ณ โรงเรียนเอกชนขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในช่วงเวลาสี่โมงเย็น เป็นเวลาที่นักเรียนต่างมาออกกำลังกายบ้าง เดินเล่นหาอะไรกินบ้าง หรือกลับบ้านในกรณีที่ไม่อยู่หอพักของโรงเรียน
หลินสาวน้อยวัย 17 ปีเรียนชั้นม.5 ห้องคิง เธอคือดาวเด่นลำดับต้นๆของโรงเรียนที่มีการจัดอันดับในปีนี้ แต่ความจริงนั้นเธอได้เป็นนักเรียนดีเด่นมาสองปีติดแล้ว
“พี่หลินขอถ่ายรูปด้วยนะคะ” รุ่นน้องสามคนตามมาขอถ่ายรูปเป็นเรื่องปรกติ
“ได้ค่ะ” เธอมักจะมีคนมาแอบตามหรือขอถ่ายรูปเสมอเช่นเดียวกันกันนักเรียนคนอื่นที่ได้ตำแหน่งนี้ ที่โรงเรียนจะมีการจัดอันดับนักเรียนดีเด่นซึ่งเธอติดมาลำดับต้นๆของกลุ่มเสมอ
“พี่สวยจังเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ”
“คนอื่นสวยกว่าเยอะนะ” เธอส่งโทรศัพท์คืนแล้วไปตามนัดกับเพื่อนสนิทเพราะวันนี้คือวันเกิดเพื่อนที่เป็นดาวเด่นไม่ต่างกันเลย แต่น่าเสียดายที่มีแฟนกันหมดแล้ว
เพื่อนเธอเลี้ยงฉลองง่ายๆในร้านไอติมหน้าโรงเรียนและแน่นอนว่าเด็กสาวดาวเด่นของโรงเรียนรวมตัวกันทำให้คนแอบมองเป็นธรรมดา เธอและเพื่อนก็ค่อนข้างชินเรื่องนี้แล้ว
“แฮปเบิร์ดเดย์นะป่าน”
“จ้าหลินแล้วคืนนี้ยังไง จะไปบ้านเค้าไหม?” ป่านชวนเพื่อนรักเพราะที่บ้านจะจัดงานเล็กๆกันคงจะดีถ้ามีเพื่อนรักไปด้วย
เธอหนักใจเพราะต้องเข้าหอก่อนสามทุ่มนี่สิ
“คงไม่ได้หรอก เค้าต้องรีบเข้าหอเดี๋ยวลุงยามจะโทรบอกแม่เค้าอีก ไม่อยากโดนแม่ดุ” ลุงยามดุมากด้วย เธอไม่กล้า
“ก็ได้ งั้นเค้ากลับก่อนนะ” แฟนมาจอดรถรอรับแล้วถึงบอกลาเพื่อนรักที่กำลังจะกลับเหมือนกัน
เธอมองตามเพื่อนตาละห้อยเลย
“เมื่อไรจะเรียนจบนะหลิน!” อีกแค่ปีกว่าๆเท่านั้น แต่ให้ตายสิมันยากมากเพราะต้องสอบสารพัดเลย
เธอตัดใจรีบกินไอติมจนหมดแล้วแวะซื้อของต่อนิดหน่อย ไปเดินเล่นและจะอ่านหนังสือจะได้ไม่ง่วงมากเกินไป นี่ขนาดอยู่หอนอกนะ ถ้าอยู่หอในไม่อยากจะคิดเลยว่าจะอึดอัดขนาดไหน
โรงเรียนเธอกฎค่อนข้างเคร่งครัดมาก แล้วหอพักช่วงนี้ก็ชอบมีคนหน้าแปลกเข้ามาบ่อยๆ เธออยู่คนเดียวเลยกลัวเพราะญาติที่นี่ไม่มีเลยนอกจากย่าที่อยู่อีกอำเภอโน้นแหนะ
ในขณะที่ชายชุดดำนับสิบคนต่างก้มมองพื้นไม่กล้าสบตาผู้เป็นนายเพราะทำงานใหญ่พลาดจนเกือบถูกจับได้ เสี่ยไทม์นั่งกระดิกนิ้วเคาะโต๊ะทำงานเป็นจังหวะ นัยน์ตามองลูกน้องฝีมือดีที่ส่งไปซื้อตึกมาไม่สำเร็จสักทีแถมขู่แล้วยังไม่ได้อีก
ผลั้ว!! ตับ!!
ตุบ!! ผลั๊ก!!
อักกก…
“เสี่ยครับอีแก่นั่นมันดื้อมากอีกอย่าง…” ริวรีบรายงานก่อนจะมีคนเจ็บเยอะกว่านี้เพราะเจ้านายโมโหร้ายเกินไป
“แล้วพวกมึงไม่มีปัญญากันรึไงวะ!?” เสี่ยไทม์มองลูกน้องที่ไม่ได้เรื่องทีละคน แล้วไม่มีคนไหนไม่ได้เลือด
“คือลูกอีแก่มันเป็นนายตำรวจใหญ่นะเสี่ยถ้าผมทำอะไรรุนแรงผมเกรงว่ามันจะมีปัญหาถึงเสี่ยได้” ริวอธิบายเพิ่มเติมแต่ต้องก้มหน้าเพราะแววตาแข็งของเสี่ยจ้องอยู่
เขาควรจะเข้าใจเหตุผลตื้นๆของพวกขี้ขลาดตาขาวนี้ไหม?
“ถ้ามันขายยากนักก็เผาแม่งซะ กูอยากจะรู้นักว่ามันจะทนได้ซักกี่น้ำ” เขาก็ไม่อยากจะรังแกคนแก่เท่าไรหรอก แต่ในเมื่อขอซื้อดีๆแล้วไม่ขายก็ต้องบังคับกันบ้าง
“เสี่ยแต่ว่า…”
“หรือต้องทำกูทำเองห๊ะ!?”
“มะ...ไม่ครับเสี่ย เรื่องนี้ผมจะจัดการทันที!” ถ้าถึงมือเสี่ยไทม์แล้วฉิบหายมากแน่นอน
ไอ้ริวมันรีบก้มหน้าหลบสายตาเขาทันที ก็ลองมันปฎิเสธสิได้เจอของจริงแน่ว่าเป็นยังไง เขาหยิบบุหรี่มาสูบแก้เครียดกับงานที่ไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง แค่เรื่องง่ายๆยังทำพลาดได้ ถ้าเรื่องนี้รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั้นแน่
“แม่งเอ้ย!”
เวลาผ่านไปเกือบเดือนที่เขาให้คนไปจัดการอีแก่ที่มันดื้อด้านเกินไปแล้ว ดังนั้นวันนี้เขาจะมาจัดการเองกับมือ ฉิบหายแน่มึงอีแก่กูจะเผาให้คนไม่กล้าอยู่เลย
“มึงไปจัดการกล้องเรียบร้อยใช่ไหม?” เขาใส่ถุงมือพร้อมกับปิดหน้าจนเหลือเพียงแค่ตาที่เห็น
“เรียบร้อยแล้วครับเสี่ย” ริวตอบอย่างหนักใจ
เขาก็แอบไปก่อนเลยเพราะจำได้ว่ามันจะมีหมาสามตัวเฝ้าตรงหน้าทางเข้า เขาเตรียมอาหารผสมยานอนหลับมาแล้ว
“ไอ้ริวมึงไปจัดการหมาสามตัวเร็วๆที่เหลือตามกูมา” เขาแยกทางกันไปคนละทางกับลูกน้องเพื่อจัดการเผาตึกนี้ซะ แต่จะทำให้เนียนเหมือนว่าเป็นไฟฟ้าลัดวงจรแทน ใครจะมาสงสัยได้ละในเมื่ออีแก่มันเฝ้าและสายตาอาจจะฟางไปบ้างจนมองไม่เห็น แล้วอีกอย่างมันก็ไม่ได้รู้ว่าเขาเป็นใครด้วย
“เรียบร้อยครับเสี่ย”
ประกายไฟเริ่มมาแล้วแต่เขาอยู่รอดูจนมันลุกลามกว่าเดิมก่อน ถึงได้ไปนั่งดูผลงานห่างๆอีกที
“ไม่มีสัญญานเตือนก็ตายกันยกตึกแล้วกันถ้าดับเพลิงมาไม่ทัน” ไฟลุกแรงขึ้นเรื่อยๆ เขาก็นั่งบนท้ายรถกระบะสูบบุหรี่มองควันไฟที่ลอยขึ้นมาเรื่อยๆแล้ว
“เสี่ยแล้วถ้าอีแก่มันยังไม่ยอมขายละ”
“กูจะจับมือมันเซ็นเองถ้ายากมาก!” เขาไม่ชอบให้ใครมาดื้อใส่เท่าไร จะหัวหงอกก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
ดูเหมือนจะยังไม่มีคนรู้ทั้งที่ควันไฟมันลอยขึ้นมาบ้างแล้ว อาจจะเพราะว่าจุดที่เขาทำมันอยู่ชั้นสี่มั้งแถมยังดึกมากด้วย แต่ถ้ามันจะนอนเหมือนซ้อมตายก็ตายไปจริงๆเลยก็ดี
ขณะที่หลินนอนพลิกไปมาอย่างไม่สบายตัว อากาศที่มีตอนนี้กำลังจะฆ่าเธอให้ตายทั้งเป็น เธอพยายามดึงผ้ามาปิดหน้ากอดหมอนข้างแน่นแต่ก็ไม่หายจนต้องตื่นมาเจอกับควันไฟ
“เกินอะไรขึ้น!?” เธอแสบตาแสบจมูกไปหมดแล้ว ควันก็หนามากจนมองแทบไม่เห็นทางเลย
เธอจะตายไหมเนี่ย?
“แค่กๆๆอะไรกันเนี่ย!?” เธอเริ่มจะหายใจไม่ออกหนักขึ้น แล้วแสบอกไปหมดแล้ว
เธอรีบวิ่งไปเปิดประตูเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น ปรากฎว่าไฟไหม้ที่ข้างห้องเธอนี้เอง
“กรี๊ด…ช่วยด้วยไฟไหม้!” เธอตะโกนดังลั่น สติตอนนี้มันแทบไม่หลงเหลือแล้ว
เธอออกไปไม่ได้เพราะบันไดและลิฟท์ต้องผ่านไฟไป แต่ก่อนที่เธอจะสติแตกก็โทรไปตามรถดับเพลิงพร้อมกับโทรบอกป้าเจ้าของหอนี้ทันทีจะได้มีคนมาช่วย
“เอาไงดีแค่กๆ” เธออยู่ห้องสุดท้ายพอดี แล้วจะให้กระโดดระเบียงคงไม่ได้หรอกเพราะชั้นสี่มันสูงใช่เล่นเลยนะ
ผ่านไปราวๆสิบนาทีรถดับเพลิงก็มาพร้อมกับคนที่แตกตื่นกันทั้งหอ แต่ไฟไม่ได้ลุกลามไปไกลมากนอกจากเธอที่อยู่ห้องสุดท้าย เธอไม่มีทางหนีได้เลยนอกจากจะกระโดดลงไปแต่สูงจัง! เธอเริ่มหอบอย่างหนักเพราะควันไฟบวกกับความร้อนเริ่มเข้ามาจนเต็นห้อง
“หนูมาทางนี้เร็ว!” เธอได้ยินเสียงคน
“ช่วยด้วยค่ะ!”
“มาทางหน้าต่างนี้เร็วๆไม่ต้องกลัวนะ”
ใครไม่กลัวก็บ้า แล้วแต่ตอนนี้ต้องทำตามที่เขาบอกก่อน
“หนูมองไม่เห็นเลยช่วยหนูด้วย!” ตอนนี้แค่ลืมตายังลำบากเลย นับประสาอะไรกับการเดินไปหาเขา
เธอพยายามคล่ำทางไปที่หน้าต่างจนมาถึงกระเช้าที่มารอรับอยู่พร้อมกับพี่ดับเพลิงยื่นมือมาช่วยเธอแล้ว
“ไม่ต้องกลัวนะหนูปลอดภัยแล้ว”
“หนูหายใจไม่ออก” เธอจับมือพี่ดับเพลิงขึ้นกระเช้าก่อนที่ทุกอย่างจะมืดดับไปหมดทันที
เวลาผ่านไปนานขนาดไหนเธอไม่รู้ตัวเลย ไม่รู้ด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น ในตอนนี้ได้ยินเพียงเสียงที่คุ้นเคย
“หลินเป็นไงบ้างลูก?”
เธอลืมตาช้าๆแต่แสงไฟมันแสบตามากจนต้องยกมือขึ้นบัง แล้วกะพริบตาถี่ๆจนน้ำตาไหล
“แม่…มาได้ไงคะ?” แม่อยู่เมืองนอกนะไม่มีทางมาไวได้ขนาดนี้หรอก เธอเลยสงสัยนิดหน่อย
“ก็มาเฝ้าหลินไง ดูสิเกือบถูกย่างสดแล้วเนี่ย” เธอแค่จะมาเซอร์ไพรส์ลูกสาวแต่เจอเซอร์ไพรส์กลับยิ่งกว่า
เธอจำเหตุการณ์ได้ดีจนถึงช่วงที่ขึ้นกระเช้านั้นแหละถึงจำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่อย่างเดียว
“หลินมาที่นี่ได้ไงคะ?”
“แล้วเรื่องที่อยู่ละคะ”
“เอาไว้แม่ค่อยเล่าให้ฟังทีหลัง ตอนนี้ให้หมอตรวจก่อนนะ” ทั้งหมอและพยาบาลต่างมาตรวจหลายอย่าง
เวลาผ่านไปสองวันเธอก็ออกจากโรงพยาบาลมาพักที่บ้านที่แม่เช่าให้ใหม่หนึ่งปีเต็มก็ดีหน่อยฉันยังกลัวอยู่เลย
“ความจริงย้ายไปอยู่กับแม่ที่สกอตแลนด์ก็ได้นะ” เธอบอกลูกสาวหลายครั้งแล้วแต่ไม่ยอมไปอยู่ด้วยกันสักที
แม่เธอหย่ากับพ่อไปแต่งงานใหม่ เธอเลยเกรงใจไม่กล้าไปอยู่ด้วย แล้วก็กลัวเป็นส่วนเกินในครอบครัวใหม่ของแม่ด้วย
“ไม่เป็นไรค่ะ แม่ก็เห็นว่าหลินไม่ได้ลำบากอะไรเลย”
“งั้นมีอะไรก็โทรหาแม่นะ”
“ค่ะ รักแม่นะคะ” เธอกอดแม่แน่นมากก่อนที่แม่จะขึ้นรถไปสนามบินต่อ ส่วนเธอต้องมาจัดของในบ้านใหม่ให้เรียบร้อยก่อนจะทำอะไรต่อไปจากนี้
“ใครนะเป็นคนทำใจร้ายจังเลย” เธอหมายถึงคนที่วางยาหมาพันธุ์ไซบีเลียนของป้าถึงสามตัว แต่โชคดีที่ไม่ตายแต่ก็สาหัส
Rrrrrrr…
‘ว่าไงป่าน?’ เพื่อนโทรมาคงจะมาช่วยเธอมั้ง
[เดี๋ยวไปหาสั่งพิซซ่ารอด้วย]
‘โอเครีบมากนะต้องกำลังเสริมด่วนเลย’ เธอต้องจัดบ้านใหม่แล้วเดี๋ยวให้เพื่อนช่วยด้วย
หลังจากเผาตึกที่อยากได้จนเกือบไหม้หมด เจ้าของตึกก็ยอมขายให้เพราะไม่อยากเสียเงินซ่อมบำรุงที่เยอะเกิน
“เสี่ยครับตอนนี้ลูกชายอีแก่มันสงสัย” ไอ้ริวมันมารายงาน
“ช่างมัน!”
“คุณฟอร์มโทรมาบอกจะแวะมาหาเสี่ยจะให้พบไหมครับ?”
เพื่อนเก่าเขาเองแหละ แต่เสียดายเพราะว่ามันสายขาวไปนิดเลยไม่ค่อยสนิทด้วยเท่าไร แต่ก็พอคุยๆกันได้ทั่วไป
“เออ ถ้ามันมาถึงก็มาตามกูด้วย”
เขาก็นึกว่าเรื่องอะไรที่ทำให้เจ้าของโรงเรียนหรูมาหาถึงที่บ้าน มันแค่มาเชิญให้เขาไปเป็นแขกในงานประจำปีของโรงเรียนที่จะจัดขึ้นในวันสุดท้ายของภาคเรียนเพื่อให้นักเรียนได้คลายเครียดกัน แล้วพอดีว่าเขาก็เป็นศิษย์เก่าเลยต้องไป
“เรื่องแค่นี้มึงโทรมาบอกก็ได้ไม่เห็นต้องมาเองเลย” เบอร์เขามันก็มีไงจะถ่อมาทำไมขนาดนี้
“ก็พ่อกูใช้ให้มามึงอย่าลืมละ อาทิตย์หน้านะ”
“เออ กูจะพลาดได้ไงทั้งมึงทั้งพ่อมึงชวนขนาดนี้” แล้วงานนี้เขาก็ไปเป็นแขกพิเศษด้วยสิ
“งั้นกูไปก่อน”
“เออเดี๋ยวแดกเหล้ากับกูก่อนดิวะนานๆทีจะเจอกัน” มันก็นั่งต่อแล้วกินเหล้ากับเขา แม่บ้านก็ยกของแกล้มมาพอดีเลย
เขาจบมาสิบกว่าปีแล้วมั้ง ซึ่งถ้าไปเขาคงดูแก่มากๆเลย แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวไปหาเด็กมัธยมนมใหญ่ๆมาเลี้ยงซักคนน่าจะดี
เด็กโรงเรียนเก่ายังไงก็ต้องดูแลอย่างดี
แค่คิดก็คึกละ
ในที่สุดก็สอบเสร็จแล้ว เธอดีใจที่สุดเลยเพราะจะได้พักสมองบ้างๆ ตอนนี้เธอรอแค่วันปิดเทอมอย่างเป็นทางการในอาทิตย์หน้า แล้วก็เตรียมตัวเป็นรุ่นพี่มอ.6
“หลินตามครูมาหน่อยสิ” คุณครูประจำชั้นเรียก
“ค่ะ”
คุณครูเรียกมาพบเพราะอยากจะให้เธอจัดการแสดงเล็กน้อยเพื่อเพิ่มยอดบริจาคของแขกที่มา แล้วทางโรงเรียนจะนำเงินไปบริจาคให้เด็กที่ขาดแคลนทุกปี
“ได้ค่ะหลินจะพยายามนะคะ”
“ครูมั่นใจในตัวหนูนะจ้ะ กลับบ้านได้แล้ว”
บ้านที่แม่เช่าไว้ให้นั้นค่อนข้างไกลกว่าเดิมหอพักเดิมมาก แล้วเธอก็ขับรถไม่เป็นด้วยสิ ถึงแม้ว่าแม่จะซื้อรถมอเตอร์ไซค์คันใหม่เอี่ยมให้จะได้ไปไหนสะดวกขึ้นก็ตาม เธอเลยต้องจ้างพี่วินมอเตอร์ไซค์ให้มารับส่งทุกวันที่โรงเรียน
“ถึงบ้านสักที แล้วฉันจะแสดงอะไรดีเนี่ย” คือถ้าเป็นความสามารถทางด้านดนตรีเธอไม่มีเลย สงสัยคงต้องไปซ้อมรำกับคุณย่าที่บ้านแล้วละ ย่าเป็นครูสอนนาฎศิลป์แล้วก็มีลูกศิษย์ค่อนข้างเยอะมาก เธอเองก็พอจะรำเป็นบ้างเพราะย่าเคยสอน
เช้าวันเสาร์ที่สดใสเธอต้องรีบไปเรียนรำไทยกับคุณย่าก่อนเลยเพราะเดี๋ยวจะไม่ทันเอาได้ ซึ่งบ้านคุณย่าอยู่ต่างอำเภอกันเลยนี่สิ กว่าจะเดินมาถึงก็ปาไปเกือบสองชั่วโมง
“เดินทางมาไกลเหนื่อยไหมลูก?” คำถามสั้นๆพร้อมวางขนมที่หลานสาวชอบไว้ให้ แล้วยิ้มอย่างเอ็นดูมาก
คุณย่าเตรียมวุ้นกระทิของโปรดรอเธอด้วย
“นิดหน่อยค่ะ พอดีนี่เป็นงานด่วนมากเลย หนูกลัวจะทำได้ไม่ดีพอแล้วคุณย่าจะเสียชื่อ” ถึงเธอจะรำเป็นบ้างเพราะย่าเป็นคุณครูสอนนาฎศิลป์มาก่อนจะเกษียน แต่นั่นก็นานแล้วนะ
“กินขนมเสร็จย่าจะสอนระบำอัปสราที่หลินเคยช่วยยายตอนนั้นจำได้ไหม?” ในงานเกษียนของผู้อำนวยการโรงเรียน
เมื่อปีที่แล้วนี้เองทำไมเธอจะจำไม่ได้ เพียงแค่ตอนนั้นเธอไม่ใช่นางรำเด่นเหมือนลูกศิษย์ของย่า เธอแค่บังเอิญต้องช่วยแก้ปัญหาเฉพาะกิจที่นางรำอีกคนล้มแล้วข้อเท้าพลิก
“ได้ค่ะ แต่ว่าหนูมีเวลาแค่อาทิตย์เดียวเองนะคะย่า” คืองานประจำปีจะจัดขึ้นวันศุกร์หน้าแล้ว เธอต้องทำการแสดงเลยไม่ค่อยมั่นใจเท่าไรว่าจะไหวแต่ก็รับปากครูแล้ว
“คนมีของปัดฝุ่นนิดเดียวเดี๋ยวก็เป็นเชื่อย่าสิ”
เธอกินขนมได้นิดหน่อยก็เริ่มหัดซ้อมรำให้เป็นเร็วๆเพราะระบำอัปสราไม่ใช่ง่ายๆเลย แต่ก็สวยและมีเสน่ห์มาก