“ขอรับ ข้าน้อยจะทำตามที่นายท่านว่า” พ่อบ้านวัยกลางคนรับคำ ครั้นแล้วเขาก็รีบไปทำตามคำสั่งทันที
ด้านยงเผยหลังจากได้ทราบเรื่องที่พ่อบ้านรุ่ยมาบอก แม้ภายในจะประหวั่น ทว่าใบหน้านั้นกลับเก็บอาการไม่แสดงออกมา
“เรื่องนี้ข้าจะเป็นผู้จัดการเอง ท่านอย่าได้ห่วง” ชายหนุ่มกล่าวขึ้นอย่างหนักแน่น
พ่อบ้านทำเพียงพยักหน้ารับไม่ถามสิ่งใดให้มากความจึงได้กลับไปรายงานผู้เป็นนายตามตรง
คล้อยหลังพ่อบ้านรุ่ย ชายหนุ่มหนวดเคราครึ้มจึงได้เดินไปยังสัมภาระของตน เขารีบเขียนจดหมายอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่มีใครทันได้สังเกต
จากนั้นจึงได้เรียกหาศิษย์เอกอันดับหนึ่ง “เสี่ยวจือเจ้ารีบควบม้าไปทางศาลาเอ้อเทียนให้เร็วที่สุด จงนำจดหมายฉบับนี้ไปให้หัวหน้าต่ง จำไว้ว่าต้องให้ถึงมือ เข้าใจหรือไม่” ชายหนุ่มกำชับกับศิษย์ของตนด้วยใบหน้าเคร่งเครียดเช่นเดียวกับคำพูด
“ขอรับท่านอาจารย์” เด็กชายวัยสิบหกประสานมือรับคำเน้นหนัก
เสียงกุบกับของม้าตัวใหญ่วิ่งฝ่าความมืดท่ามกลางแสงจันทร์สลัวออกไปโดยมีสายตาของผู้เป็นอาจารย์กับศิษย์ร่วมสำนักอีกคนมองตามอย่างกังวล
เริ่มเช้าวันใหม่พระอาทิตย์เริ่มสาดแสง เสียงนกกาออกหากิน หนิงอันผู้กำลังนอนหลับใหลก็ได้กลิ่นหอมกรุ่นของอาหารลอยเข้านาสิก
เด็กน้อยทำจมูกฟุดฟิดก่อนจะค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้นอย่างรวดเร็ว “หิว” เจ้าตัวเล็กเอามือกุมท้องกล่าวแผ่วเบา
“คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ มาล้างหน้าล้างตาก่อนเถอะ จากนั้นข้าน้อยจะทำผมให้” เสียงอันร่าเริงของเด็กหญิงวัยเจ็ดปีกล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“ได้สิ ขอบใจเจ้า” หนิงอันขยับตัวเดินออกมาจากรถม้าอย่างเชื่อฟัง
หลังล้างหน้าบ้วนปากเรียบร้อย เจ้าตัวเล็กก็มานั่งอย่างว่าง่ายเพื่อให้สาวใช้ตัวน้อยปรนนิบัติ
“คุณหนูของบ่าวช่างน่ารักยิ่ง” น้ำเสียงนั้นเอ่ยชมในขณะที่มัดผมเป็นรูปซาลาเปาให้เด็กหญิงเรียบร้อย
“เจ้าเองก็น่ารัก” อันอันกล่าวชมเด็กน้อยกลับไปทำให้ใบน่ารักของสาวใช้เปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่ออย่างเขินอาย หนิงอันได้แต่ยิ้มให้กับท่าทางของเจ้าตัว
ความคิดของเด็กยุคโบราณมักจะเติบโตเร็ว บางครอบครัวเด็กสี่ขวบก็ต้องหุงหาอาหารแล้วด้วยซ้ำ
ไม่มีหรอกที่จะมาวิ่งเล่นไร้แก่นสารโดยเฉพาะครอบครัวยากจน อันอันสำรวจรอบด้านอย่างสนใจในระหว่างรออาหารเช้า
“อากาศของที่นี่ช่างสดชื่นดีแท้” เด็กหญิงลุกขึ้นยืนกางแขนของตนออกหลับตาพริ้มสูดหายใจ แต่แล้ว “แหวะ! เหม็นชะมัด เมื่อกี้อากาศยังดีอยู่เลยเหตุใดตอนนี้จึงมีกลิ่นเหม็นได้กัน” คนตัวเล็กเอามือปิดจมูกกล่าวอู้อี้
ยงเผยในคราแรกกำลังจะกล่าวห้ามการกระทำของเด็กหญิง ทว่าเขากลับเปลี่ยนใจเนื่องจากอยากแกล้งเด็กที่ชอบวางท่าเป็นผู้ใหญ่
“ฮ่า ๆ เจ้าตัวน้อยเจ้าชอบกลิ่นขี้ม้าหรอกหรือถึงได้หลับตาสูดกลิ่นของมันตอนปล่อยอาจมนะ”
หนิงอันหันไปตามเสียงหัวเราะ สายตาขุ่นเขียวกรุ่นโกรธ “ท่านอาหนี้แค้นหนนี้ข้าขอฝากไว้ก่อนเถอะ เมื่อไหร่ที่ข้าเจออาสะใภ้นะท่านเจอดีแน่” เจ้าตัวเล็กเท้าเอวทำสีหน้าขึงขังกล่าวข่มขู่
ยงเผยหาได้กลัวคำขู่ของเด็กตัวน้อยไม่ อีกอย่างท่าทางของนางเช่นนี้ก็น่าเอ็นดูดีไม่หยอก พลางให้คิดถึงบุตรชายที่แม้แต่หน้าก็ยังไม่เคยเห็น
ทำให้สีหน้าของเขาหม่นแสงลงเล็กน้อย ในคราแรกหนิงอันรู้สึกสะใจอยู่บ้าง แต่แล้วนางก็อดรู้สึกแสดงความเห็นใจออกมาไม่ได้เหมือนกัน
ทางด้านของจือฉีหลังจากที่ควบม้ามาตลอดคืนจนกระทั่งรุ่งสาง ทั้งคนทั้งม้าแทบจะหมดแรงเด็กหนุ่มผู้นี้ก็มองเห็นขบวนคาราวานพักอยู่ด้านหน้า
ธงของขบวนนั้นทำให้เขามั่นใจว่าคนที่ตนต้องการมาหาอยู่ในขบวนนี้ไม่ผิดแน่
เด็กหนุ่มค่อย ๆ บังคับม้าให้เข้าไปใกล้ก่อนที่เขาจะหยุดลงตรงหน้าของผู้คุ้มกันที่กำลังนั่งพักกันอยู่
“ผู้น้อยขอคารวะท่านอาทั้งหลาย” เด็กชายประสานมือก้มหัวลงอย่างสุภาพ
ยังไม่ทันที่คนในกลุ่มจะเอ่ยถามอะไรก็มีเสียงดังราวฟ้าผ่าสายหนึ่งทักเด็กชายคนนี้ขึ้นเสียก่อน
“เสี่ยวจือ! นั่นเจ้าใช่หรือไม่ เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ได้ แล้วอาจารย์หน้าเหม็นของเจ้าล่ะอยู่ไหน” ชายหนุ่มรูปร่างประดุจหมีดำตัวใหญ่ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเช่นเดียวกับอาจารย์ของตนเดินมาประชิดตัวเขายกมือตบไหล่ของเด็กชายดังปุปุ
จือฉีอยากจะกรีดร้องโดยไร้ซึ่งน้ำตาให้กับความเจ็บที่ตนได้รับ เด็กชายจึงได้พยายามขยับตัวถอยห่างมือใหญ่ของคนผู้นั้นอย่างเนียน ๆ
“คารวะท่านอาต่งขอรับ อาจารย์ไม่ได้มาด้วยตัวเองแต่ได้ฝากจดหมายฉบับนี้มาถึงท่านโดยเน้นย้ำกับข้าว่าต้องส่งให้ถึงมือ” เด็กชายล้วงเข้าไปในอกเสื้อหยิบจดหมายส่งให้ชายตรงหน้า
ต่งเซียวเปิดจดหมายออกอ่านทันที “เจ้าพาม้าไปพักก่อน ข้าขอเวลาในการตอบจดหมายของอาจารย์เจ้าสักครู่ ” ต่งเซียวยกยิ้มบอกกับเด็กหนุ่มพร้อมกับเรียกคนของตนให้มาคอยดูแลเด็กคนนี้
ครั้นแล้วตัวเขาก็รีบเดินไปยังกระโจมหน้าขบวนทันที ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังนั่งพักหลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ
“เรียนนายท่าน เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นขอรับ” ต่งเซียวค้อมตัวประสานมือกล่าวรายงานผู้เป็นนายน้ำเสียงเคร่งเครียด
ชายวัยกลางคนโบกมือเอ่ยไล่บ่าวรับใช้ทันที “พวกเจ้าออกไปก่อนเหลือไว้เพียงพ่อบ้านโม่” จากนั้นเขาจึงถามกับผู้คุ้มกันหนุ่มออกมา “มีเรื่องอะไร”
ชายร่างใหญ่เดินเข้าไปยกมือป้องปากข้างหูผู้เป็นนายด้วยกลัวว่าจะมีหนอนอยู่ในขบวนของตนแล้วจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น
“ข่าวนี้เชื่อถือได้หรือไม่” ติงเฉินเหว่ยย้อนถามอย่างกังขา เนื่องจากไม่คิดว่าโจรภูเขาจะกล้าออกปล้นในยามบ้านเมืองสงบสุข
“เรื่องนี้ข้าคิดว่าเราส่งคนไปสอดแนมก็จะรู้ได้ไม่ยากขอรับ ดีกว่านิ่งเฉยเพราะหากเกิดการสูญเสียย่อมไม่คุ้มค่า” ชายร่างใหญ่กล่าวแสดงความคิดเห็น
“เอาตามที่เจ้าว่า จงรีบไปจัดการให้เรียบร้อย” ชายวัยกลางคนลูบเคราของตนออกคำสั่ง
คล้อยหลังผู้คุ้มกันจากไป “พ่อบ้านโม่ เจ้าช่วยแจ้งกับทุกคนในขบวนว่าข้ารู้สึกไม่สบายขอหยุดพักการเดินทางช่วงเช้าไว้ก่อน”
พ่อบ้านผู้อยู่มานานเหตุใดจะไม่รู้ว่าเจ้านายต้องการสื่อถึงอะไร ดังนั้นเขาจึงรีบไปทำตามคำสั่งทันทีอีกทั้งยังไม่ลืมตามหมอผู้อยู่ในขบวนมาตรวจผู้เป็นนายด้วย
จวบจนกระทั่งเวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยามต่งเซียวก็เห็นคนของตนกลับมา “ลูกพี่มีโจรภูเขากำลังดักซุ่มจริงขอรับ คะเนจากสายตาน่าจะร้อยคน” คนผู้นี้กล่าวรายงานปนหอบ
“ลำบากเจ้าแล้ว รีบไปพักเถอะ” ชายร่างใหญ่ตบบ่าลูกน้องของตนกล่าวออกมาน้ำเสียงมีแววหนักใจ
เขาครุ่นคิดอยู่สักพักจึงได้เดินไปยังกระโจมผู้เป็นนาย กล่าวรายงานในสิ่งที่ได้รู้
“เจ้ารีบไปแจ้งทางการ อย่าลืมตอบจดหมายขอบคุณถึงคนผู้นั้นด้วย เอาไว้ค่อยหาโอกาสตอบแทนในภายหลัง” ติงเฉินเหว่ยสั่งการ
คล้อยหลังต่งเซียวจากไป “พ่อบ้านโม่ พบคนที่น่าสงสัยแล้วหรือยังมันผู้นั้นเป็นใคร” ชายวัยกลางคนกล่าวเสียงเหี้ยม
“พบแล้วขอรับ เป็นคนที่เพิ่งมาสมัครเข้าสำนักคุ้มภัยของเราเมื่อเดือนก่อน” พ่อบ้านวัยเดียวกันกล่าวอย่างสุภาพ
“จัดการมัดมือมัดเท้าของมันส่งให้ทางการด้วย แล้วจากนั้นก็ปล่อยข่าวให้คนของพวกมันรู้ว่าคนที่มันส่งมาเป็นนกสองหัวหลังจากที่มือปราบจัดการพวกมันแล้ว
ให้มันโดนพวกเดียวกันจัดการในคุกนั่นแหละถึงสาสมกับโทษที่มันควรได้รับ” ชายวัยกลางคนกล่าวเสียงเหี้ยม
ทางด้านต่งเซียวรีบทำตามคำสั่งผู้เป็นนายอย่างไม่ตกหล่น หลังจากส่งคนไปแจ้งทางการแล้วเขาก็รีบมาเขียนจดหมายถึงสหายทันที
“เสี่ยวจือเจ้านำจดหมายไปให้อาจารย์ของเจ้าด้วย ส่วนเจ้าก็ระวังตัวด้วย ข้าขอบใจเจ้ามากที่มาหาในวันนี้” ชายร่างใหญ่ยื่นจดหมายของตนออกไปตบบ่าเด็กชายกล่าวเสียงอ่อน
“ท่านอาอย่าได้เกรงใจ ข้าน้อยขอตัวลาเอาไว้พบกันใหม่นะขอรับ” เด็กหนุ่มรับจดหมายใส่ในอกของตนประสานมือคารวะต่อจากนั้นเขาก็ขึ้นม้าควบหายไป
ทางด้านขบวนของบ้านหยูการเดินทางของพวกเขาได้หยุดลงกลางคันเนื่องจากการหายไปของจือฉือ
ซึ่งเรื่องนี้ทั้งหยูเจียงและอันอันรวมถึงพ่อบ้านรุ่ยต่างคาดเดาว่าการหายไปของเด็กหนุ่มคนนั้นจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของโจรภูเขาอย่างแน่นอน
ดวงอาทิตย์บอกเวลาบ่ายคล้อยมากขึ้นทุกขณะ บ่าวรับใช้ต่างหุงหาอาหารเย็นพวกเขาก็ได้ยินเสียงกีบเท้าม้าดังมาแต่ไกล อันอันมองไปทางต้นเสียงอย่างใคร่รู้
เด็กหนุ่มใบหน้ามอมแมมเต็มไปด้วยฝุ่นเช่นเดียวกับม้าตัวสีดำที่ตอนนี้ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยฝุ่นสีแดง ‘เขาต้องไปที่ศาลาเอ้อเทียนมาแน่’ เจ้าตัวเล็กคิด
ยงเผยผู้รอศิษย์ของตนอยู่รีบเดินเข้าไปหาเขาทันที จือฉีจึงได้ยื่นจดหมายส่งให้
“เจ้าไปพักเถอะ วันพรุ่งเราค่อยออกเดินทาง ลำบากเจ้าแล้ว” ผู้เป็นอาจารย์หนุ่มกล่าวอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นสภาพของศิษย์เอก
หลังจากศิษย์เดินหายไปเขาจึงได้รีบคลี่จดหมายออกอ่านอย่างรวดเร็ว
อันอันมองท่าทางของเขาก็คิดว่าเรื่องโจรภูเขาคงจบลงด้วยดี แต่ที่ไม่รู้ก็คือยงเผยคนนี้จัดการด้วยวิธีไหน
โดยที่เจ้าตัวยังไม่รู้อีกว่านับตั้งแต่นี้ต่อไปเส้นเรื่องที่ตัวเองได้ขีดเขียนไว้ก่อนตายนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว แม้บางอย่างอาจจะเหมือนเดิมแต่ทว่าก็ไม่เหมือนซะทีเดียว