บทที่ 4.1 อสุเรนทร์จำแลงกาย

1721 คำ
“น้องชายเราร่ายรำเคียงคู่กับดวงใจ ดูงามตามิใช่น้อย เจ้าคิดเหมือนเรารึไม่..กุมภัณฑ์” “หามิได้ขอรับ ท่านท้าวอสุเรนทร์...” ภาพสวยงามซึ่งเสมือนหลุดจากละครพื้นบ้านสมัยก่อนยามเช้า ทำฉันไม่อาจละเลือนสายตาไปจากสิ่งที่ปรากฏเห็นตรงหน้าได้ นอกจากยืนทำเรื่องเสียมารยาทแอบลอบมองภาพเหตุการณ์ที่เหมือนเป็นภาพฝันตรงหน้านิ่งๆ และการยืนลอบมองภาพเบื้องหน้าอยู่เช่นนี้นั่นแหละ ถึงทำให้พบว่า นอกจากพวกทหารยักษ์ที่เดินผ่านไปผ่านมาโดยรอบพื้นที่แล้ว ชายในชุดเครื่องทรงยักษ์ทั้งที่กำลังร่ายรำและนั่งชมการร่ายรำ ก็มีเขี้ยวเหมือนยักษ์ตนอื่นๆ แต่แอบลอบมองภาพเบื้องหน้าได้ไม่นานเท่าไหร่ ฉันก็ต้องสะดุ้งเมื่อจู่ๆ ชายหนุ่มในชุดเครื่องทรงยักษ์แลดูมีอำนาจมากกว่าใครเหลือบสายตาหันมายังจุดที่ยืนลอบมองพอดิบพอดี พานให้สัญชาตญาณเอาตัวรอดตัดสินใจเคลื่อนไหวร่างกายหลบหนีทิศทางสายตาดุดันคู่ดังกล่าว วิ่งย้อนกลับไปยังเส้นทางที่ผ่านมา เพราะกลัวถูกพบเจอทำให้การเดินย้อนกลับไปทิศทางเก่าในทุกฝีก้าวจึงเต็มไปด้วยความหวาดระแวง จนเมื่อพบว่าฉันพาตัวเองมายังจุดเดิมได้สำเร็จ สายตาจึงพยายามกวาดมองหาช่องทางการหลบหนี ทว่า สิ่งที่พบเจอเบื้องหน้าดูท่าจะมีแค่บริเวณกำแพงสูงซึ่งห้อมรอบโดยรอบเอาไว้ไกลสุดลูกหูลูกตา ถึงอย่างนั้น สวรรค์ก็ดูไม่ได้ใจร้ายจนเกินไป ถึงดลใจให้ฉันเหลือบไปเห็นโถงประตูกว้างซึ่งน่าจะนำพาออกจากสวนแห่งนี้ คิดได้แบบนั้น เท้าทั้งสองข้างจึงเริ่มทำงานเป็นหนที่สอง เดินหลบแทรกตัวไปตามพุ่มไม้ป่าแสนสวยเพื่อพาตัวเองไปใกล้ยังโถงประตูกล่าวโดยเร็วที่สุด เมื่อพบว่าทางสะดวกโดยรอบไร้ซึ่งทหารหน้ายักษ์เดินให้เพ่นพล่านให้รู้สึกหวาดหวั่น ฉันจึงตัดสินใจพรวดพราดเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ทว่า ฟึ่บ! ตึง! ทันทีที่ท้าวกำลังจะก้าวข้ามธรณีโถงประตูกว้างเข้าไปภายใน ร่างทั้งร่างกลับมีอันต้องสะดุดกึกก่อนถูกเรี่ยวแรงมหาศาลคว้ากายไว้อย่างแรงและกดลงกระแทกผนังกำแพงขาวทันทีแบบไม่รอให้เตรียมตัวเตรียมใจใดๆทั้งสิ้น กึก! “อูยย...” ผลจากแรงกระแทกของแผ่นหลังทำฉันหลุดครวญเสียงออกมาด้วยความเจ็บปวด ทว่า วินาทีที่ตาทั้งสองข้างช้อนขึ้นและมองเห็นเจ้าของการกระทำดังกล่าว ไอ้ความเจ็บปวดเมื่อครู่ก็คล้ายกับจะมลายหายไป แล้วเปลี่ยนเป็นความรู้สึกตกใจปนช็อกทันที ใบหน้าคมคายของชายหนุ่มในชุดเครื่องทรงยักษ์เต็มยศพร้อมเครื่องประดับแสนคุ้นตา กำลังยืนปั้นหน้าเป็นยักษ์ถลึงตามองจ้องลงมาอย่างดุดัน ตึง! “เฮือก!” ก่อนต้องสะดุ้งเมื่อจู่ๆ เขากระแทกฝ่ามือข้างหนึ่งเข้าใส่ผนังกำแพง กักขังฉันไว้ภายในวงแขน แล้วโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ ก่อนหยุดลงด้วยระยะห่างที่ไม่ใกล้หรือไกลเกินไป ด้วยระยะที่ใกล้ขนาดนี้ พานให้ทุกส่วนสั่นเทิ้มอย่างนึกหวาดด้วยความกลัว แม้ว่าในมือของเขาจะไม่ได้ถือคันธนูไว้ข่มขู่อย่างในภาพมโนความคิดที่ผ่านมา หากแต่เขี้ยวของยักษ์ซึ่งปรากฏอยู่บนดวงหน้ายามนี้ ก็มากพอแล้วที่จะทำให้ฉันไม่กล้าขยับไปไหน ที่บ้าที่สุดก็คงไม่พ้นชื่อเรียกที่ไม่รู้ว่าอะไรดลจิตดลใจให้กล่าวขานออกไปเช่นนั้น “ทะ ท้าวอสุเรนทร์...” และพอสิ้นเสียง รอยยิ้มร้ายๆแฝงด้วยความดุดันก็ผุดขึ้นบนดวงหน้าคมคายทันที พร้อมคำถาม “มึงนึกชื่อกูออกแล้วรึ ไอ้กุมภัณฑ์” และการที่เขาเรียกฉันด้วยชื่อของยักษ์ที่ถูกสาปตามตำนานมันก็ทำให้อดนึกถึงภาพของยักษ์หนุ่มซึ่งหมอบกายอยู่ข้างกายเขาภายในสวนสวยแห่งนั้นไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นความถือตัวละความไวปากที่มีมาติดตัวมานานก็ยังไม่วายจะขยับปากตอบโต้กลับไป “ฉัน...ฉันชื่อเมรีไม่ใช่กุมภัณฑ์...อ๊ะ!” แต่ก็ใช้ว่าคนตัวใหญ่จะยอมให้ฉันพูดได้จนสิ้นเสียเสียที่ไหน เขาตะเบ็งเสียงขัดอย่างเกรี้ยวกราดพลางทุบมือใส่ผนังคล้ายกับต้องการระบายโทสะของตัวเองที่มี ตึง!! “กูไม่สน!” นัยน์ตาดุดันจ้องอย่างถมึงทึงบ่งบอกความรู้สึก และการที่เขามีเขี้ยวยักษ์ปรากฏให้เห็นด้วยแล้ว ยิ่งทำให้องค์ประกอบโดยรวมของท้าวอสุเรนทร์ในยามนี้ดูน่ากลัวเข้าไปใหญ่ “มึงจงจำคำประกาศของกูไว้ไอ้เนรคุณยักษ์ กูจักมิมีวันให้มึงหาความสุขบนแดนมนุษย์ได้อีกนับแต่นี้ไป กูจะตามจองเวรให้สมดั่งที่มึงเคยเบียดเบียดฟ้าดิน…” ยิ่งด้วยน้ำเสียงที่เขาใช้ตวาดออกมาอย่างเกรี้ยวกราดในระยะใกล้ฟังดูเหมือนเขาพร้อมที่จะฆ่าแกงกันด้วยแล้ว ปากที่เก่งอวดเก่งก็ยิ่งปิดสนิทกว่าที่เคย “มึงจักอยู่อย่างทรมานสืบต่อไปจนกระทั่งที่ชีวามึงจะหาไม่ด้วยมือกู...” สิ้นเสียงสาปส่งดุดันและเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ร่างกายที่เคยเป็นปกติดีก็คล้ายกับแปลกไป เริ่มอ่อนล้า อ่อนแรงลงอย่างไร้ซึ่งสาเหตุ ก่อนจะดับวูบลงฉุดดึงร่างทั้งร่างให้จมลึกลงสู่ความมืดมิดอันหนาวเหน็บอย่างไม่มีที่ไป ไม่รู้หรอกว่าการจมดิ่งสู่ความมืดมิดครั้งนี้มันกินเวลาไปนานแค่ไหน รู้สึกตัวอีกทีฉันก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อแสนคุ้นหู ดังก้องไปทั่วโสตประสาต “เมรี...” แสงสว่างซึ่งสาดส่องเข้ามาท่ามกลางความมืด ทำฉันรีบไขว้คว้ามือมุ่งสู่ทางออกของความดำมืด พร้อมด้วยแรงดึงดูดมหาศาล ฉุดกระชากร่างทั้งร่างออกจากความมืดอย่างรวดเร็วและรุนแรง เปลือกตาหนักอึ้งค่อยๆ ปรือขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนต้องหรี่ตาลงเมื่อแสงสว่างจากด้านนอกสาดส่องเข้ามา โดยขณะเดียวกันก็พยายามปรับโฟกัสสายตาไปด้วยก่อนพบว่าตัวเองในยามนี้กำลังอยู่ที่ไหนสักแห่งที่ไม่ใช่บ้านเรือนไทยสำหรับถ่ายทำละคร อากาศเต็มไปด้วยกลิ่นยาฆ่าเชื้อจนรู้สึกเวียนหัวไปหมด “คุณหมอคะ เมรีฟื้นแล้วค่ะ!” เสียงเล็กฟังดูร้อนรนแต่เต็มไปด้วยความดีอกดีใจ ทำฉันค่อยๆพลิกหน้ามองไปยังต้นเสียงก่อนพบว่าบริเวณประตูห้องพักมีคุณหมอและนางพยาบาลกำลังพากันเดินกลับเข้ามาอย่างรีบร้อนโดยมีเจ๊ขวัญเป็นคนนำทาง ที่นี่...โรงพยาบาลเหรอ? “คุณเมรีครับ ได้ยินเสียงหมอใช่ไหม?” ทันทีที่คุณหมอหนุ่มเดินกลับเข้ามาประชิดตัวฉันข้างเตียงได้สำเร็จ เขาก็เริ่มเอ่ยปากถามพลางชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว “นี่กี่นิ้วครับคุณเมรี” “สะ สามค่ะ...” เจ้าของคำถามขยับยิ้มเล็กน้อยคล้ายกับพอใจกับสิ่งที่ได้ฟัง เขาหันไปหาเจ๊ขวัญซึ่งยืนทำสีหน้าเป็นห่วงอยู่ข้างเตียงแล้วเอ่ยขึ้น “คุณเมรีคงจะพักผ่อนไม่เพียงพอเท่านั้นแหละครับ ลองให้เธอนอนพักสักวันสองสองวันอย่างเพียงพอ ก็น่าจะหมดกังวลได้แล้วครับ...ส่วนเรื่องศีรษะ ไม่มีการกระแทกอะไรรุนแรง หายห่วงได้ครับ” “งั้นเหรอคะ...ขอบคุณมากๆเลยนะคะคุณหมอ” เพราะไม่เข้าใจสิ่งที่คนทั้งคู่พูดกัน ฉันจึงเลือกที่จะเบือนหน้าไปอีกฝั่งก่อนพบกระเช้าดอกไม้และของเยี่ยมมากมายซึ่งถูกวางไว้จากสถานีบันเทิงช่องต่างๆ วางเรียงรายเต็มไปหมด เห็นดังนั้นในหัวจึงพยายามนึกเรียบเรียงถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทันทีเพื่อหาที่มาที่ไป แต่ว่า ไม่ว่าจะพยายามนึกประติดประต่อเรื่องราวมากเท่าไหร่ สิ่งที่ฝังแน่นและติดอยู่ในหัวก็ดูจะมีแต่ภาพสถานที่แปลกๆ และกับพวกผู้ชายสวมชุดและมีเขี้ยวยักษ์เท่านั้น โดยเฉพาะคำสาปแช่งซึ่งยังติดหูชัดเจนจนถึงตอนนี้ ‘กูจักมิมีวันให้มึงหาความสุขบนแดนมนุษย์ได้อีกนับแต่นี้ไป กูจะตามจองเวรให้สมดั่งที่มึงเคยเบียดเบียดฟ้าดิน…’ ฝันงั้นเหรอ? เพราะเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าภาพที่ติดตรึงอยู่ในความทรงจำเป็นเพียงแค่ความฝันหรือเรื่องที่เกิดขึ้นจริง จู่ๆในหัวก็เริ่มส่ออาการปวดหนึบขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้ จำต้องหยุดครุ่นคิดไปชั่วขณะหนึ่ง แต่ถึงไม่คิด สิ่งหนึ่งที่ฉันมั่นใจที่สุดก็ดูจะเป็นเรื่องของชายแปลกหน้า พูดจาแปลกๆ ที่มักปรากฏกายให้เห็นอยู่บ่อยๆ เขาคนนั้นน่ะ คือท้าวอสุเรนทร์...ไม่ผิดแน่ๆ “คุณกรองขวัญให้คุณเมรีนอนพักอยู่ที่นี่สักคืนเถอะนะครับ ทางเราจะได้ช่วยดูแลเธอด้วย...” เสียงของหมอซึ่งดังแทรกความคิดเข้ามาให้ได้ยิน ทำฉันเหลือบมองไปยังเจ้าของเสียงเล็กน้อยเพื่อรับฟังบทสนทนาระหว่างคนทั้งคู่ ทว่า สิ่งที่ตั้งใจก็ดูไม่เกิดเช่นนั้น เมื่อจังหวะเดียวกันมีนางพยาบาลคนหนึ่งเปิดประตูห้องพักเข้ามาพร้อมด้วยเอกสารประวัติไข้ในมือ หากแต่สิ่งที่ฉันมองเห็นและสนใจกลับไม่ใช่นางพยาบาลที่กำลังเดินตรงมายังเตียงนอนหรอกนะ ที่ติดอยู่ในสายตายามนี้ดูเหมือนจะเป็นภาพของใครคนหนึ่งด้านนอกประตูก่อนที่ประตูห้องพักจะปิดลงต่างหาก เขายืนนิ่งอยู่บริเวณหน้าประตูหากแต่สายตาดุดันมองผ่านผู้คนข้างเตียงเข้ามาสบประสานตากับฉันซึ่งนอนอยู่บนเตียงตรงๆ บนใบหน้าคมคายของเขายามนี้มีคมเขี้ยวของยักษ์อสูรปรากฏให้เห็นพลางค่อยๆยกนิ้วชี้หน้าราวกับกับเป็นการหมายหัว คล้ายกับต้องการตอกยำเรื่องราวและน้ำเสียงสาปส่งที่ติดค้างอยู่ในจิตสำนึกคิด ซึ่งภาพทั้งหมดนั้น เกิดขึ้นภายในเสี้ยววินาทีก่อนที่ประตูห้องพักผู้ป่วยจะปิดลงสนิท...
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม