะแรก หากว่าร้านซิ่งฟู่เริ่มมีรายได้เข้ามา ค่อยปรับเปลี่ยนไปจ้างคนมาเพิ่ม
“เชิญด้านในก่อนเจ้าค่ะ ร้านซิ่งฟู่ของเรามีทั้งอาหารเลิศรสและสุราชั้นดี ทั้งภายในร้านยังมีการละเล่นมากมาย หากได้แต้มตามที่กำหนดจะมีรางวัลให้ทุกท่านด้วยนะเจ้าคะ” เยว่ชิงและหมิงยู่ยืนต้อนรับแขกอยู่หน้าร้าน ทั้งสองใส่หน้ากากลวดลายงดงามปิดบังใบหน้า ด้วยเยว่ชิงต้องการที่จะหาจุดขายของร้านให้มีผู้คนจดจำได้ นางจึงเลือกที่จะให้เสี่ยวเอ้อ รวมถึงพ่อครัวแม่ครัวทุกคนใส่หน้ากากยามออกมาดูแลลูกค้า
“ร้านเปิดใหม่หรือนี่ น่าสนใจยิ่ง”
“ร้านเราพึ่งเปิดวันนี้วันแรกขอรับ เชิญนายท่านเลือกที่นั่งได้เลยขอรับ” หมิงยู่พาลูกค้าคนแรกของร้านไปเลือกที่นั่งและเรียกเสี่ยวเอ้อให้มาดูแล
ลี่อินที่เห็นว่ามีลูกค้าเข้ามาในร้านแล้ว จึงเริ่มบรรเลงกู่เจิงที่เขาได้ฝึกมาร่วมปี แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ไม่นานนัก แต่ลี่อินกลับบรรเลงกู่เจิงออกมาได้อย่างไพเราะ หากว่ามีอาจารย์ช่วยสอนคงจะมีฝีมือดีจนหาผู้ใดเปรียบได้ยาก
“อืม ดีจริง อาหารและสุรารสดี ดนตรีก็ไพเราะ ทั้งยังมีการละเล่นมากมายอีก คราหลังข้าจะมาอีก”
“ขอบพระคุณขอรับนายท่าน” เฉินกงยิ้มแก้มปริภายใต้หน้ากาก เขาทำหน้าที่รับเงินจากลูกค้า แม้ว่าลูกค้าคนแรกจะมิได้สั่งอาหารที่มีราคาแพง แต่ทว่าคำชื่นชมของลูกค้าผู้นี้กลับทำให้บรรดาเจ้าของร้านซิ่งฟู่มีกำลังใจในการทำงานมากขึ้นกว่าเดิมหลายส่วน
หลังจากที่ลูกค้าคนแรกออกไปก็มีลูกค้าหลั่งไหลเข้ามาเรื่อยๆ อาจจะมิได้มีมากถึง ขั้นต่อแถวรอ แต่ภายในร้านก็เหลือโต๊ะว่างเพียงไม่กี่โต๊ะเท่านั้น หากเป็นเช่นนี้ อีกไม่กี่ปีพวกเราสกุลลู่คงได้มีเงินทองใช้จ่ายกันไม่ขาดมือ แต่ในความเป็นจริงแล้วการค้าการขายย่อมมีขึ้นมีลง หากมีโอกาสต้องรีบเก็บเกี่ยวไว้ให้ได้มากที่สุด
“ข้า…ไม่ไหวแล้วเยว่ชิง หากมิได้กินขนมตอนนี้ ข้าคงยืนต่อไปไม่ไหวเป็นแน่” หมิงยู่เอ่ยออกมาอย่างอ่อนแรง ส่งสายตาอ้อนวอนให้น้องสาวหยุดพักเพียงเท่านี้ก่อน เยว่ชิงที่เห็นสภาพของพี่ชายก็อดสงสารไม่ได้ พวกเขายืนเรียกลูกค้ามาตั้งแต่เช้า จนตอนนี้จะเข้าปลายยามโหย่ว (17:00-18:59 น.) แล้ว
“พี่ใหญ่ วันนี้เราพักก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ คงจะไม่มีลูกค้าเข้ามาแล้ว” เยว่ชิงเอ่ยถามพี่ใหญ่
“ได้ พี่จะเข้าไปบอกท่านแม่และแม่นมลี่ในครัวเอง เจ้าสั่งให้บ่าวไพร่เก็บกวาดเถิด”
“เจ้าค่ะ หากสั่งการบ่าวไพร่แล้ว เยว่ชิงขอพาพี่รองออกไปซื้อขนมด้านนอกได้หรือไม่เจ้าคะ หากมิได้กินพี่รองคงจะสิ้นใจอยู่หน้าร้านเป็นแน่”
“ข้ายังไม่ตายเสียหน่อย!!!”
“ฮ่าๆ ไปสิ อย่าลืมพาพี่สามของเจ้าไปด้วย ดูท่าแล้วจะไม่ไหวเช่นกัน” เยว่ชิงตอบรับพี่ใหญ่แล้วจึงพาพี่รองและพี่สามของตนออกไปซื้อถังหูลู่ในตลาดอีกฟากที่อยู่ไม่ไกล
“เอาถังหูลู่เจ็ดไม้เจ้าค่ะ” เยว่ชิงรอไม่นานก็ได้รับถังหูลู่มา นางนำถังหูลู่ใส่มือพี่รองสองไม้ พี่สามสองไม้ เหลือไว้ให้พี่ใหญ่สองไม้ ส่วนตัวนางทานเพียงหนึ่งไม้เท่านั้น
“ทานของพี่อีกหรือไม่ เหตุใดทานแค่ไม้เดียวเล่า” ลี่อินยื่นถังหูลู่ของตนให้กับน้องสาว
“พี่สามทานเถิดเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวเยว่ชิงจะอวบอ้วนเหมือนพี่รอง”
“เจ้าน้องปากเสีย! วัยกำลังเติบโตเช่นข้า มิถือว่าอวบอ้วน” สามพี่น้องนั่งหัวเราะกันอย่างสนุกสนานอยู่ที่โต๊ะหน้าร้านขายถังหูลู่ แต่จู่ๆ ก็มีเสียงเอะอะโวยวายเกิดขึ้น
“เจ้าเด็กขี้ขโมย เอาเงินของข้าคืนมานะ” ชายวัยกลางคนกำลังถือไม้ไล่ทุบตีเด็กหนุ่มแต่งตัวมอมแมมผู้หนึ่ง
“โอ๊ย นี่เป็นเงินข้า ท่านต่างหากที่โกงเงินค่าแรงของข้า”
“หนอยๆ เจ้าเด็กเหลือขอ กล้าใส่ร้ายข้าหรือ ข้าจะตีเจ้าให้ตายไปเลย” ชายวัยกลางคนผู้นั้นจับแขนเด็กหนุ่มไว้แล้วทุบตีไม่หยุด ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมามิมีผู้ใดกล้าเข้าไปช่วยเหลือแม้แต่คนเดียว เพราะกลัวว่าจะติดร่างแห เดือดร้อนไปด้วย
หึ! แต่นั่นมิใช่นิสัยของพี่น้องสกุลลู่