ตอนที่ 10
ครั้นรุ่งเข้าของในวันต่อมาเกลียวลินินได้อาศัยหลานชายให้เป็นคนขับรถมอเตอร์ไซค์พาหล่อนนั่งซ้อนท้ายไปที่ว่าการอำเภอ เพื่อจัดแจงเปลี่ยนชื่อเสียใหม่ เมื่อหล่อนกรอกข้อความแสดงความจำนงเจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนถามเหตุผลจากหล่อน
“เอ ทำไมถึงคิดอยากจะเปลี่ยนชื่อล่ะชื่อเดิมก็เพราะพริ้งดี”
“ค่ะ แต่ที่หนูอยากจะเปลี่ยน คือชื่อเดิมนั้น มีหมอดูทักว่าไม่ดี คือมันเป็นอักษรที่ไม่ดีสำหรับวันเกิดของหนู” เกลียวลินินตอบไปตามความจริงที่ก่อนหน้านั้นหล่อนก็ศึกษาเอามาจากตำรา และทางอินเตอร์เน็ตในเวปของหมอดู และต้องการเปลี่ยนจริง เจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนนั่งชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง
“งั้น คุณจะขอ เปลี่ยนเป็นชื่ออะไร”
“เฟื่องรินค่ะ เฟื่องริน พัฒนาคม”
“ชื่อ เฟื่องริน นามสกุลเปลี่ยนไหม”
“ไม่ค่ะ ไม่เปลี่ยน ดิฉันใช้นามสกุลเดิมของพ่อแม่”
“อือม ถือว่า ใช้ได้ เป็นภาษาไทยแท้ดี”
เจ้าหน้าที่เอ่ยชม เมื่อเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว เฟื่องรินกล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนอีกครั้ง สุดท้ายคือทำเรื่องถ่ายบัตรประชาชนใหม่จากนั้นจึงกลับบ้าน ผ่านวันผ่านคืนไปนานมากพอสมควรที่เฟื่องรินใช้ชีวิตอยู่ในบ้านเกิดจนเกิดความเคยชินอยู่กับครอบครัวและญาติพี่น้อง ในเวลาเช่นนี้หล่อนสามารถปรับตัวได้แล้ว จนกระทั่งถึงวาระการคลอดบุตร ซึ่งครรภ์ของหล่อนแก่มาก จวนที่ใกล้จะคลอด พ่อกับแม่จึงตระเตรียมให้รถยนต์ของญาติพาไปส่งที่โรงพยาบาลในตัวอำเภอและในเวลาต่อมา เฟื่องรินนั้นคลอดบุตรออกมาอย่างง่ายดาย ลูกหรือทารกตัวน้อย ไม่ทำให้หล่อนทรมาน หรือคลอดยาก ไม่เตะถีบท้อง ทั้งๆที่เป็นท้องแรกของหล่อนในการคลอดออกมา ที่โรงพยาบาลประจำอำเภอแห่งนี้ลูกที่คลอดออกมาเป็นผู้ชาย เธอตั้งชื่อให้ว่าน้องวิน ส่วนชื่อในทะเบียนสูติบัตร เด็กชายวาทิตย์เพียงแค่แวบแรกที่คุณแม่ยังสาวอย่างเฟื่องรินชะโงกมองบุตรชายที่นางพยาบาลยื่นมาให้ดู
มันก็สะท้อนถึงความรู้สึกว่า..โอลูกของหล่อนนั้น ช่างเหมือนเขาคนนั้นไม่มีผิดเลยหล่อนร้องไห้ทั้งน้ำตา นับต่อจากนี้ไปหล่อนจะก้มหน้าเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด แม้แกจะไม่รู้จักคำว่าพ่อเลยก็ตาม
“เออนี่ ตอนนี้ หนูก็เพิ่งคลอด แม่ว่า ถ้าหมออนุญาตให้กลับบ้านเมื่อไหร่พอกลับไปถึงบ้านเรานั้นก็อยู่ไฟเสียหน่อยนะลูกอาทิตย์หนึ่งก็ยังดีคนโบราณเขาถือจะได้ดีต่อสุขภาพ” กาบผู้เป็นแม่เอ่ยใกล้หูของบุตรสาวบนเตียงพยาบาลหลังจากมาเยี่ยมพร้อมกับสามีและญาติจำนวนหนึ่ง
ต่างดีใจมากเมื่อเฟื่องรินคลอดออกมาทั้งแม่และลูกปลอดภัยตั้งใจไว้ว่าพอหมออนุญาตให้กลับบ้านได้ นางกาบก็ตั้งใจจะเลี้ยงหลานพร้อมดูแลลูกสาวที่ช่วงนี้ช่วยเหลืออะไรตนเองได้ไม่มากนัก
“โถ..หลานตาดำๆของยายพ่อคุณผิวขาวราวกับหยวก..คงได้ทางพ่อมาเยอะล่ะ” บรรดาญาติพี่น้องผลัดกันมองชื่นชมเมื่อนางพยาบาลเข็นร่างของทารกน้อยตัวแดงซึ่งเพิ่งนำออกมาจากห้องปลอดเชื้อได้ไม่นานนัก.. นายแพทย์และหมอสูตินารีผู้ทำคลอดไม่อนุญาตให้จับแตะต้องตัวเด็กหรืออุ้ม
นอกจากใส่เปลรถเข็นแล้วนำเข้าไปอยู่ในห้องปลอดเชื้อตามเดิมเฟื่องรินผู้เป็นแม่คนเงยหน้าขึ้นมองเพดานและในเวลานี้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบด้านมีกำลังใจจากพ่อกับแม่และญาติพี่น้องหล่อนได้สำนึกสำเหนียก ถึงความผิดที่เคยก่อทำให้พ่อแม่ต้องลำบากและหนักใจนักหนา
นึกโทษตัวเองเมื่อครั้งที่ท้องเริ่มโตขึ้นมากเรื่อย..ถึงแม้ว่า มารดาของหล่อนถึงท่านจะปากเปียกปากแฉะบ่นไปตามเรื่องก็ตาม แต่พอเอาเข้าจริงแล้ว ท่านก็รักหล่อนมากมายนักเหลือเกินและไม่ได้ตอกย้ำเรื่องเจ็บปวดที่บุตรสาวผิดพลาดอีกเลย ซึ่งคราวนี้ล่ะที่หล่อนยิ่งซึ้งถึงคุณค่าของพระคุณของบุพการีที่มีให้
พร้อมกันนั้น ท่านทั้งสองเอ่ยบอกว่า จะรับเลี้ยงหลานชายตัวน้อยคนนี้ ให้อย่างดีที่สุด เพราะรักใคร่หลานชายคนแรกคนเดียว แกเป็นขวัญใจของทุกคน
และก็เพียงเท่านี้เองไม่ใช่หรือที่ทำให้เฟื่องรินสามารถ ถอนหายใจด้วยโล่งอก เพราะที่นี่ชนบทบ้านนาของเธอเป็นอย่างนี้แม้ผู้คนจะไม่ร่ำรวยยากจนส่วนมาก เป็นชาวนาชาวไร่ แต่ผู้คนก็มีจิตใจที่เมตตาเอื้ออาทรต่อกัน อีกทั้งริมทางนั้น สุมทุมพุ่มพฤกษ์แม่น้ำลำคลองห้วยหนองป่าไผ่ ก็ยังหลงเหลือให้เห็นภาเช่นกัน ภาพเหล่านี้ ไม่ได้กลืนหายไปตามสังคมของความเจริญในปัจจุบันซึ่งขนบที่ยึดมั่นของชาวบ้านก็ยังคงธรรมเนียมไว้แบบเดิมสืบต่อไปถึงลูกหลานในอนาคต
ซึ่งจะว่าไปความโง่เขลาเบาปัญญาของหล่อน เหมือนเส้นผมบังภูเขา แม้อยากตำหนิตัวเอง แต่เรื่องก็ผ่านไปนานแล้ว ส่วนเรื่องในอดีตหลายปี ที่หล่อนจากไปเรียนหนังสือเพื่อความเจริญก้าวหน้านั่นก็กลับกลายเป็นว่าพออยู่หลายปีอารมณ์ก็เหลิงเหมือนคนกู่ไม่กลับอย่างที่เขาบอกว่าติดแสงสีไฟความศิวิไลซ์
ครั้นนั้นให้ถือว่าเป็นบทเรียนอย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เพราะชนบทไม่มีภาพเหล่านี้ใช่การที่หล่อนตัดสินใจอย่างนั้นเพราะอาชีพการงานส่วนใหญ่ของคนทั้งประเทศมักอยู่กลางเมืองหลวงเมืองใหญ่ ซึ่งหล่อนใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น มีทั้งสุขและทุกข์
ทำให้ยิ่งมุมานะต่อการศึกษาเพราะเมื่อจบแล้วก็ต้องทำงาน อยากทำงานที่สบายดังนั้นข้อเปรียบเทียบแตกต่างจึงมีเกิดขึ้นและสุดท้ายการที่เธอเลือกตัดสินใจเอากรุงเทพเป็นที่พึ่ง
พ่อแม่ของหล่อนหรือนึกมาถึงตรงนี้แล้วน้ำตาพานจะไหลน่าเสียดายวันเวลาที่ผ่านมาหล่อนหลงลืมท่านทั้งสองที่เป็นบุพการีไปมากโขยอมรับว่าหล่อนดูดายทิ้งขว้างพ่อแม่พอสมควร..ปล่อยให้ท่านอยู่เพียงลำพังสองคน เพราะท่านทั้งสองก็เฝ้าคอยชะเง้อชะแง้เพียงว่าวันใดวันหนึ่งที่ลูกสาวอย่างหล่อนนั้นพร้อมจะกลับคืนเหย้ามาอยู่กับท่านที่นี่แต่ว่าหล่อนจะไม่โทษต่อการกระทำใดๆของใครทั้งสิ้น นอกเสียจาก กล่าวโทษตัวเอง
ก็เพราะเฟื่องรินยังคิดกลับไปทำงานที่กรุงเทพสมกับความรู้ที่ร่ำเรียนมาถึงวุฒิ ปริญญาตรี และที่บ้านของหล่อนในเวลานี้อัตคัดเหลือเกินไม่มีงานทำหรือแม้แต่งานราชการตำแหน่งก็เต็มไปเสียหมด คิดเรื่องในอดีตมัน หมดเปลืองไปเท่าไหร่กับค่าหน่วยกิตการศึกษาและดังนั้นเธอจะต้องขอถอนทุนคืนเสียบ้างและคิดว่าพอได้งานทำเก็บเงินมากพอสมควรแล้วจะลงเรียนต่อปริญญาโทตามที่ใจหวัง