ตอนที่ 6 สหายของหลี่เจิน
กิจการของหลี่เจินนั้นเป็นไปได้ด้วยดี ยิ่งการที่มีลูกค้าเป็นถึงผู้สูงศักดิ์อย่างองค์หญิงเก้า ก็ทำให้ชื่อเสียงของร้านอาภรณ์แห่งนี้เพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น ความสนิทสนมระหว่างหญิงสาวสามัญชนกับหญิงสาวสูงศักดิ์นั้นนับว่าไม่ธรรมดา องค์หญิงเก้าถูกชะตากับหลี่เจินและเอ็นดูนางราวกับน้องสาวผู้หนึ่ง ทั้งยังแวะเวียนมาที่ร้านบ่อยครั้ง
“เรื่องราวในวังหลวง เล่าสิบปีก็ไม่หมด”
“ต่อให้เล่ายี่สิบปีหม่อมฉันก็ยินดีฟังเพคะ”
หลี่เจินกล่าวขึ้น องค์หญิงเสด็จมารอนางแต่เช้า อยู่พูดคุยกับนางหลายชั่วยาม ทำให้นางได้รู้เรื่องราวน่าสนใจในวังหลวงมากมาย หลี่เจินตื่นเต้นกับสิ่งที่องค์หญิงนั้นเล่าให้ฟังจนนางแทบไม่อยากจะลุกไปไหน แต่เมื่อมีลูกค้าเข้ามาซื้อผ้า นางก็จำต้องผละไปเพื่อขายสินค้า ซึ่งนางทำตัวราวคนเกียจคร้านจนองค์หญิงอดหยอกล้อไม่ได้
“ใครๆก็รำคาญข้าที่ข้าพูดมาก มีแต่เจ้าที่อยากให้ข้าพูด”
ในวังหลวงไม่มีผู้ใดอยากสนทนากับนางนักหรอก คงเพราะว่านางนั้นน่ารำคาญกระมัง แม้แต่นางกำนัลและขันทียังไม่ค่อยอยากจะสนทนากับนางเลย คิดแล้วก็น่าขัน นางเป็นถึงองค์หญิง เกิดมาสูงศักดิ์แต่จะหาสหายสักคนช่างยากเย็น จะมีก็เพียงหลี่เจินที่ต้อนรับและไม่รำคาญนาง
คนนิสัยดีทั้งยังจริงใจเช่นหลี่เจินนั้นหาได้ยากยิ่ง
“สิ่งที่องค์หญิงเล่าน่าสนใจมากเพคะ หม่อมฉันฟังไม่เบื่อเลย ชีวิตในวังช่างดูมีความสุขมากเลยนะเพคะ”
หลี่เจินกล่าวพลางปักผ้าไปด้วย วันปกตินางมักจะนั่งอยู่คนเดียวและลงมือทำงานของตัวเองไปวันๆ เช้าเปิดร้าน ตกเย็นก็ปิดร้าน ไม่ได้สุงสิงกับผู้ใดมากมาย แต่เมื่อองค์หญิงเสด็จมาบ่อยๆ ก็ทำให้นางคลายความเหงาลงได้บ้าง
องค์หญิงเก้าถอนหายใจยาว ท่าทางผ่อนคลายเมื่อครู่แทนที่ด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
“ชีวิตข้าก็หาได้มีความสุขอย่างที่ผู้ใดคิด ฮ่องเต้มีองค์หญิงและองค์ชายมากมาย ข้าเองก็หาใช่คนที่มีความสำคัญ”
คิดแล้วก็เศร้าใจนัก ฝูกุ้ยเฟยมารดาของนาง มีองค์หญิงและองค์ชายให้พระบิดาถึงห้าคน นางเป็นหญิงท่ามกลางพี่น้องที่เป็นบุรุษ ในสายตาของพระบิดาและพระมารดา นางเป็นเพียงฝุ่นละอองที่ไร้ค่า ไม่เคยมีผู้ใดสนใจนาง พระมารดาเอาแต่ยุยงส่งเสริมพี่ชายของนางให้แย่งตำแหน่งองค์รัชทายาท เสี้ยมสอนพี่น้องให้เกลียดชังกัน
ในวังหลวงยามนี้แทบจะลุกเป็นไฟ พี่น้องทะเลาะเบาะแว้ง มีคนตายไม่เว้นวัน พระบิดาลุ่มหลงในสนมใหม่ไม่ยอมออกว่าราชการมานานแล้ว องค์ไทเฮาพระวรกายก็ทรุดโทรมไม่อาจทำหน้าที่แทนได้ ในยามนี้ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในวังหลวงและวังหลังก็คงไม่พ้นเป็นฉีฮองเฮา
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้พระมารดาของนางร้อนใจจนอยู่เฉยไม่ได้ เมื่อก่อนฝูกุ้ยเฟยพระมารดาของนางเป็นถึงสนมรักของพระบิดานานนับสิบปี แต่ทว่าเมื่อวันเวลาผ่านไป พระมารดานางมีอายุที่มากขึ้น พระบิดาก็เริ่มไม่เหลียวแลและเอาเวลาไปคลุกคลีอยู่กับสนมที่เป็นหญิงสาววัยแรกแย้มแทน
พระมารดานางทั้งเสียใจและแค้นเคือง จากความรักก็กลายเป็นความแค้น จึงคิดคบกับขุนนางชั่วผู้หนึ่งหวังก่อกบฏ นางรับรู้ถึงแผนการของพระมารดา แต่ทำเช่นไรได้เล่า จะให้ขัดขวางหรือนำความไปทูลพระบิดางั้นหรือ แล้วชีวิตพระมารดานางกับตระกูลฝูเล่าเป็นเช่นไร
นางกังวลและหาทางออกไม่เจอ หากถึงเวลานั้นเป็นฝ่ายพระมารดาที่พ่ายแพ้ คงไม่พ้นถูกประหารเก้าชั่วโครต
องค์เก้าถอนหายใจ ครั้นจะให้ไปเกลี้ยกล่อมพี่ชายน้องชายให้ล้มเลิกแผนการก็เห็นจะยาก พี่น้องนางล้วนถูกมารดาเลี้ยงดูปลูกฝังแบบผิดๆมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย
การได้เห็นองค์ชายฆ่าพระบิดาตนเอง นั่นคือสิ่งที่มารดานางปรารถนา
“ในวังหลวงมีสิ่งโหดร้ายซ่อนอยู่มากมาย เจ้าอยากจะฟังเรื่องโหดร้ายนั่นหรือไม่เล่า”
หลี่เจินพยักหน้า นางอยากรู้ว่าเรื่องโหดร้ายที่ว่านั่นเป็นเช่นไร ชีวิตนางเองก็พบเจอความโหดร้ายเช่นกัน แต่หากเทียบกับในวังหลวง บางทีชีวิตที่ว่าโหดร้ายของนางอาจจะเทียบไม่ได้ด้วยซ้ำ
“ไว้ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังวันหลัง แต่วันนี้ข้าคงต้องกลับก่อน”
หญิงสาวสูงศักดิ์กล่าวก่อนลากลับ หลี่เจินย่อกายคำนับองค์หญิง เมื่ออีกฝ่ายกลับไปแล้วนางก็เก็บผ้าที่ปักอยู่ลงกล่องไม้อย่างทะนุทนอม ยามนี้นางไม่มีอารมณ์ที่จะมานั่งปักผ้าเพราะในหัวเอาแต่ครุ่นคิดถึงเรื่องเล่าขององค์หญิง
นางอยากรู้ว่าในแต่ละวัน ด้านหลังกำแพงสูงใหญ่นั่นมีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นบ้าง
“ได้ยินว่าวันนี้องค์หญิงเก้าเสด็จมาหาเจ้า”
ตลอดสามวันที่ไม่มีบทสนทนาระหว่างสามีภรรยา นี่จึงเป็นประโยคแรกที่อี้เยว่ฉีเอ่ยถามภรรยา การมีสหายเป็นถึงองค์หญิงสูงศักดิ์นับว่ามีทั้งข้อดีและข้อเสีย เขากลัวว่าในภายภาคหน้าจะมีผู้ประสงค์ร้ายเข้ามาหาผลประโยชน์จากนาง ภรรยาของเขาผู้นี้ทั้งโง่งมและไม่เคยคิดร้ายต่อผู้ใด มักจะมองว่าผู้อื่นดีไปเสียหมด คิดแล้วเขาก็กังวลไม่น้อย
“เจ้าค่ะ องค์หญิงเสด็จมาที่ร้านทุกวัน”
หลี่เจินตอบ นางเหลือบมองสามีก่อนหลบสายตายามเมื่อเขามองกลับมา หลายวันมานี้สามีไม่พูดคุยกับนาง นางก็เลยไม่กล้ายุ่งวุ่นวายด้วยกลัวว่าเขาจะรำคาญ หญิงสาวได้แต่ทำหน้าที่ของตนไปวันๆ แต่ลึกๆนางก็ไม่อยากให้บรรยากาศเช่นนี้เกิดขึ้น นางอึดอัดใจทุกวันที่ชายหนุ่มไม่พูดคุยกับนาง
แต่ยามนี้นางโล่งใจยิ่งนัก
“แล้วนอกจากองค์หญิง มีผู้ใดแวะเวียนมาหาเจ้าหรือไม่”
หญิงสาวส่ายหน้า จะมีก็เพียงลูกค้าที่เดินเข้าออกร้านนางแทบทั้งวัน แต่ไม่มีผู้ใดที่มานั่งพูดคุยกับนางเช่นองค์หญิง ส่วนใหญ่เมื่อซื้อของแล้วก็กลับไปเท่านั้น
“ฟังข้านะเจินเอ๋อร์ มีสตรีสูงศักดิ์หลายคนอยากสนิทสนมกับเชื้อพระวงศ์ การที่เจ้าสนิทสนมกับองค์หญิงเก้า เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าพวกนางจะคิดเช่นไร”
หลี่เจินพยักหน้า นางก็พอรู้จักนิสัยสตรีอยู่บ้าง
“จำคำพูดข้าไว้ จากนี้หากมีคุณหนูจากตระกูลขุนนางมาตีสนิทกับเจ้า เจ้าต้องวางตัวให้ดี อย่าไปให้ความสนิทสนมกับคนพวกนั้นมากจนเกินไป คนพวกนี้ต้องการผลประโยชน์จากเจ้าเท่านั้น”
สมัยที่เขาตะเวนค้าขายกับท่านตา เขาพบเจอผู้คนมากมายหลากหลายชนชั้น เขาได้เรียนรู้อย่างหนึ่งว่าคนชนชั้นสูงมักมองหาผลประโยชน์จากผู้อื่นเสมอ ไม่เคยจริงใจกับผู้ใด ฝักใฝ่ในอำนาจและเงินทอง เห็นแก่ตัว ชอบดูถูกข่มเหงชนชั้นต่ำกว่า
“ข้าจะจำไว้เจ้าค่ะ”
คำสอนจากสามีช่างมีประโยชน์ยิ่งนัก อย่างน้อยก็สอนให้คนโง่เขลาเช่นนางได้ระวังตัวเอาไว้บ้าง หลี่เจินยิ้มบาง นางรู้สึกอุ่นวาบในใจ รู้สึกได้ถึงความห่วงใยที่สามีมอบให้
“ยิ้มอะไรของเจ้า”
“ข้าดีใจที่ท่านสอนข้าให้หายโง่เขลาเจ้าค่ะ”
อี้เยว่ฉีส่ายหน้า ใบหน้าขรึมปรากฏรอยยิ้มที่มุมปากทั้งสองข้าง จู่ๆบรรยากาศตึงเครียดก็มลายหายไป กลิ่นไอของความสุขตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้อง
ค่ำคืนที่หนาวเย็น หลี่เจินนอนไม่หลับ นางพลิกตัวไปมาหลายทีพร้อมกับมองสามีที่หลับตานิ่ง แท้จริงอี้เยว่ฉียังไม่ได้เข้าสู่นิทรา แต่เขากำลังสงสัยว่าภรรยานั้นเป็นอะไร เหตุใดถึงเอาแต่ขยับไปมา
สักครู่หลี่เจินก็ลุกขึ้นนั่ง นางเดินตรงไปยังตู้เก็บของขนาดใหญ่ภายในห้อง ก่อนจะรื้อหาอะไรบางอย่าง แต่เมื่อไม่เจอสิ่งนั้นหญิงสาวก็ถอนหายใจ เดินคอตกกลับมาที่เตียง ค่ำคืนนี้ช่างหนาวยิ่งนัก หนาวเสียจนหญิงสาวทนไม่ไหวต้องลุกไปหาผ้าห่มอีกสักผืน แต่ทว่า ในตู้กลับมีแต่ผ้าผืนบาง ส่วนผ้าห่มผืนหนาคงถูกแยกไว้ที่อื่นเป็นแน่
หลี่เจินเหลือบมองสามี ก่อนที่นางจะล้มตัวลงนอน
“ท่านพี่ ข้าขอยืมท่านเป็นผ้าห่มคลายหนาวสักคืนนะเจ้าคะ”
ด้วยความที่เข้าใจว่าชายหนุ่มนั้นคงหลับสนิทไปแล้ว หญิงสาวจึงขยับเข้าไปใกล้และหนุนท่อนแขนแกร่งอย่างช้าๆ นางไม่ได้ทิ้งน้ำหนักลงไปมากเพราะกลัวว่าชายหนุ่มจะเมื่อย แขนบางพาดกอดเอวหนา เมื่อได้รับไออุ่นที่เพียงพอ นางก็เคลิ้มหลับไปอย่างง่ายดาย
ส่วนคนที่นอนไม่หลับแทนก็กลายเป็นอี้เยว่ฉี
เขาลืมตามองหญิงสาวก่อนจะพลิกนางเข้าในอ้อมกอด เห็นทีเขาคงต้องให้บ่าวไพร่นำผ้าห่มไปทิ้งให้หมดเสียแล้ว
ของเหล่านั้นช่างไร้ประโยชน์กว่าตัวเขาเสียอีก
เช้าวันต่อมา หลี่เจินตื่นขึ้นและพบว่านางนั้นอยู่ในอ้อมกอดของสามี หญิงสาวรีบลุกขึ้นเพราะกลัวว่าอี้เยว่ฉีจะตื่นมาและพบว่านางนั้นแอบใช้ร่างกายเขาเพื่อคลายหนาว หญิงสาวถอนหายใจก่อนจะสะดุ้งสุดตัว เมื่อสามีสอดแขนเข้ามาที่เอวนางจากทางด้านหลัง
“ทะ ท่านพี่”
“เจ้าหลับสบาย แต่ข้าปวดแขนยิ่งนัก”
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งน่ากลัวแต่ใบหน้ากลับมีรอยยิ้ม หลี่เจินถูกกอดจากด้านหลังจึงไม่อาจสังเกตเห็นสีหน้าชายหนุ่มในยามนี้
“ข้าจะนวดแขนให้ท่านนะเจ้าคะ”
หญิงสาวรีบเอ่ยขึ้น นางขืนตัวออกจากอ้อมแขนชายหนุ่ม ก่อนที่จะบีบนวดแขนให้เขาอย่างตั้งอกตั้งใจ เมื่อคืนเขาอุตส่าห์ให้นางยืมร่างกายคลายหนาว ทั้งนางยังทำให้เขาปวดแขนตลอดทั้งคืน นี่คงเป็นวิธีเดียวที่นางจะชดใช้ให้เขาได้
“วันนี้เจ้าต้องไปโรงหมูกับข้า คนงานของข้าจะได้รู้จักเจ้าในฐานะฮูหยิน”
หญิงสาวพยักหน้า จะว่าไปนางก็ยังไม่เคยไปที่นั่นอย่างจริงจังสักครั้ง นางรู้แต่เพียงว่าโรงหมูของสามีใหญ่โตกว้างขวาง แต่ก็ไม่เคยรู้แน่ชัดว่าตั้งอยู่ที่ใดของเมืองหลวงแห่งนี้