ตอนที่ 13 ความสนิทสนม

1381 คำ
“อาเฟิน” “หลิ่งอิน” ต่างฝ่ายต่างเรียกหากัน เมื่อครู่พวกเขายืนห่างกันเพียงคืบ แต่เวลานี้ข้างกายกลับไม่เห็นแม้แต่เงา “อาเฟิน เจ้าอยู่ที่ใด” หลิ่งอินยังคงเรียกเขาไม่หยุด แววตาวิตกกังวลด้วยความเป็นห่วง “หลิ่งอิน เจ้ารอข้าก่อน อย่าเพิ่งไปไหน” เหลียนเฟินกำลังเดินตามเงาของคนที่เขาคิดว่าใช่ “หลิ่งอิน ไปคนเดียวอันตราย เจ้ารอข้าก่อน” เขาเดินตามทันจึงเอื้อมมือคว้าไหล่ให้หยุด ทว่า พอคนผู้นั้นหันหน้ามากลับไม่ใช่หลิ่งอิน “เจ้าเป็นผู้ใด” เหลียนเฟินหลุดปากถาม คนตรงหน้าดูอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เขาแน่ใจว่าก่อนหน้านี้ไม่เจอผู้ใดอยู่ที่แห่งนี้ แววตาจึงแปรเปลี่ยนเป็นระวังตัว ร่างกายถอยออกห่างตามสัญชาตญาณ สีหน้าเรียบเฉยแสยะยิ้มจ้องมองเขาพลางเดินเข้ามาใกล้ “หยุด!” เสียงของเหลียนเฟินดังลั่นสั่งให้คนผู้นั้นหยุด มิเช่นนั้นแล้วเขาจะร่ายอาคมป้องกันตัว “เหลียนเฟิน!” เขาได้ยินเสียงของหลิ่งอินเรียกหาจึงหันไปทางต้นเสียงแต่ไม่พบใคร ครั้นหันกลับมาที่เดิมร่างของคนผู้นั้นก็หายไปแล้ว มือข้างหนึ่งยื่นมาแตะที่ไหล่เขาเบา ๆ “เหลียนเฟิน” ร่างของหลิ่งอินปรากฏขึ้น เขาจึงค่อยเบาใจนึกว่าจะพลัดหลงกันในม่านหมอกเสียแล้ว “เหลียนเฟิน” เขารู้สึกได้ว่าน้ำเสียงคนตรงหน้าเหมือนหลิ่งอิน ทว่ารอยยิ้มเยือกเย็นนี่คืออะไร หลังจากใช้เวลาเพียงแวบหนึ่งตรองดูก็พบว่าคนผู้นี้ไม่ใช่ “เจ้าเป็นผู้ใด หลิ่งอินอยู่ไหน” เหลียนเฟินโพล่งถามด้วยความสงสัย “เหตุใดรู้ตัวเร็วนัก” คนผู้นั้นตอบพลันเปลี่ยนโฉมเป็นชายหนุ่มวัยสิบแปดปีผู้นั้น เหลียนเฟินรู้สึกคุ้นหน้าเขาเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน “...” เขาไม่ตอบ ปลายกระบี่ของเขาชี้ไปที่คนผู้นี้ แสงสีฟ้าเรืองรองบนคมกระบี่ เหลียนเฟินร่ายอาคมเรียบร้อย เหลือแค่เพียงฟันตรง ๆ เจ้าสิ่งนี้ก็จะสลายหายไป “ข้าถามว่าทำไม!” ร่างแปลงนั้นตวาดเสียงดังเดินเข้ามาใกล้เขาเรื่อย ๆ ด้วยความไม่พอใจ เหลียนเฟินจึงไม่รีรอฟันกระบี่ลงอาคมไปที่ร่างนั้น จังหวะที่ปลายแหลมคมของมันกำลังกระทบร่าง ใบหน้านั้นก็เปลี่ยนเป็นหลิ่งอินอีกครั้ง เขาชะงักมือหยุดกระบี่เอาไว้ “หลิ่งอิน เจ้าอยู่ไหน” เหลียนเฟินตะโกนออกไปในความว่างเปล่าอีกครั้ง “ตอบข้าที เจ้าอยู่ที่ใด” “น่าสมเพช” เสียงของคนน่ากลัวดังขึ้น สายตามองเขาเหยียดหยาม จู่ ๆ แสงสีขาวก็ปรากฏขึ้นไล่ภาพของคนผู้นั้นออกไปพร้อมเสียงเรียกที่คุ้นเคย “อาเฟิน ข้าอยู่นี่” ร่างบางยิ้มให้เขาเพราะรู้สึกโล่งใจ นี่ต่างหากหลิ่งอินที่เขารู้จัก ทั้งสองคนจึงร่ายอาคมสายหนึ่งขึ้นมาเพื่อผูกติดกันไว้ไม่ให้พลัดหลงอีกครั้ง จากนั้นจึงมองหาจุดกำเนิดของอาคมม่านหมอกเพื่อทำลายมันให้สิ้นซาก “หลิ่งอิน เจ้าดูตรงนั้น” เหลียนเฟินชี้ไปทางกอหญ้าพุ่มใหญ่ ข้าง ๆ กันมีเงาบางอย่างที่มีไอปราณมารล้อมรอบ พอเห็นพ้องต้องกันว่าเจ้าสิ่งนั้นคืออาคมที่ปล่อยปราณมารออกมาจึงร่ายวิชาสั่งให้กระบี่จัดการ ชิ้ง เสียงของมีคมกระทบกัน กระบี่ของเหลียนเฟินย้อนกลับมาหาเขา เงาดำตะคุ่มที่เคยอยู่นิ่งเริ่มขยับ จุดสีแดงก่ำสองจุดเหมือนลูกตาจ้องมองทั้งคู่ด้วยความกระหาย พลันสารพัดเสียงดังก้องทั่วทั้งหุบเขาจนหูแทบระเบิด “อาเฟิน!” หลิ่งอินรีบเอาตัวเขามาบังเหลียนเฟินเมื่อเห็นว่าไอสีดำกำลังพุ่งมาทางเขาจากหลายทิศทาง แม้จะร่ายอาคมสั่งกระบี่ป้องกันไว้แล้วแต่ก็เผื่อเอาไว้หากมีบางส่วนเล็ดลอดออกมาได้ “หาเรื่องตาย” เสียงหนึ่งที่ยืนกอดอกพึมพำยักยิ้มมุมปาก “อยากตายนัก ข้าจะทำให้สมปรารถนา” เหลียนเฟินมีพลังปราณมากกว่าหลิ่งอินจึงสามารถใช้ช่วงเวลาสั้น ๆ รวบรวมสมาธิแล้วขยายไอสีขาวโพลนโอบล้อมตัวเขาและหลิ่งอินเอาไว้ ปิดกั้นไม่ให้สิ่งใดเข้ามาทำร้ายพวกเขาได้ คนที่นึกสนุกถึงกับเบ้ปาก หงุดหงิดที่โดนขัด หากเพ่งมองเงานั้นดี ๆ แล้ว จะเห็นได้ว่ามันก็เป็นแค่เพียงสิ่งที่ไม่มีรูปร่างอะไร ดูแล้วคล้ายภาพลวงตาที่สร้างขึ้นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจเท่านั้น สิ่งที่มันกำลังปกป้องคงจะอยู่ไม่ไกลเท่าใดนัก “หลิ่งอิน เจ้าหาเจอหรือไม่” เขาพยักหน้ากระซิบบอกเหลียนเฟิน แล้วเดินเข้ามากอดร่างบางไว้แน่น “กลั้นหายใจ” หลิ่งอินร่ายอาคมเพราะรู้ว่ากำลังยืนอยู่บนผืนน้ำและของที่ปล่อยปราณมารออกมาก็อยู่ข้างใต้พวกเขา ร่างของทั้งคู่จมดิ่งลงไปยังจุดที่ลึกที่สุด ยามสายตามองเห็นพื้นเบื้องล่างชัดเจน ทำให้รู้สึกใจหายยิ่งนัก โครงกระดูกเกลื่อนกลาดใต้ท้องน้ำบ่งบอกว่าผู้คนมากมายถูกหลอกล่อมายังที่แห่งนี้ หลิ่งอินชี้ไปที่ไข่มุกสีนิลเม็ดใหญ่ รายรอบมีวิญญาณภูติผีเฝ้ามันไว้อย่างหวงแหน เขาจึงจับมือของเหลียนเฟินเอาไว้ สบตากันครู่หนึ่งแล้วร่ายอาคม แสงสีขาวและฟ้าจากทั้งสองคนรวมกันเป็นหนึ่งเดียว สว่างวาบไปทั่วท้องน้ำ ชำระล้างความอัปมงคลออกไปได้ในพริบตา “เฮอะ” คนที่หลบอยู่ข้างนอกหงุดหงิดที่แหล่งกำเนิดปราณมารของเขาถูกทำลาย หลังจากขึ้นมาจากน้ำแล้ว หลิ่งอินและเหลียนเฟินจึงได้เห็นว่าที่แห่งนี้สวยงามมากเพียงใดยามไร้ไอปราณมาร ทั้งคู่ยิ้มให้กันที่ร่วมมือทำงานนี้ได้สำเร็จ แสงกลมจาง ๆ เรืองรองจากใต้ท้องน้ำ ค่อย ๆ ผุดขึ้นมาจนพ้นแล้วลอยขึ้นฟ้าสลายหายไปราวกับวิญญาณเหล่านี้ถูกปลดปล่อยไปด้วย จากนั้นทั้งคู่จึงสำรวจรอบ ๆ ว่ามีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่ก่อนจะหาที่ว่างใต้ต้นไม้พักแรมคืนนี้ “อาเฟิน ถอดเสื้อผ้าเร็วเข้า” หลิ่งอินเดินเข้ามาใกล้คิดจะช่วย “เดี๋ยวเจ้าไม่สบาย ข้าจะเอาไปตากให้” ฮัดชิ้ว หลิ่งอินจามออกมา ร่างกายเขาเริ่มเย็นเพราะแช่น้ำนาน ดูเหมือนเขาต่างหากที่กำลังจะไม่สบาย “หลิ่งอิน เจ้านี่นะ” เหลียนเฟินส่ายหน้าร่ายวิชาหนึ่งทำให้เสื้อผ้าแห้งโดยไม่ต้องถอด “กินยาแล้วนอนพัก” “อาเฟิน เจ้าดุข้าหรือ” เขาทำท่าไม่อยากเชื่อสายตา “ร่างกายเจ้าอ่อนแอเพียงนี้ ข้าน่าจะห้ามไม่ให้เจ้ามาด้วย” เหลียนเฟินรู้สึกคิดผิด หากรู้ว่าร่างกายเขาไม่เหมือนผู้ใด จะไม่ยอมให้ทำเรื่องเสี่ยง ๆ เช่นนี้หรอก “อาเฟิน เจ้าอย่าดุข้านักเลย” หลิ่งอินกรอกยาเข้าปากแล้วล้มตัวลงนอนอย่างว่าง่าย “ข้ากินยาแล้ว ข้าจะไม่ดื้อ” “อื้ม นอนได้แล้ว คืนนี้ข้าจะเฝ้ายามให้” เหลียนเฟินเอ่ยปาก “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะรีบหาย” หลิ่งอินที่กินยาไปหลายเม็ดทนความง่วงไม่ไหว ไม่มีแรงจะพูดต่อจึงผล็อยหลับไปทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ห่มผ้า เขาจึงหยิบผ้าห่มผืนบางมาคลุมตัวให้ รอยยิ้มบางปรากฏทุกครั้งยามที่ได้เห็นคนตรงหน้า หลายวันต่อมา หลังจากดูให้แน่ใจแล้วว่าร่างกายของหลิ่งอินแข็งแรงดี พวกเขาจึงจะแยกย้ายกันกลับสำนักของตนเอง เส้นทางที่ทั้งคู่ใช้ผ่านเข้าเมืองหลายแห่ง ไม่มีอันตรายใด ๆ ให้ต้องกังวล “อาเฟิน ข้าจะเขียนจดหมายมาหาเจ้า” หลิ่งอินยิ้มร่า “เดินทางปลอดภัย” “อื้ม ระวังตัวด้วย” เหลียนเฟินพยักหน้า ครั้นแยกจากกันไกลพอสมควร หลิ่งอินก็ตะโกนกลับมา “ข้าคงคิดถึงเจ้า อาเฟิน”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม