ตอนที่ 2
เพราะหล่อนเห็นค่าของเงินตราที่หามาได้ยากนั่นไง จึงคิดแบบนี้
ภิญตรัยนิ่งอึ้งกับคำพูดของหล่อน เพราะฐานะของหล่อนและเขาต่างกันราวฟ้ากับดินเขาร่ำรวยหากแต่หล่อนยากจน เป็นลูกสาวของชาวนาจากชนบท แต่ภิญตรัยไม่เคยคิดว่า สิ่งนี้จะเป็นอุปสรรคคอยขัดขวางความรักของเขาและหล่อน ตราบใดที่หัวใจทั้งสองดวงเกี่ยวก้อยไปด้วยกัน เห็นพ้องต้องกัน ภิญตรัยแน่วแน่ในสิ่งนี้ต่างหาก เขาไม่เคยทำอะไรที่นอกใจหล่อน ทำอะไรที่ขัดหูขัดตาหรือในทางเลวร้าย ทำให้เกลียวลินินยินยอมเชื่อมั่นในไมตรีของเขาเช่นเดียวกัน แต่ก็ได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งหล่อนไม่กล้าไปรบกวนเขามาก นั่นเพราะความรู้สึกเกรงใจที่มีอยู่ในตัวของหล่อน แม้ภิญตรัยจะใจป้ำใจกว้างไม่คิดในสิ่งนี้ก็ตาม เนื่องจากเขาเกิดมาเหมือนกับคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดด้วยนั่นเอง จึงคิดแบบนี้
เพราะทุกคนในครอบครัวพากันตามใจเขาทุกอย่าง ในฐานะบุตรชายคนเล็ก ที่บิดาและมารดาห่วงหวงเขา และเอ็นดู ประดุจไข่ในหินมิปานเลยทีเดียว
“โธ่ ..เกลียว อย่าคิดอย่างนั้นสิจ้ะ ภิญแค่อยากให้เกลียวยอมรับ และรับรู้ในความรักของเราทั้งสองคน”
หล่อนก็รับรู้ในความรักของเขาเช่นกัน
“ค่ะเกลียวรับรู้”
“แต่อย่าคิดอะไรมากมายเกินไปจะได้ไหม”
เขาเหมือนตำหนิหล่อนคงหาว่าหล่อนเรื่องมาก ก็ตามแต่ความคิดของเขาแล้วกัน
“เพราะว่าความรักของคุณมันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดกับ ชีวิตของผมมากเลยนะ.. รู้ไหมจ้ะ เกลียวจ๋า และผมไมรู้สึกเสียดายหรอก กับเงินที่เสียใจ เป็นความพอใจของผมมากกว่า” ภิญตรัยก็พูดอย่างนั้นได้นี่ เพราะเขามีเงินทองใช้เหลือเฟือ และใช้อย่างมือเติบ ค่อนไปทางสุรุ่ยสุร่ายด้วยก็เห็นจะได้ เพราะหล่อนเองก็เห็นกับตา ผิดไปจากหล่อนที่ค่อนข้างกระเหม็ดกระแหม่จะใช้เงินแต่ละบาทแต่ละสตางค์ต้องให้คุ้มค่า แม้หล่อนจะประหยัดในการใช้เงินก็ตาม แต่ค่าครองชีพปัจจุบันใจกลางเมืองหลวงสูงยิ่งนัก บางทีเงินเดือนไม่พอใช้ด้วยซ้ำ
ต้องหาหยิบยืมเอาจากเพื่อนทำงานแบบเดือนชนเดือน แต่หล่อนต้องสู้อุตสาหะเพราะมีเป้าหมายและทิศทางของอนาคต คือให้เรียนจบในระดับมหาวิทยาลัย จะได้ออกไปทำงานที่เงินเดือนสูง ตามวุฒิการศึกษาระดับปัญญาชน ที่ตลาดแรงงานต้องการ หล่อนวาดหวังเพียงเท่านี้ ไม่ได้วาดหวังมากมายสูงเกินเอื้อม แต่นี่คือชีวิตของหล่อนจริงๆ ลูกสาวชาวนาคนหนึ่ง ที่ดิ้นรนใฝ่ฝันในเรื่องการศึกษาเพื่อต่อยอดให้กับอนาคตของตัวเองและครอบครัว กินดีอยู่ดีไม่อดอยากก็เพียงพอ
“จ้ะ เกลียวจ๋า อย่าไปคิดมากเลย เพราะวันนี้คืนนี้เป็นคืนวันที่คนทั้งโลกเขาบอกรักแฟนเค้าทั้งนั้นแหละจ้ะ” หล่อนเข้าใจในคำพูดของเขา แต่อดแย้งเขาไมได้อยู่ดี
“เกลียวเข้าใจค่ะ แต่ก็เสียดายตังค์”
“โธ่ เกลียวจ๋า อย่าพูดแบบนี้สิจะ ภิญไม่อยากให้พูด”
“ทำไมคะ ภิญตรัย เพราะระหว่างเกลียวกับคุณนั้น ฐานะเราแตกต่างกันมาก เกลียวนั้นไม่ใจกว้างพอที่จะใช้เงินแบบสุรุ่ยสุร่าย ถึงเป็นอย่างนี้ก็ตามเถอะค่ะตอนนี้เกลียวก็แทบจะไม่มีเงินเก็บ”
เขาเข้าใจความรู้สึกของหล่อนจึงนิ่งมากกว่าเถียง หล่อนกำลังเล่าปัญหาส่วนตัวของหล่อนให้เขาฟัง
แม้เกลียวลินินจะไม่ค่อยบอกเรื่องแบบนี้กับเขาเป็นการส่วนตัว หล่อนมักจะเลี่ยงไม่พูดตรงๆ นั่นเพราะคิดว่า ถึงอย่างไรภิญตรัยก็ยังเป็นแค่แฟนหนุ่ม เขาไม่ได้เป็นอย่างอื่น ในฐานะพิเศษที่หล่อนจะพึ่งพิงเขาได้ เช่นฐานะสามี แค่คิดเหลียวลินินก็ไม่อยากจะอาจเอื้อม และภิญตรัยไม่เคยรับรู้เรื่องนี้ ในใจของหล่อน เพราะว่าเกลียวลินินไม่เคยปริปากบอกเขาในเรื่องนี้ ให้เขาได้ยินๆได้ฟัง และช่วยติดตามแก้ปัญหาให้หล่อน แม้เขาจะเอ่ยถามเพราะความรักและความเห็น แต่เกลียวลินินก็ปากแข็ง ดื้อดึงกับเขา แม้ในเรื่องค่าใช้จ่ายส่วนตัวก็ตาม ถึงแม้จะอัตคัดเพียงใด บางครั้งข้าวไม่ตกลงถึงกระเพาะของหล่อน หล่อนก็ยังฝืนยิ้มทำหน้าชื่นตาบานบอกเขา ว่าหล่อนทานข้าวมาเรียบร้อยแล้ว นี่คือการอดทนของหล่อน และหล่อนอดทนอย่างมาก ไม่เคยใช้วิธีต่ำทรามเหมือนนักศึกษาบางคนที่เป็นเพื่อนในมหาวิทยาลัย ชักชวนให้หล่อนทำงานกลางคืน ตามผับบาร์และบาร์ แต่งกายนุ่งน้อยห่มน้อย ให้แขกสัมผัสและแตะต้องตัวได้ แต่เกลียวลินินไม่เคยเลือกอย่างนั้น เพราะหล่อนคิดว่าต่ำทรามในความรู้สึกและศีลธรรม
“คุณพูดได้เสมอค่ะภิญตรัยเพราะคุณไม่เคยรู้จักรสชาติความลำบากว่ามันเป็นยังไงทรมานมากแค่ไหน” เกลียวลินินเพียงแต่อยากให้เขาเห็นภาพคร่าวๆ และภิญตรัยก็ยอมรับออกมาจริงๆว่า ภาพและรสชาติแบบนั้นตั้งแต่เกิดมาลืมตาดูโลก เขาไม่เคยสัมผัสเลยจริง เพราะบิดาและมารดาเลี้ยงดูรักใคร่ประคบประงม เหมือนริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมเลยสักนิด ภิญตรัยจึงชินกับความสุขสบายตลอดเวลา เขายอมรับในคำพูดของหล่อน
“ภิญยอมรับว่าภิญไม่เคยรู้จักรสชาติของความลำบาก”
“ไม่แปลกหรอกกค่ะภิญตรัยเพราะคุณเกิดมามีความพร้อมทุกอย่างแล้ว แต่อยากให้คุณมองดูโลกนี้บ้าง อีกทางหนึ่งเหลียวแลมองคนอีกฟากที่เขาดิ้นรนต่อสู้ไม่ได้สุขสบายเหมือนคุณ”
หล่อนเพียงต้องการจะบอกกล่าวชีวิตของหล่อนให้เขาฟังเท่านั้น เป็นคำพูดที่ซ่อนแฝง ไม่ได้ระบุชื่อตัวตนออกมา แต่เขาก็คงสามารถเดาได้ว่า นั่นมันเป็นชีวิตของหล่อนทั้งนั้น
“ชีวิตของเกลียวใช่ไหม”
เขาเดาถูกหล่อนก็เพียงแต่พยักหน้าให้กับเขาเท่านั้น พากันนิ่งคุยนานมาก หล่อนอยากจะกลับบ้านแล้ว เพราะสิ่งที่ภิญตรัยต้องการนั้น ถือว่าหล่อนก็ตอบรับเขาไปแล้ว ดอกกุหลาบที่ราคาแสนแพง
แต่มันใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลยในความคิดของหล่อน คงต้องปล่อยทิ้งไว้กับแจกันให้มันเหี่ยวแห้งจนสนิทเหมือนเมื่อปีก่อน ที่ภิญตรัยซื้อให้หล่อน อย่างไม่รู้สึกเสียดมเสียดายเงินตราสักนิด อย่างว่าล่ะนะ คนเกิดมารวยเขามีพร้อมกับสรรพสิ่งทุกอย่าง ไม่ต้องไขว่คว้าและดิ้นรนเหมือนหล่อน นึกๆไปแล้วก็อดแอบอิจฉาเขาไม่ได้ แต่หล่อนต้องมามองถึงชีวิตจริง