พิษรักมาเฟีย : ตอนที่ 9
พอฉันกลับมาถึงห้องตัวเอง สิ่งแรกที่ฉันทำคือโทรหาคนที่ฉันรักและเป็นห่วงมากที่สุด
"พ่อกับแม่เป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะ มีใครทำอะไรพ่อกับแม่ไหมหรือมีคนมาแอบๆมองอยู่หน้าบ้านหรือเปล่า ตอนนี้พ่อกับแม่อยู่บ้านปลอดภัยดีใช่ไหมจ๊ะ"
(ใจเย็นๆลิน ค่อยๆพูด แม่กับพ่อก็อยู่บ้านเราเนี่ยแหละ เอ็งเป็นอะไรโทรมาก็ถามไม่หยุดเลย แม่ตอบเอ็งไม่ทัน)
"ถ้ามีใครแปลกหน้ามาพ่อกับแม่อย่าไปไหนกับเขานะจ๊ะ ต่อให้เขาบอกว่าจะพามาหาหนูก็ไม่ต้องมานะ"
(มีอะไรกันหรือเปล่า หรือเอ็งไปกู้หนี้นอกระบบไว้)
"ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกจ้ะ ลินแค่กลัวคนอื่นมาทำอะไรพ่อกับแม่ ลินอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีพ่อกับแม่" ฉันพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
(เรื่องแค่นี้ก็พูดซะเป็นตุเป็นตะเลย)
"ถ้าไม่มีใครมายุ่งวุ่นวายกับพ่อแม่ลินค่อยสบายใจหน่อยจ้ะ แล้วกินข้าวกันหรือยังเย็นแล้วนะ"
(กินกันอิ่มจนพ่อเอ็งหลับไปแล้ว ไปตื่นเอาดึกๆโน้น ตามนิสัยคนแก่ เอ็งก็กินข้าวกินปลาบ้างนะ ทำงานมันต้องใช้แรง ถ้าไม่กินข้าวเอ็งจะไม่มีแรงเอา)
"จ้ะ....แม่จ๊ะ ถ้าลินเรียนจบแล้วต้องทำงานที่นี่แม่จะว่าอะไรไหม ไม่ได้กลับไปทำงานแถวบ้านเราตามที่ลินบอกแม่ตั้งแต่แรก"
(เอ็งสบายใจจะทำที่ไหนพ่อกับแม่ไม่เคยว่า แถวบ้านเราที่ทำงานมันก็อยู่ไกล ทางกลับบ้านก็เปลี่ยว จะไปจะมามันก็ลำบากไม่เหมือนกรุงเทพ เอ็งหยุดงานก็ค่อยมาหาพ่อกับแม่ก็ได้)
"ลินรักพ่อกับแม่นะจ๊ะ ฝากบอกรักพ่อด้วยนะ"
(เออๆ แม่ก็รักเอ็ง อึก…เอ็งก็ชอบมาทำให้แม่ร้องไห้ ฮึก…ตั้งใจเรียน ตั้งใจทำงาน ถ้ามันเหนื่อยก็กลับมาบ้านเรานะลูก)
"จ้ะ แม่พักผ่อนนะ เอาไว้ลินว่างๆจะโทรหาใหม่"
ติ้ด
"อึก ฮรือ..." แค่เพียงกดวางสายน้ำตาที่พยายามอั้นไว้ก็พรั่งพรูออกมา จริงๆมันไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับคนไกลบ้านอย่างฉัน เวลาโทรหาคนที่บ้านมักร้องไห้อ่อนแอแบบนี้เสมอ
--//--//--//--//--//--
7.30 AM.
บริษัทอสังหาริมทรัพย์ของชาร์ล
เป็นเช้าวันใหม่ที่ฉันไม่ได้รู้สึกสดชื่นเลยสักนิด ฉันร้องไห้และผล็อยหลับไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ทำให้เช้านี้ตาบวมเปล่ง
บริษัทของเขาและที่พักของฉันอยู่กันคนละทางทำให้ฉันต้องรีบตื่นตั้งแต่ตีห้าเพื่อมาทำงานให้ทันทั้งที่ฉันไม่ได้เต็มใจที่จะมาที่นี่เลยสักนิด วันนี้ในสมองไม่มีอะไรเกี่ยวกับงานเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองได้ทำในตำแหน่งอะไร และฉันก็ใส่ชุดนักศึกษามาทำงานได้แต่มองสาวออฟฟิศแต่งตัวสวยๆกันเดินผ่านไปผ่านมา และคนพวกนั้นก็มองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้ากลับเช่นกัน
"เฮ้อ... จะรอดไหมลินเอ๊ย มองกันขนาดนี้ทำเหมือนฉันเป็นขอทานยังไงยังงั้นแหละ"
เธอต้องก้มหน้าก้มตาเข้ามาในบริษัทยักษ์ใหญ่ แค่เพียงทางเข้าก็ดูดึงดูดลูกค้าที่เข้ามาเยี่ยมเยียนบริษัท ทุกอย่างถูกจัดไว้เป็นระเบียบใช้โทนสีขาวดูสะอาดตา เพดานโปร่งสูงเป็นกระจกทั้งอาคารทำให้ดูโล่งและกว้างขวางมาก
"ขอโทษนะคะ ดิฉันมาทำงานวันนี้เป็นวันแรก ดิฉันไม่รู้ว่าต้องไปตรงไหนค่ะ" ฉันเดินมาถามหน้าเคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์ แต่ดูเหมือนคนตรงนี้จะไม่ให้การต้อนรับฉันสักนิดเดียว
"น้องคะ บริษัทเราไม่มีนโยบายรับนักศึกษาฝึกงานนะคะ น้องน่าจะมาผิดบริษัทแล้วค่ะ"
"คะ? แต่คือว่า.." แค่เพียงประโยคที่พนักงานสาวสวยตอบกลับมาทำเอาฉันงงไปหมด ก็เขาเป็นคนให้ฉันมาทำวันนี้
"หรือถ้าจะมาเรี่ยไรบริจาคก็ไปที่อื่นค่ะ พวกพี่เจอบ่อย ถ้ายังไม่ออกจะเรียกรปภ.ให้มาเชิญออกไปนะคะ"
"เดี๋ยวนะคะ แต่ว่าคุณชาร์ลเป็นคนให้ดิฉันมาทำวันนี้นะคะ"
"ไม่ต้องเอาชื่อบอสมาอ้างค่ะ พวกพี่ไม่หลงกล มาทางไหนกลับไปทางนั้นเลยค่ะ"
“เอ้า! อะไรกัน” สุดท้ายฉันก็ต้องเดินออกจากตรงนั้น และมานั่งอยู่ล็อบบี้ของบริษัทแทน "ขนาดนั่งเงียบๆยังไม่วายนินทา ฉันไปโลกไหนมาเนี่ย ทำไมพึ่งเคยเจอโลกแบบนี้"
กลุ่มคนที่นั่งอยู่แถวนั้นต่างนั่งจับกลุ่มซุบซิบและมองมา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนพวกนั้นกำลังนินทาฉันอยู่ ฉันได้แต่นั่งมองออกไปนอกกระจกบานใหญ่ไม่อยากสบสายตาใคร มองผู้คนเดินเข้ามาทำงานกันอย่างเนืองแน่น แต่ละคนถือแต่กระเป๋าแบรนด์เนม แต่งตัวดูดี ตัดภาพมาที่ตัวเองได้แต่ถอนหายใจ
เสียงของผู้คนดังเข้ามาในหู ฝีเท้าของแต่ละคนเหมือนกำลังเร่งรีบ ทำให้ฉันรู้สึกตัวตื่น ฉันนั่งสัปหงกไปหลายรอบแต่ก็ยังไม่มีใครมาเรียกฉันไปทำงานสักคน คิดแค่ว่าถ้าเที่ยงนี้ยังไม่มีคนเรียกไปทำงานคงกลับ เพราะเขาคงแกล้งฉันแน่
"ไปเร็วๆ ใกล้จะถึงแล้ว"
"มีใครขาดไหม เด็กแผนกไหนขาดหัวหน้าแผนกเตรียมรายงานได้เลย"
"ฉันแต่งตัวเรียบร้อยหรือยัง เดี๋ยวโดนดุอีก"
อลินดามองผู้คนมากมายที่มายืนรอตรงประตูทางเข้าด้วยความงุนงง ไม่รู้ว่าคนพวกนั้นกำลังยืนรอรับใคร
บรื้น...
และไม่นานขบวนรถจำนวนมากก็ขับมาจอดหน้าบริษัท ตามด้วยรถคันหรูขับมาจอดตรงประตูทางเข้าพอดี ดวงตากลมโตมองทุกการกระทำของผู้คน และเธอนึกเหตุการณ์แบบนี้ออก นั่นก็คือเขาคนนั้น
ชาร์ลเดินเข้ามาในบริษัทอย่างเช่นทุกวัน พนักงานทุกคนต่างต้อนรับเขาเหมือนเดิม สายตาคมกริบปรายตามองพนักงานทุกคนก่อนจะไปสะดุดกับเด็กสาวในชุดนักศึกษาที่นั่งอยู่ในโซนล็อบบี้ เธอไม่ได้มาต้อนรับเขาเหมือนคนอื่น แต่กลับนั่งจ้องเขาอยู่อย่างไม่สะทกสะท้าน เขายืนมองจนพนักงานคนอื่นหันกลับไปมองตาม
"เอ่อคือดิฉันไล่น้องเขากลับไปแล้วนะคะ แต่ไม่รู้ทำไมยังนั่งตรงนั้นอีก" พนักงานสาวที่เคยพูดคุยกับอลินดารีบบอกทันทีเพราะกลัวเจ้านายไม่พอใจ
"ไล่?" ชาร์ลถามย้ำด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
"บริษัทเราไม่มีนโยบายรับนักศึกษาฝึกงาน ดิฉันเลยคิดว่าน้องเขาน่าจะมาเรี่ยไรเงินบริจาค เดี๋ยวดิฉันจัดการไล่ให้เดี๋ยวนี้เลยค่ะ"
"ไม่ต้อง!" เขาตะคอกเสียงดังลั่นในตอนที่พนักงานสาวคนนั้นกำลังจะเดินไปที่หญิงสาวที่นั่งไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ก่อนจะปรายตามองลูกน้องคนสนิท ทำให้เทเลอร์ก้มหัวให้เป็นคำตอบและเดินออกไปจากตรงนั้น
ตึก ตึก ตึก
ชายหนุ่มในชุดสูทเต็มยศกำลังเดินตรงมาที่ฉัน ซึ่งที่ฉันนั่งอยู่เห็นเขาก็จริง แต่ระยะห่างก็ทำให้ฉันไม่ได้ยินเสียงที่เขาพูด ไม่รู้เมื่อกี้พวกพนักงานโดนอะไรกัน แต่ท่าทางแต่ละคนดูกลัวผู้ชายคนนั้นมาก
"นายให้คุณไปหา"
"ชั้นไหน เดี๋ยวฉันขึ้นไปรอก็ได้ค่ะ ตรงนั้นคนเยอะแล้ว"
"มันคือคำสั่งของนาย ตอนนี้และเดี๋ยวนี้ ลุก!" เทเลอร์ใช้น้ำเสียงเข้มใส่เด็กสาว
"นิสัยเหมือนกันเด๊ะ ไม่แปลกใจที่ทำงานด้วยกันได้" ฉันได้แต่พึมพำกับตัวเอง และยอมเดินตามหลังผู้ชายคนนั้นไป
แค่เพียงเดินเข้ามาในกลุ่มพนักงานคนอื่นก็รับรู้ได้ถึงสายตาสงสัยทันที
"อลินดาคือเลขาของฉัน จะมาทำงานที่นี่ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป" ชาร์ลประกาศก้าวเสียงดังลั่นให้ทุกคนได้ยิน ทำเอาพนักงานมองหน้ากันเลิ่กลั่กแต่ก็ไม่มีใครกล้าค้าน
"และเธอควรรู้กฎระเบียบของที่นี่ ไม่ใช่นั่งเอ๋อไม่รู้ภาษา ฉันต้องการคนเก่งมาทำงาน ไม่ได้ต้องการคนโง่มาทำงาน" นิ้วแกร่งชี้ไปที่คนตัวเล็กด้วยความไม่พอใจ และเดินออกจากตรงนั้นทันที
“แล้วใครอยากมาทำกับคุณล่ะ” ฉันสบถออกมาเบาๆ
"ตามฉันมา" เทเลอร์ปรายตามองเด็กสาวเพียงนิด และเดินตามเจ้านายไปทันที ทำให้ลินต้องเดินตามหลังผู้ชายสองคนนั้นไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
-ภายในลิฟต์-
“คุณจะทำอะไรพ่อแม่ของฉัน” แค่เพียงก้าวเข้ามาในลิฟต์ฉันก็ถามเขาทันที ถึงแม้จะมีลูกน้องของเขายืนอยู่ด้วยอีกคนก็ตาม ตอนนี้เรื่องอื่นฉันไม่สนใจเท่าเรื่องครอบครัว
“…..”
“คุณชาร์ล ฉันถาม!”
“…..” เขาก็ยังนิ่ง ไม่ยอมตอบคำถามเธอ
พรึบ
มือบางดึงเสื้อสูทแบรนด์หรูอย่างแรง ถึงเขาจะไม่ขยับตามแรงดึงของเธอ แต่ก็รู้สึกได้ สายตาคมกริบปรายตามองมือของเธอเพียงนิด ก่อนจะจ้องมาที่ร่างบางด้วยอารมณ์เริ่มคลุกกรุ่น
“ฉันถามว่าคุณจะทำอะไรพ่อแม่ฉัน”
พรึบ
ติ๊ง
ฝ่ามือหนาจับข้อมือเธอออกจากเสื้อสูทของเขาอย่างแรงในตอนที่ประตูลิฟต์เปิดออก และกระชากตัวเธอให้เดินตามเขาไป
“คุณชาร์ลปล่อย ฉันเจ็บ” ฉันพยายามดิ้นแต่ก็สู้แรงเขาไม่ได้ ตามประกบหลังด้วยน้องของเขา ไม่มีทีท่าจะเข้ามาช่วยฉันเลยสักนิด และแรงฉุดกระชากลากถูทำให้ตัวฉันเข้ามาในห้องๆหนึ่ง ที่คาดว่าเป็นห้องทำงานของเขา
ปึก!
“โอ๊ย…” ลินร้องด้วยความเจ็บปวดเมื่อเขาเหวี่ยงตัวเธอลงที่พื้นอย่างแรง ทำให้ร่างบางล้มกระแทกพื้นอย่างจัง ใบหน้าหวานเหยเกกับความเจ็บปวด “เห็นฉันเป็นสิ่งของเหรอไง นึกจะจับก็จับ นึกจะโยนก็โยน ฉันเจ็บเป็นนะ”
เขาไม่ได้สนใจคำพูดของฉันด้วยซ้ำ และยังเดินผ่านหน้าฉันไปนั่งที่โต๊ะทำงานตัวเองหน้าตาเฉย ทำให้ฉันต้องลุกขึ้นจากพื้นด้วยตัวเอง และเดินเข้าไปหาเขาด้วยความไม่พอใจ
พรึบ
แต่แล้วกระดาษออกสารไม่กี่แผ่นถูกโยนลงบนโต๊ะตรงหน้าคนตัวเล็ก ดวงตากลมโตมองเอกสารตรงหน้าด้วยความแปลกใจ เพราะมันมีชื่อพ่อของเธออยู่ในนั้น หัวกระดาษบอกชื่อโรงพยาบาลในตัวจังหวัด
“คืออะไร ฉันไม่เข้าใจ คุณเอาเอกสารปลอมพวกนี้มาให้ฉันอ่านทำไม”
“กำลังหลอกตัวเองอยู่หรือไง”
“ไม่จริง! พ่อฉันแข็งแรงดี เมื่อวานฉันยังโทรคุยกับแม่อยู่เลย ไม่มีทางที่พ่อฉันจะเป็นมะเร็ง” ฉันส่ายหัวเป็นพัลวันเพราะสายตาเห็นข้อความระบุในกระดาษแผ่นนั้น
“เธอคุยกับแม่แล้วพ่อเธอล่ะ….เธออยากรู้เรื่องพ่อแม่ฉันก็ตอบคำถามเธอให้แล้ว ต่อจากนี้เธอควรฟังคำสั่งฉันนะ เธอควรขอบคุณฉันที่ดึงเธอมาทำงานได้เงินเดือนหลักแสนเอาไปรักษาพ่อตัวเอง” ชาร์ลยกยิ้มมุมปากอย่างเหนือกว่า ยิ่งเห็นคนตรงหน้าสีหน้าซีดเผือดยิ่งชอบใจ