บทที่ 4 งานเลี้ยงน้ำชา

2862 คำ
“เห็นทีท่านพ่อกับท่านแม่คงจะเอาจริงแล้วล่ะน้องสาม” จ้าวอวี้เฉินกล่าวขึ้น เมื่อคล้อยหลังบิดามารดา “ท่านพี่ พวกท่านต้องช่วยข้านะ ข้าไม่อยากเรียนปักผ้า ทำอาหาร จัดดอกไม้ ทำรองเท้า อะไรพวกนั้น ให้ข้าไปฝึกยิงธนู ขี่­ม้ายังดีเสียกว่า” จ้าวเยว่ขอร้องพี่ชายทั้งสอง และทำสายตาราว­กับว่าพวกเขาจะต้องช่วยนางเป็นแน่ จ้าวหลู่เจินมองหน้าน้องสาวแล้วถอนหายใจอย่างหมดหวัง “ไม่ใช่ว่าไม่อยากช่วย แต่มันช่วยไม่ได้ เจ้าเองก็ลองทำตามที่ท่านพ่อกับท่านแม่บอกก่อนจะเป็นไร ข้าว่าไม่ยากเกินไปหรอกน่า” “หรือว่าเจ้าจะแต่งให้กับเซียวเฟิงดี ข้าว่าพวกเจ้าอาจจะเข้า­กันได้ดีก็เป็นได้” จ้าวอวี้เฉินแนะนำ เพราะหากมองกันตามฐานะ ก็ถือว่าทั้งสองเป็นคู่ที่เหมาะสมกัน จ้าวเยว่เอามือเท้าคางนั่งมองพื้นอย่างหมดความหวัง “ได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ ข้ากับเซียวเฟิงเป็นสหายกัน จะออกเรือนไปกับเขาได้อย่างไร อีกอย่าง คนที่ทั้งเก่งทั้งฉลาดอย่างเขา คงไม่อยากได้ข้าเป็นภรรยาเป็นแน่ พวกท่านว่าจริงหรือไม่” “ก็จริงของเจ้า” พี่ชายทั้งสองเอ่ยพร้อมกัน “เอาล่ะ เดี๋ยวค่อยคิดกันว่าจะทำอย่างไรต่อไป นี่ก็ดึกแล้วข้าขอตัวไปนอนก่อน ราตรีสวัสดิ์ท่านพี่ทั้งสอง” เมื่อร่ำลาพี่ชายทั้งสองคนแล้ว จ้าวเยว่ก็ลุกจะออกจากห้องโถงไป แต่นางกลับถูกพี่ชายอย่างจ้าวหลู่เจินรั้งตัวไว้ “ไม่ไปคุกเข่าที่หอบรรพชนแล้วหรือ ท่านแม่เพิ่งสั่งเจ้าเอง­นะ เจ้านี่ใช้สมองร่วมกับปลาทองหรืออย่างไร” “ลืมไปสนิทเลย ข้ามัวแต่หงุดหงิดเรื่องที่ตัวเองจะต้องเรียน­โน่นเรียนนี่นะสิเจ้าคะ” จ้าวเยว่ยังไม่ทันเอ่ยขาดคำ สาวใช้ประจำเรือนของมารดาก็­เดินเข้ามา พร้อมกับทำความเคารพคนทั้งสาม “เอ่อ...คุณหนูเจ้าคะ ฮูหยินให้ข้ามาดูแลท่าน ในระหว่างที่คุกเข่าที่หอบรรพชนเจ้าค่ะ” “เหอะ! ท่านแม่ให้เจ้ามาเฝ้าข้ามากกว่าล่ะสิ คงกลัวว่าข้าจะไม่ยอมทำตามคำสั่งอีก” “จ้าวเยว่...อย่าหาเรื่องน่า ขืนท่านแม่มาได้ยิน เดี๋ยวก็ถูกเพิ่มโทษอีกหรอก” จ้าวอวี้เฉินสะกิดน้องสาว พลางส่ายหน้าไม่ให้นางบ่นถึงเรื่องนี้อีก “เอาเถอะ ข้าไปแน่ พวกท่านกลับมาเหนื่อย ๆ ก็รีบพักผ่อนเถอะ ราตรีสวัสดิ์” เมื่อจ้าวหลู่เจินกับจ้าวอวี้เฉินแยกย้ายกันกลับห้องของตัวเองไปแล้ว จ้าวเยว่กับสาวใช้ก็ตรงไปยังหอบรรพชน ทันทีที่เดินมาถึง หญิงสาวก็ทำการคุกเข่าอยู่ด้านหน้าป้ายวิญญาณของบรรพชนสกุลจ้าวหลายต่อหลายรุ่น โดยมีสาวใช้ของ­มารดายืนคุมอยู่ด้านหลัง ทว่ายังไม่ทันจะคุกเข่าได้นานเท่าไรนัก พวกเขาก็ได้ยินเสียงร้องของสาวใช้ดังแว่วมา “เจ้าได้ยินเสียงร้องนั่นหรือไม่ ไปดูข้างนอกให้ข้าหน่อย ว่ามีใครเป็นอะไรหรือไม่” จ้าวเยว่ที่กำลังคุกเข่าหันมาบอกสาวใช้ ซึ่งสาวใช้ก็รีบทำตามทันที และทันทีที่สาวใช้ของมารดาก้าว­ออกไป สาวใช้อีกคนที่นางจำได้ว่าเป็นคนของจ้าวอวี้เฉิน ซึ่งมีนามว่าซีซี ก็ก้าวเข้ามาพร้อมกับส่งของบางอย่างมาให้ “เบาะรองเข่าเจ้าค่ะคุณหนู คุณชายให้นำมาให้ท่าน” “พี่รองมีของเช่นนี้ด้วยหรือเนี่ย ประเสริฐที่สุด” จ้าวเยว่รีบนำที่รองเข่าเล็ก ๆ มาผูกตรงข้อพับของตน โดยมี­สาวใช้ของพี่ชายช่วยเหลือ ส่วนตัวนางก็ถลกกระโปรงขึ้น เพื่อให้อีกฝ่ายช่วยใส่ได้สะดวก “ขอบใจเจ้ามากนะ เดี๋ยวไว้ข้าจะให้ผิงผิงเอารางวัลไปให้” หญิงสาวยิ้มกว้าง ก่อนจะรีบคุกเข่าลงตามเดิม คราวนี้ต่อให้มารดาสั่งให้นางคุกเข่าทั้งคืน ก็ไม่มีปัญหาแล้ว ส่วนสาวใช้ของพี่ชายก็ก้มศีรษะให้ แล้วรีบวิ่งออกไปจากหอบรรพชนทันที หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม จ้าวฮูหยินที่ถึงแม้จะโกรธเคืองบุตรสาวเพียงใด ก็ยังมีความรักมอบให้แก่นางอย่างมากเช่นกัน ก็สั่งให้จ้าวเยว่เลิกคุกเข่า และกลับไปพักผ่อนที่เรือนได้ เมื่อหญิงสาวกลับมาถึงห้องนอน ก็เห็นผิงผิงยืนรออยู่ที่หน้า­ประตูแล้ว สีหน้าของผิงผิงดูร้อนใจและเป็นกังวลอยู่หลายส่วน เพราะกลัวว่าคุณหนูของตนจะถูกว่ากล่าวอย่างรุนแรง หรือไม่ก็­ลงโทษให้กักบริเวณอีก จึงอดเป็นห่วงไม่ได้ “คุณหนู นายท่านกับฮูหยินว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ พวก­ท่านสั่งลงโทษอะไรคุณหนูหรือไม่” ทันทีที่เห็นคุณหนูของตนเองเดินเข้ามา สาวใช้คนสนิทอย่างผิงผิง ก็รีบวิ่งมาหาจ้าวเยว่ทันที ด้วยความร้อนใจและเป็นห่วง เนื่องจากนางรู้จากสาวใช้อีกคนหนึ่งแล้ว ว่าจ้าวเยว่ถูกลงโทษให้­คุกเข่า แต่ตัวนางไม่อาจไปช่วยเหลือคุณหนูได้ จึงได้แต่รออยู่ที่นี่ จ้าวเยว่ที่หน้าตาดูไม่สะทกสะท้านกับความผิดของตนเลย­นั้น ก็ตอบเสียงราบเรียบว่า “ไม่ได้ลงโทษ แต่ก็ไม่ต่างจากลงโทษ” “เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้นล่ะเจ้าคะ ผิงผิงได้ยินว่าคุณหนูถูกสั่งให้ไปคุกเข่าที่หอบรรพชนไม่ใช่หรือ” สีหน้าของผิงผิงเปลี่ยนจากกังวลมาเป็นสงสัยขึ้นมา “นั่นมันเรื่องเล็กน่า” หญิงสาวเอ่ยอย่างไม่รู้สึกอะไร ก่อนจะก้มลงปลดที่รองเข่าออกจากข้อพับ แล้วส่งไปให้ผิงผิง “พรุ่งนี้เจ้าเอาไปคืนพี่อวี้เฉินให้ข้าด้วย อ้อ...พรุ่งนี้เจ้าอย่า­ลืมมาเอาเงินจากข้าหนึ่งตำลึง ไปให้สาวใช้ที่ชื่อซีซีด้วยนะ” “จะ...เจ้าค่ะ” แม้จะยังงงงันอยู่บ้างแต่ผิงผิงก็รับคำ รวมถึงรับผ้ารองเข่ามาใส่ไว้ในสาบเสื้อของตนอย่างดี “คุณหนู แล้วเรื่องที่ท่านเอ่ยค้างไว้เมื่อครู่เล่าเจ้าคะ” “อ้อ...ก็ท่านพ่อกับท่านแม่น่ะสิ อยากจะให้ข้าออกเรือนจึง­ตั้งใจจะจะขัดเกลาข้าเสียใหม่ กล่าวว่าจะให้ข้าเรียนเย็บผ้า ปักผ้า อ่านตำรา ทำอาหาร และอีกมากมายสารพัดอย่าง เพื่อที่ข้าจะได้เป็นฮูหยินที่ดีในภายภาคหน้า” จ้าวเยว่อธิบายพร้อมกับเดินตรงเข้า­ไปที่เตียง “แล้วคุณหนูจะทำอย่างไรต่อไปเล่าเจ้าคะ” ผิงผิงถามอีก จ้าวเยว่นอนหงายหลังลงบนเตียง นางกางแขนกางขาเข้า ๆ ออก ๆ พลางเอ่ยไปด้วยว่า “ข้าว่านะ ตอนแรกก็จะลองทำตามที่พวกท่านบอกดู แต่ถ้าทำไม่ไหวข้าก็จะเล่นงานครูที่มาสอนข้า ให้เขาเบื่อข้า แล้วก็ไม่­อยากกลับมาที่จวนนี้อีกเลย เท่านี้ก็น่าจะใช้ได้” ผิงผิงฟังแล้วต้องถึงกับเอามือก่ายหน้าผาก แล้วส่ายศีรษะด้วยความเหนื่อยใจ จ้าวเยว่กำลังยืนให้อาหารปลาอยู่ที่สระเล็กในสวนหลังจวนเหมือนทุกครั้ง ปกติแล้วนางจะให้อาหารปลาในยามเฉินของทุก­วัน นี่ถือเป็นงานเดียวที่นางทำ หลังจากให้อาหารปลาแล้วก็จะยืนดูพวกมันสักพัก จากนั้นจึงกลับห้องไปนอนต่อ ตื่นมาอีกครั้งก็­ยามอู่เพื่อกินข้าว แต่ว่าวันนี้หญิงสาวไม่ได้กลับไปนอนเหมือนทุก­วัน เนื่องจากถูกเรียกให้ไปที่ห้องโถงอีกแล้ว “คุณหนูเจ้าคะ ฮูหยินเรียกให้ไปพบเจ้าค่ะ” สาวใช้นางหนึ่งวิ่งนำความมารายงาน จ้าวเยว่กลอกตาขึ้นบนอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะตอบว่า “เจ้ากลับไปรายงานท่านแม่ ว่าสักครู่ข้าจะตามไป” สาวใช้นางนั้นจึงได้เดินจากไป พร้อมกับคำตอบของจ้าวเยว่ “อีกแล้ว ๆ เดือนนี้ถูกเรียกไปห้องโถงกี่ครั้งแล้วเนี่ย” จ้าวเยว่บ่นอย่างรำคาญใจ นางนึกอยากเป็นตุ๋นสักตัว จะได้มุดดินหนีไปเสียเลย ผิงผิงรู้ว่านายของตนนั้นไม่ชอบถูกเรียกให้ไปพบที่ห้องโถงเป็นอย่างมาก เพราะถ้าถูกเรียกเมื่อใด ก็เป็นอันว่าต้องเกิดเรื่องขึ้นเมื่อนั้น แต่นางเป็นแค่สาวใช้จะทำอะไรได้ ทำได้เพียงแต่เอ่ยปลอบคุณหนูเท่านั้น “ครั้งนี้อาจจะไม่มีอะไรก็ได้เจ้าค่ะ ฮูหยินอาจจะเรียกไปเพราะอยากสนทนากับคุณหนูเท่านั้น” “เคยสักครั้งหรือไม่ ที่มันจะไม่มีอะไร” “โธ่คุณหนู บ่นไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรนะเจ้าคะ สู้ยิ้มรับแล้วไปกันดีกว่าเจ้าค่ะ” จ้าวเยว่เดินคอตกตามผิงผิงไปถึงหน้าห้องโถง ตอนแรกนาง­เดินเข้าไปคนเดียว แต่ว่าจ้าวฮูหยินบอกว่าให้ผิงผิงตามเข้ามาได้ ผิงผิงจึงเดินเข้ามาในห้องโถงด้วย ภายในห้องโถงนั้น นอกจากจะมีจ้าวฮูหยิน จ้าวเยว่และผิง­ผิงแล้ว ยังมีมีสตรีอีกนางหนึ่งอยู่ด้วย ที่โต๊ะข้าง ๆ นางมีอุปกรณ์สำหรับวัดขนาดอยู่หลายชิ้น และในมือก็ถือเชือกสำหรับวัดขนาดอยู่ “ท่านแม่ให้ช่างตัดเสื้อมาทำไมหรือเจ้าคะ” จ้าวเยว่ถาม พลางทำหน้างุนงงเล็กน้อย “มาตัดชุดให้เจ้า” จ้าวฮูหยินตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง จ้าวเยว่ได้ยินก็ยิ่งแปลกใจมากขึ้นไปอีก เมื่อช่วงต้นปีนาง­เพิ่งตัดชุดใหม่ไป เนื่องจากส่วนสูงของนางเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว แต่นี่ก็เพิ่งจะเดือนสอง นางคงไม่ได้โตเร็วถึงขนาดนั้นกระมัง ถึงได้ต้องเรียกคนมาตัดชุดใหม่ “ข้าเพิ่งตัดชุดใหม่ไปเมื่อต้นปีเองนี่เจ้าคะ เหตุใดจึงต้องตัดอีก” จ้าวเยว่ถามขึ้นอย่างสงสัย “ชุดนี้ตัดเพื่อให้เจ้าใส่ไปงานเลี้ยง วันพระราชสมภพของไท­เฮา” จ้าวฮูหยินตอบกลับด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มที่มุมปาก “งานเลี้ยงอีก...” จ้าวเยว่กำลังจะเอ่ยปากบ่น แต่ก็ถูกมารดาตัดบทขึ้นมาเสียก่อน “งานนี้เจ้าขัดขืนไม่ได้ อย่างไรก็ต้องไป หากเจ้าไม่ไป จะมีโทษฐานขัดพระราชเสาวนีย์ เจ้าจะรับโทษนั้นไหวหรือไม่” จ้าวฮูหยินเอ่ยอย่างเนิบช้า ทว่าแววตาช่างดูดุดันและจริงจัง จ้าวเยว่เห็นเช่นนั้น จึงทำได้เพียงแค่ตอบว่า “เจ้าค่ะ” ช่างตัดเสื้อทำการวัดขนาดและความยาวบนตัวจ้าวเยว่ วัด­ไปก็จดไปว่าส่วนต่าง ๆ ว่ามีขนาดเท่าไร ส่วนผิงผิงก็ช่วยคุณหนูของตนจัดท่าทาง เพื่อให้ช่างตัดเสื้อทำงานง่ายขึ้น ใช้เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งก้านธูปทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย ช่าง­ตัด­เสื้อจึงได้ขอตัวกลับร้านไป “ผิงผิง เจ้ามานี่” จ้าวฮูหยินเรียกผิงผิงให้เข้าไปหา “เจ้าค่ะ” ผิงผิงตอบ จ้าวฮูหยินส่งถุงเงินให้ผิงผิงถุงหนึ่ง ในนั้นน่าจะมีเงินอยู่หลายตำลึง พอส่งถุงเงินให้แล้ว ก็สั่งผิงผิงให้ออกไปซื้อของข้างนอก “เจ้านำเงินนี้ไป แล้วไปซื้อแป้งผัดหน้า ชาด แล้วก็น้ำมันประทินผิวมา นับตั้งแต่วันนี้ เจ้าต้องดูแลความงามของนางทุกวันอย่าได้ขาด อย่าให้ข้าต้องขายหน้า ว่ามีบุตรสาวที่ไม่งาม” “เจ้าค่ะ” ผิงผิงตอบ นางรับเงินแล้วก็เดินออกจากประตูไป “เจ้าเองก็ไปได้” เสร็จธุระแล้ว จ้าวฮูหยินก็บอกให้จ้าวเยว่กลับห้อง “เจ้าค่ะ ท่านแม่” จ้าวเยว่ตอบรับแล้วรีบเดินออกมาจากห้อง­โถงที่นางรู้สึกอึดอัดทันทีเช่นกัน เมื่อถึงวันงาน จ้าวฮูหยินสั่งคนให้มาช่วยแต่งองค์ทรงเครื่องจ้าวเยว่ โดยชุด­ที่สั่งตัดใหม่ของหญิงสาวเพิ่งมาถึงเมื่อยามเว่ย เป็นชุดเกาะอกยาวสีชมพูอ่อน ผ้าพลิ้วไหวบางเบา สวมทับด้วยเสื้อคลุมตัวยาวสี­เดียวกัน ผ้าคาดเอวเป็นสีขาวไม่ขัดกับสีชมพูของชุด เครื่องประดับที่ใส่คู่กับชุด เป็นปิ่นปักผมที่ประดับด้วยหยกสีชมพู และกำไลที่ทำจากหยกสีชมพูเช่นกัน จ้าวฮูหยินสั่งให้คนมาช่วยกันแต่งหน้าทำผมให้จ้าวเยว่ ช่าง­แต่งหน้าพวกนี้มาจากหอโอบจันทร์ สำนักนางโลมที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในแคว้นฉางอัน พวกเขาเหล่านี้แต่งหน้าผู้คนมามากมายขึ้น­ชื่อว่าสามารถเปลี่ยนหญิงธรรมดาให้เป็นนางโลมที่งาม จนต้องตะลึงได้ และเมื่อพวกเขามาแต่งหน้าให้จ้าวเยว่ที่งามอยู่แล้ว บัดนี้ก็­ถึงกับงดงามดุจดั่งเทพเซียน ทุกคนต่างก็แต่งตัวกันเสร็จแล้วและมารอที่รถม้าหน้าจวนพอจ้าวฮูหยินเห็นจ้าวเยว่ นางก็ต้องพยักหน้าและอมยิ้ม ส่วนพี่ชายทั้งสองนั้น ถึงกับตะลึงจนแทบจะหงายหลัง “น้องสาม นี่เจ้าไปกินลูกท้อสวรรค์มาหรืออย่างไร” จ้าวอวี้เฉินเอ่ยเป็นเชิงหยอกล้อ จ้าวหลู่เจินเองก็มองน้องสาวของตนเองอย่างเอ็นดู “เจ้านี่ถ้าจะทำให้ดี ก็ออกมาดีไม่น้อย” “ท่านพี่ทั้งสองเอ่ยเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ ปกติแล้วข้าไม่­งามอย่างนั้นหรือ” จ้าวเยว่เอ่ยพร้อมถลึงตาใส่พี่ชายทั้งสองคน “ไม่ใช่เจ้าไม่งาม แต่ว่าพวกข้าเพิ่งจะเคยเห็นเจ้างามเช่นนี้” จ้าวอวี้เฉินรีบเอ่ยขึ้นก่อนที่น้องสาวคนเล็กจะไม่พอใจ “ท่านคิดว่าข้าชอบนักหรืออย่างไร ข้าอึดอัดจะตายอยู่แล้ว รีบ­ไปกันเถอะ” เอ่ยจบจ้าวเยว่ก็ทำหน้าตาบูดบึ้ง เดินนำหน้าขึ้นรถ­ม้าไป พี่ชายทั้งสองจึงตามขึ้นไปเช่นกัน เมื่อไปถึงงานเลี้ยง สามพี่น้องก็เดินตามท่านเจ้ากรมการคลังและจ้าวฮูหยินเข้าไปในงาน บรรดาบุรุษที่มองมา ต่างก็มองตามจ้าว­เยว่กันเป็นแถว เพราะตั้งแต่เข้างานมาก็ไม่พบผู้ใดงามถึงเพียงนี้มาก่อน ก่อนหน้านี้บุตรีของท่านเจ้ากรมทะเบียนราษฎร์ซูหลิงเจียวที่­มาถึงสักพักว่างามแล้ว แต่เมื่อจ้าวเยว่เดินเข้ามา ซูหลิงเจียวก็­หมองลงและหมดความโดดเด่นไปทันที เจ้ากรมการคลังและฮูหยินพร้อมกับบุตรทั้งสามเดินไปที่หน้าพระที่นั่งของฮ่องเต้และไทเฮา “ถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมไทเฮา” ทุกคนเอ่ยพร้อมกัน จากนั้นจึงแยกย้ายกันไปนั่งที่ของตน ตามธรรมเนียมของงานเลี้ยงแล้ว ขุนนางจะนั่งที่บริเวณเดียวกันกับฮ่องเต้และเชื้อพระวงศ์ เพื่อที่จะสนทนากันเรื่องจวนเมืองได้สะดวก ด้านฮูหยินของบรรดาขุนนาง ก็จะถูกจัดให้นั่งอีกที่หนึ่ง ส่วนบุตรของขุนนาง ก็จะถูกจัดให้นั่งแยกกันระหว่างชาย­หญิง เพื่อให้พวกเขาได้สมาคมกับคนรุ่นราวคราวเดียวกัน จ้าวเยว่เองก็เดินไปนั่งที่ของตน โดยที่มีสาวใช้นำทางไป ระหว่างทางก็ผ่านที่นั่งของเหล่าบุรุษ ซึ่งบุรุษเหล่านั้นก็ต่างซุบซิบถามกัน “แม่นางผู้นี้เป็นใครกัน พวกเจ้ารู้จักหรือไม่” บุตรของเจ้ากรมผู้หนึ่งถามขึ้นมา บุรุษสี่ห้าคนต่างตอบมาว่า “ไม่รู้จัก / ข้าก็ไม่รู้จัก / นางเป็นใครงั้นหรือ” “นางคนนั้นน่ะหรือ” จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังมาจากทางด้านหลัง ซึ่งเขาผู้นั้นก็กำลังเดินมานั่งที่ของตนเช่นกัน “นางมีนามว่าจ้าวเยว่ เป็นบุตรีของเจ้ากรมการคลังจ้าวฝู่” เซียวเฟิงตอบออกไปอย่างภาคภูมิใจ ริมฝีปากของเขายกยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นนางเดินผ่านไป แต่ทว่านางไม่ทันได้เห็นเขา “อ๋อ แม่นางที่ได้ฉายาว่าหญิงเกียจคร้านแห่งแคว้นฉางอัน น่ะ­หรือ” บุรุษผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “ช่างน่าเสียดายความงามของนางยิ่งนัก งามขนาดนี้ ไม่น่ามีชื่อเสียงไม่ไม่ดีเลย” บุรุษคนเดิมเอ่ยเสริมอีกครั้ง เมื่อทุกคนรู้ว่านางคือจ้าวเยว่ จากที่ตกตะลึงในความงามกลับกลายเป็นเสียดายความงามของนางแทน มีเพียงแต่เซียวเฟิงเท่านั้นที่ยังคงมองนางอย่างชื่นชม ต่อให้ผู้อื่นจะว่านางเป็นหญิงเกียจคร้านอย่างไร เขาก็ได้หาสนใจ ยิ่งบุรุษอื่นไม่อยากได้นางเป็นภรรยาสิยิ่งดี เขาจะได้มีโอกาสแต่เพียงผู้เดียว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม