สิรินทร์ก้าวเท้าขึ้นไปบนรถตู้ ที่มีร่างสูงนั่งหน้านิ่ง แถวหน้าที่มีเพียงแค่เธอกับภากรณ์เท่านั้น รถตู้คันหรูที่เป็นระบบไฟฟ้าประตูเลื่อนปิดอัตโนมัติ หญิงสาวนั่งนิ่งไม่แม้จะขยับตัวไปทางไหน ความเงียบเริ่มปกคลุมเมื่อรถเคลื่อนออกจากที่ สิรินทร์เธอเองก็รู้สึกประหม่าทำตัวไม่ถูกไม่รู้จะพูดหรือคุยอะไรกับคนข้างๆ อีกทั่งพึ่งรู้จักกันไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าเอง
“คิดจะไปหางานทำที่กรุงเทพใช่ไหม”
อยู่ๆ เสียงทุ้มก็เอ่ยถาม ภากรณ์หน้านิ่งพูดแล้วก็หันมามองหน้าหวานของเด็กสาว
“ใช่ค่ะ”
เธอตอบเพียงสั้นๆ เพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อได้ แต่คำถามใหม่ก็เหมือนจะเกิด
“เด็กสาวอย่างเธอไปอยู่คนเดียวไม่กลัวหรือไง”
คำถามยากที่จะตอบ ครั้นถามว่ากลัวไหม เธอย่อมกลัวอยู่แล้วเพราะไม่เคยใช้ชีวิตลำพัง แต่จะให้เธอทำยังไงได้อีกอย่างเธอรู้อยู่แก่ใจว่าทำไมป้าระเมียดถึงอยากให้เธอเข้ามาอยู่ที่กรุงเทพ เธอถอนหายให้ไปหนึ่งเฮือกแล้วหันมามองที่หน้าหล่อเหล่าของชายหนุ่ม
“หนูไม่มีทางเลือก”
ภากรณ์ที่ได้ยินคำตอบถึงกับยกยิ้มแล้วก็พูดขึ้น แต่คำพูดของเขาทำให้สิรินทร์รู้สึกหวั่นขึ้นไม่น้อย
“ขยับมานั่งนี่สิ”
สิรินทร์ชะงักไปกับคำชวน ไสยเวทหนุ่มจ้องมองหน้าเธออย่างแปลกไป อาจารย์ที่ผู้คนบอกว่าศรัทธาเลื่อมใส เหตุใดถึงใช้สายตาแบบนี้มองเธอ
“ตรงนี้ก็นั่งสะดวกนี่คะ อีกอย่างที่นั่งออกจะกว้างไม่จำเป็นต้องนั่งใกล้ก็ได้นะ”
“เธอกลัวฉันเหรอ”
สิ่งที่ชายหนุ่มถาม ทำให้สิรินทร์หลบสายตาลงเล็กน้อย หากถามว่ากลัวไหมเธอย่อมกลัวอยู่แล้วเพราะว่า เธอกับภากรณ์ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน แต่อีกใจก็ถือใจซื่อคนที่รู้จักนับไม่ถ้วนอย่างเขาไม่น่าเป็นคนไม่ดีหรอก
“เปล่าค่ะ”
“งั้นก็ขยับมาสิ ฉันจะดูชะตาให้เท่านั้นเอง”
เมื่อได้ยินแบบนั้นสิรินทร์ก็ขยับก้นเข้าชิดใกล้คนที่นั่งอยู่ขอบหน้าต่างของรถ ในเมื่อชายหนุ่มบอกว่าจะดูชะตาให้เธอก็ไม่ค้าน แต่เมื่อขยับเข้าไปแล้วสิ่งที่ได้คือ
อร้าย
เธอร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อภากรณ์สอดแขนเกร็งเข้ามาโอบที่เอวคอดของเธอให้เข้าไปประชิดติดร่างกายตัวเอง อย่างที่สิรินทร์ไม่ทันได้ตั้งตัว
“คุณ..จะทำอะไรคะ”
“นิ่งๆ สิ ฉันกำลังใช้สมาธิ”
สายตาคมที่จ้องเข้ามาในดวงตาของเธอทำให้เธอต้องชะงัก สิรินทร์ตอนนี้เธอกลัวจนตัวสั่นพ่อครูที่ป้าจะฝากชีวิตให้ช่วย เธอแทบไม่อยากจะรับความช่วยเหลือ ส่วนไสยเวทหนุ่มเหมือนจะจ้องเธอนานผิดปกติ จนสิรินทร์ต้องดิ้นอยู่ในอ้อมแขนของเขา
“ปล่อยหนูนะ”
“เงียบสิ!!”
เสียงที่โพล่งออกมาเหมือนจะมีน้ำหนักไม่น้อย สิรินทร์หยุดนิ่งพร้อมกลอกสายตามองนัยน์ตาของเขา
“สิ่งที่ตามเธออยู่มันบอกว่าจะเอาเธอไปทำเมีย”
เสียงทุ้งพูดขึ้นยิ่งทำให้สิรินทร์ต้องอึ้งไป เธอยังไม่ได้ถามภากรณ์แต่เหมือนเขาจะพูดขึ้นอีก
“พ่อของเธอทำให้เขาโกรธ ดังนั้นเธอจะเป็นรายต่อไป”
ภากรณ์พูดแล้วก็เหมือนจะจ้องมาที่ปากอิ่มของสาวน้อย สิรินทร์เธอเห็นท่าว่าไม่ดี เลยรีบยกมือขึ้นมาผลักไปที่อกของภากรณ์ ให้ถอยห่างออกไป ส่วนตัวเธอก็ขยับมานั่งที่เดิม แล้วพูดขึ้นโดยไม่มองหน้าคนทำนาย
“วิธีดูดวงของคุณเขาทำแบบนี้กันเหรอ”
“เปล่า”
ประโยคบอกปัดของภากรณ์ทำเอาสิรินทร์ต้องหันหน้ามามอง ชายหนุ่มยิ้มเยาะเมื่อเห็นอาการหน้าเหวอของเธอแล้วภากรณ์ก็พูดขึ้น
“มันน่าเสียดาย เธอยังสาวยังสวยจะต้องตายไปเป็นเมียผีซะแล้ว อย่างน้อยๆ มันต้องได้รู้จักรสชาติบนโลกมนุษย์เสียก่อน จะไม่ดีกว่าเหรอ”
ประโยคของชายหนุ่มทำเอาเรียวคิ้วบางต้องขมวดเข้าหากัน เธอไม่เข้าใจว่าทำไม พ่อครูที่คนนับถือถึงได้พูดจาแบบนี้ได้ลง แต่เหมือนภากรณ์จะเดาใจเธอออกเขารีบพูดตัดบท
“ฉันก็แค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง รัก โลภ โกรธ หลง ก็ยังมี ถ้าหากตัดได้ทุกอย่างคงไปบวชเป็นพระแล้ว”
เมื่อได้ยินแบบนั้นสิรินทร์ยิ่งถอนหายใจใหญ่ไม่รู้ว่าป้าระเมียดฝากเธอไว้กับเสือกับจระเข้หรือยังไงกัน
รถตู้วิ่งหน้าเข้าสู่กรุงเทพจวนจะถึงบ้านพัก สิรินทร์เธอเลือกที่จะเงียบไม่มีบทสนทนากันอีก ส่วนภากรณ์เขาก็นั่งหลับตาตลอดการเดินทาง เมื่อรถตู้หรูวิ่งเข้ามาในตัวบ้านหลังใหญ่ สิรินทร์ที่นั่งอยู่ภายในรถก็สอดส่องมองดู พร้อมความคิดในใจ
คงจะรวยจากพิธีกรรมพวกนี้ละสินะ บ้านถึงหลังใหญ่ขนาดนี้
ภากรณ์รีบลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับประโยคที่เธอเองไม่คาดคิด
“ฉันก็มีกิจการงานทำเหมือนกันนะ ไม่ได้รับดูดวงแล้วรวย”
ทันที ที่ภากรณ์พูดจบประตูรถก็ถูกเปิดออก ชายหนุ่มยกยิ้มแล้วจึงพูดกับเธออีกรอบ
“ลงได้แล้ว”