แสงอาทิตย์สาดส่องทะลุผ้าม่านเข้ามาจนแยงตา จ้าวเยว่ที่กำลังนอนอย่างมีความสุขอยู่บนเตียงขยี้ตาเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นมานั่งอย่างเหนื่อยหน่าย ปากก็ร้องตะโกนเรียกสาวใช้
“ผิงผิง ๆ”
“ผิงผิงมาแล้วเจ้าค่ะ”
ผิงผิงเดินกึ่งวิ่งเข้ามายังห้องนอนของจ้าวเยว่ ในมือของนางมีอ่างใส่น้ำใบหนึ่งกับผ้าสีขาวสำหรับเช็ดหน้า
“ข้าขอท่านแม่ไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว ว่าอยากเปลี่ยนผ้าม่านในห้องของข้าให้เป็นสีดำ ยามเช้าแดดจะได้ไม่ส่องเข้ามากระทบตาข้า” จ้าวเยว่บ่นพึมพำ
“ได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ จวนเรือนจะใช้ผ้าสีดำก็ต่อเมื่อเป็นงานศพเท่านั้น ถ้าเอามาใช้ในห้องนอน มันจะไม่เป็นมงคล”
ผิงผิงแย้ง เรื่องนี้นางเห็นด้วยกับมารดาของอีกฝ่าย
“ช่างเรื่องมงคลไม่มงคลนั่นปะไร ข้าอยากได้แบบที่สะดวกต่อข้า” จ้าวเยว่ยังยืนยันความคิดของตน
นางไม่เคยใส่ใจเรื่องมงคลหรือไม่มงคล เพราะเชื่อว่าทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นจากผลของการกระทำมากกว่า
ผิงผิงถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะนำอ่างล้างหน้ามาวางบนโต๊ะเครื่องแป้ง จ้าวเยว่ก้มหน้าลงไปใช้สองมือวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าเล็กน้อย และรับผ้าสีขาวมาเช็ดหน้าอย่างเบามือ
“งานเลี้ยงที่จวนของท่านโหวในช่วงเย็นวันนี้ คุณหนูจะไม่ไปจริง ๆ หรือเจ้าคะ” ผิงผิงถาม
“ไม่ไป” จ้าวเยว่ตอบเสียงราบเรียบ ราวกับว่าไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเลย
ผิงผิงเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี คำสั่งของจ้าวฮูหยินที่ให้นางมาเอ่ย นางก็ได้เอ่ยแล้ว เพราะฉะนั้นหากว่าคุณหนูไม่ทำตามก็คงจะไม่ใช่ความผิดของนาง
แต่ถึงอย่างไรหญิงสาวก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
“คุณหนูลองคิดดูอีกทีเถอะเจ้าค่ะ ดีไม่ดีในงานอาจจะมีขนมกุ้ยฮวาหิมะที่คุณหนูชอบก็ได้”
“มีแล้วจะอย่างไร แค่ขนมกุ้ยฮวาหิมะ ข้าแค่สั่งให้เจ้าไปซื้อมาให้ข้า ก็ได้นี่”
“ถ้าคุณหนูไม่ไป นายท่านกับฮูหยินจะเสียหน้าได้นะเจ้าคะ”
“ไม่มีวันเสียหน้าหรอก เจ้าอย่าลืมสิว่าข้าคือสตรีที่เกียจคร้านที่สุดของเมืองนี้ ต่อให้ข้าไม่ไปงานเลี้ยงในครั้งนี้ คงไม่มีใครตำหนิท่านพ่อกับท่านแม่ได้หรอก เจ้าเชื่อข้าสิ” จ้าวเยว่ตอบกลับอย่างไม่ทุกข์ร้อน
ผู้คนต่างก็รู้กันทั่ว ว่าคุณหนูของเจ้ากรมการคลังผู้นี้เกียจคร้านถึงเพียงไหน บางคนถึงขั้นเอาไปนินทาว่าครอบครัวท่านเจ้ากรมตามใจนางนี้มากเกินจนเสียผู้เสียคน เป็นสตรีเสียเปล่ากลับทำตัวเกียจคร้าน เป็นที่ขายหน้าบิดามารดาไปทั่ว แต่ว่าจ้าวเยว่กลับไม่สนใจคำนินทาพวกนั้น และยังคงทำตัวเกียจคร้านเหมือนเดิม
ด้วยชื่อเสียงที่ไม่ค่อยดีของนาง จึงทำให้ไม่เป็นที่หมายปองของบุรุษใดในฉางอันเลย
จ้าวเยว่ผู้เลยวัยปักปิ่นมาร่วมปีกว่าแล้ว จึงยังไม่ได้ออกเรือนกับเขาเสียที
เอ่ยถึงขนมกุ้ยฮวาหิมะแล้ว จ้าวเยว่ก็รู้สึกอยากกินขึ้นมา
นี่เป็นระยะเวลาถึงสามเดือนแล้ว ที่นางนั้นไม่ได้ลิ้มรสขนมกุ้ยฮวาหิมะที่ตนเองโปรดปราน เนื่องจากร้านเหลาเสี่ยวชื่อที่ทำขนมชนิดนี้ จะทำเพียงแค่ปีละสี่ครั้ง เพราะดอกไม้ที่ใช้ในการทำขนมชนิดนี้ จะบานเพียงแค่สามเดือนครั้งเท่านั้น ซึ่งตอนนี้ก็ครบรอบสามเดือนพอดี ซึ่งที่จริงนางลืมไปแล้วด้วยซ้ำ แต่เพราะผิงผิงเอ่ยขึ้นมา จึงนึกขึ้นได้
“ผิงผิง พวกเราไปซื้อขนมกุ้ยฮวาหิมะกัน” จ้าวเยว่เอ่ยชวน
“คุณหนูจะออกไปข้างนอกหรือเจ้าคะ เอ่อ...ผิงผิงออกไปซื้อให้ก็ได้เจ้าค่ะ” ด้วยความเกียจคร้านของผู้เป็นนาย ผิงผิงจึงไม่คิดว่าจ้าวเยว่จะออกไปข้างนอกด้วยตนเอง
จ้าวเยว่หันมาเอ่ยกับสาวใช้ของตน
“วันนี้ข้าอยากออกไปด้วยตนเอง ข้าออกจากจวนครั้งที่แล้วก็เมื่อสองเดือนก่อน ตอนแอบไปซ้อมยิงธนูที่สนามฝึกของกองทัพ ไม่รู้ว่าข้างนอกเป็นอย่างไรบ้างแล้ว แคว้นฉางอันตอนนี้ครึกครื้นกว่าแต่ก่อนหรือไม่ อีกอย่าง ข้าอยากกินขนมอย่างอื่นด้วยจึงอยากจะไปเลือกดู”
“ไปขออนุญาตฮูหยินก่อน ดีหรือไม่เจ้าคะ”
จ้าวเยว่ขยิบตาใส่ผิงผิงหนึ่งที่
“ถ้าไปขอ มีหรือท่านแม่จะให้ไป ข้าว่าพวกเราแอบออกไปทางประตูหลังดีกว่า”
“ไม่ได้นะเจ้าคะ หากถูกจับได้ขึ้นมา คุณหนูอาจจะถูกกักบริเวณอีก” ผิงผิงค้าน
ให้อย่างไรนางก็มองว่าคุณหนูของนาง สมควรไปรายงานให้ฮูหยินทราบเสียก่อน
“แต่ปกติข้าก็ทำตัวเหมือนกักบริเวณตนเองอยู่แล้วนี่นา”
จ้าวเยว่แย้งอย่างขบขัน ตัวนางไม่ได้ออกไปนอกจวนบ่อย ๆ สักหน่อย หากถูกลงโทษก็คงไม่ต่างจากทุกวันนี้ ที่ต้องเก็บตัวอยู่แต่ในจวนหรอก
หลังจากนั้นจ้าวเยว่ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เดินฉับ ๆ ไปที่ประตูด้านหลังของจวน ผิงผิงที่พยายามเอ่ยห้ามแล้วห้ามอีกได้แต่เดินตามไป สายตาสอดส่องมองหน้าหลัง ด้วยเกรงว่าจะมีใครมาเห็นเข้า และในที่สุดทั้งสองก็ออกมาอยู่บนถนนสายเล็ก ๆด้านหลังจวน
จวนของท่านเซียวโหว
งานเลี้ยงที่จวนของท่านเซียวโหวเริ่มตั้งแต่ยามโหย่ว งานเลี้ยงจัดขึ้นอย่างใหญ่โตที่ลานกว้างภายในจวน ทางเดินเข้าไปก่อนจะถึงหน้างาน มีสะพานไม้ทอดผ่านลำคลองขนาดเล็กที่มีฝูงปลาสีสันสวยงามแหวกว่าย
ราวสะพานประดับประดาด้วยบุปผาสีม่วง ขาว และชมพู ตามเสาก็ตกแต่งด้วยผ้าสีม่วงขาวพลิ้วไหวเต็มไปหมด โต๊ะถูกจัดเป็นสองฝั่ง โดยไล่เรียงตามตำแหน่งของผู้มาร่วมงาน มีเพียงโต๊ะของท่านเจ้าเมืองเท่านั้น ที่จัดตั้งไว้ตรงกลางชั้นบนสุด
อากาศเริ่มเย็นลงในทุกขณะตามช่วงเวลาที่ล่วงผ่าน อาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าส่องแสงสีส้ม ขับให้ภาพงานเลี้ยงดูอบอุ่นและครึกครื้น แขกเหรื่อเริ่มทยอยเข้ามาในงาน ทั้งเหล่าบัณฑิต คนของทางการ รวมถึงคหบดีต่าง ๆ เริ่มหลั่งไหลเข้ามา งานเลี้ยงครั้งนี้เชิญแขกร่วมร้อยคน ภายในงานจึงดูวุ่นวายยิ่ง
เจ้ากรมการคลังจ้าวฝู่กับฮูหยิน นั่งอยู่ตำแหน่งขวามือ ใกล้กับท่านโหวที่สุด
ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่มีเกียรติมาก ต้องเป็นคนที่ท่านโหวสนิทและไว้เนื้อเชื่อใจเท่านั้น จึงจะสามารถนั่งได้ ส่วนบุตรชายทั้งสองของจ้าวฝู่นั้น นั่งที่ตำแหน่งไกลออกไป ซึ่งมีแต่บุรุษนั่งอยู่ด้วยกัน
ฝั่งตรงข้ามจ้าวฝู่เป็นซูม่อเยี่ย เจ้ากรมทะเบียนราษฎร์ ผู้ซึ่งไม่ค่อยชอบพอจ้าวฝู่สักเท่าไร
แล้วการที่จ้าวเยว่ไม่ได้มาร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ ก็ไม่อาจหลุดรอดสายตาของซูม่อเยี่ยไปได้
“บุตรสาวของท่านเจ้ากรมการคลังไม่ได้มางานเลี้ยงด้วยอย่างนั้นหรือ ทำเช่นนี้ มิเป็นการไม่ให้เกียรติท่านโหวหรอกรึ” ซูม่อเยี่ยเอ่ยขึ้นต่อหน้าจ้าวฝู่และท่านโหว
จ้าวฝู่ที่อุตส่าห์เงียบมานาน และคิดว่าไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นแล้วถึงกับหน้าชา เขาไม่คาดคิดว่าซูม่อเยี่ยจะใช้เรื่องนี้มาเล่นงานตนจึงรีบแก้ตัวออกมาว่า
“วันนี้จ้าวเยว่ไม่สบาย ข้าจึงให้นางพักผ่อนอยู่ที่จวน ต้องขออภัยท่านโหวด้วย”
“หึ! ไม่ใช่เพราะความเกียจคร้านหรอกหรือ จึงไม่อยากมา” ซูม่อเยี่ยเอ่ยพร้อมแสยะปากใส่
“เอาเถอะ ๆ นางไม่สบายก็อย่ารบกวนเลย พวกเราสนใจกับงานเลี้ยงตรงหน้าจะดีกว่า” ท่านโหวตัดบท
ถึงแม้ว่าพวกขุนนางทั้งหลายจะรู้อยู่แล้ว ว่าจ้าวเยว่นั้นเป็นสตรีเกียจคร้าน และเดิมทีก็ไม่ได้สนใจอะไร ทว่าการปฏิเสธงานเลี้ยงครั้งนี้ ได้ทำให้ชื่อเสียงของนางย่ำแย่หนักขึ้นกว่าเก่า เพราะว่างานเลี้ยงนี้ ถือเป็นงานสำคัญ ท่านโหวเป็นถึงขุนนางใหญ่ของฉางอัน และตำแหน่งโหวนั้น ถือว่าเป็นผู้มีอำนาจรองจากฮ่องเต้กับท่านอ๋องเลยทีเดียว
ณ ศาลาชมดาว
ศาลาชมดาวเป็นที่นั่งของบรรดาหญิงสาวที่มาจากตระกูลขุนนางต่าง ๆ พวกนางถูกจัดให้นั่งที่ตรงนี้โดยเฉพาะ เพราะเป็นจุดที่ชายหนุ่มในงานสามารถมองเห็นพวกนางได้ถนัด ถ้าหากต้องตาต้องใจสตรีนางใด ก็จะสามารถเข้ามาสนทนาด้วยได้
“นี่..เจ้าว่าจ้าวเยว่นางป่วยจริงหรือไม่” สตรีสูงศักดิ์นางหนึ่งเอ่ยขึ้น
“หึ..ข้าว่านางไม่ได้ป่วยหรอก หญิงเกียจคร้านอย่างนั้นคงไม่อยากจะมางานเลี้ยงกระมัง” เสียงเอ่ยดังมาจากทางด้านหลัง
เป็นเสียงของซูหลิงเจียว บุตรีของซูม่อเยี่ยเจ้ากรมทะเบียนราษฎร์นั่นเอง
สตรีนางเดิมหันหลังกลับมาถามว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร ถึงแม้ว่านางจะเกียจคร้าน แต่ครั้งนี้อาจจะป่วยจริง ๆ ก็ได้”
ซูหลิงเจียวส่ายศีรษะเล็กน้อยก่อนเอ่ยขึ้น “ฟ่านถงถง เจ้านี่ช่างไร้เดียงสาเกินไปแล้ว เจ้าว่าที่บิดานางเอ่ยนั้นเชื่อถือได้อย่างนั้นหรือ ผู้เป็นบิดาย่อมปกปิดความผิดของลูกตัวเองอยู่แล้ว แล้วทำไมข้าถึงรู้น่ะหรือ...ก็เพราะว่าเมื่อยามเว่ย ข้ายังเห็นนางออกมาซื้อขนมที่ตลาดอยู่เลย”
“หรือที่นางไม่ยอมออกมาพบผู้คน เป็นเพราะว่านางมีรูปโฉมที่ไม่งดงาม จึงไม่อยากมารวมกลุ่มกับพวกเรา ด้วยกลัวว่าจะอับอาย” หวังเว่ยเถียนบุตรีของหวังรั่วคหบดีผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น
เมื่อทุกคนได้ยินประโยคนี้ของนาง ก็พากันหัวเราะร่วนอย่างสนุกสนาน และเชื่อกันไปว่าจ้าวเยว่นั้น น่าจะมีรูปโฉมที่ไม่งดงาม จริง ๆ
“ที่เจ้าเอ่ยนั้นไม่ถูกต้อง ถ้าเจ้าได้เห็นนาง เจ้าจะต้องตะลึงเพราะว่าจ้าวเยว่นั้นมีรูปโฉมที่งดงามยิ่ง” ฟ่านถงถงบอก
“ข้าก็เห็นเช่นเดียวกันกับพี่ถงถง ข้าเคยเห็นนางครั้งหนึ่งที่ร้านขายภาพวาด” ซูหนิงน้องสาวของซูหลิงเจียวเอ่ย
ซูหลิงเจียวส่งสายตาดุน้องสาวของตน
“ซูหนิง เจ้าหยุดเอ่ยเดี๋ยวนี้”
“จริงสิ ในฉางอันนี่จะมีใครงามเท่าคุณหนูซูหลิงเจียวอีกล่ะ ต่อให้เป็นจ้าวเยว่ก็เถอะ จะอย่างไรก็สู้พี่หลิงเจียวของพวกเราไม่ได้แน่นอน” หวังเว่ยเถียนเอ่ยยกยอ
ซูหลิงเจียวยิ้มรับอย่างพึงพอใจ ก่อนจะลอยหน้าลอยตาส่งสายตาไปทางกลุ่มของบุรุษ ที่กำลังยืนสนทนากันอยู่ที่ลานฝั่งตรงข้าม
ที่จริงแล้วจ้าวเยว่ ผู้ซึ่งไม่สนใจเรื่องของความงามนั้น มีรูปโฉมที่งดงามมาก จนมิอาจหาสตรีใดในฉางอันเทียบเทียมได้ด้วยรูปร่างแบบบางอ่อนช้อย ทำให้นางดูเป็นหญิงสาวที่หวานหยดย้อย ขัดกับกิริยาที่ซุกซนของนาง
ผิวพรรณที่ขาวผุดผ่องจากการขัดถูทุกวัน ใบหน้าที่มีเลือดฝาดดั่งสาวแรกรุ่น โดยที่ไม่ต้องแต่งแต้มชาดให้แดงเหมือนกับสตรีนางอื่น ใบหน้ารูปไข่ที่สมมาตรตามแบบของหญิงงาม ทำให้นางดูเพียบพร้อม ราวกับโฉมสะคราญที่เดินออกมาจากภาพวาดของจิตรกรเลื่องชื่อ
งานเลี้ยงดำเนินไปอย่างครึกครื้น ขุนนางผู้ใหญ่สนทนาถึงเรื่องจวนเมือง หรือไม่ก็ครอบครัวของตนอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ เหล่าบุรุษต่างก็สนทนาเกี่ยวกับเรื่องการฝึกฝนวรยุทธ์ หรือไม่ก็พวกตำราความรู้ต่าง ๆ ส่วนสตรีเองก็สนทนากันถึงเรื่องความงามและเรื่องออกเรือน
เหล่าสตรีส่วนใหญ่ที่มาในงานนี้ ต่างก็หมายปองเซียวเฟิง บุตรชายของท่านเซียวโหวกันทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่ซูหลิงเจียว เมื่อเซียวเฟิงปรากฏกายขึ้นท่ามกลางหมู่บุรุษ รูปโฉมที่หล่อเหลาของเขา ก็เป็นที่สะดุดตาของบรรดาหญิงสาวในงานยิ่งนัก
ซูหลิงเจียวพยายามส่งสายตาให้เขาไม่หยุด แต่ชายหนุ่มก็มิได้สนใจเลยแม้แต่น้อย
เนื่องจากคนที่เขากำลังมองหาคือจ้าวเยว่ต่างหาก