สุดท้ายแล้ววันนั้นเหลียนเฟินก็ผ่านการสอบมาได้ กลายเป็นศิษย์ที่เหล่าอาจารย์และเพื่อนพ้องร่วมสำนักภาคภูมิใจ อาจารย์อาจึงตกรางวัลเขาด้วยวันหยุดพักผ่อนห้าวันพร้อมอัฐอีกหนึ่งถุงใหญ่เอาไว้ใช้จ่ายส่วนตัว
กระนั้นความฝันที่จะได้นอนเล่นอยู่เงียบ ๆ ก็สลายไปเมื่อศิษย์พี่หญิงหลวนเล่อวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหา สีหน้าตื่นเต้นเหมือนจะได้ออกไปนอกสำนัก
“เหลียนเฟินนนน” นางเรียกศิษย์น้องพร้อมรอยยิ้มเลศนัย
เหลียนเฟินจึงรีบหันหน้าไปอีกทางเตรียมวิ่งหนีเพราะรู้ดีว่าสีหน้าเช่นนั้นหมายความว่าอะไร
“เหลียนเฟิน ถ้าเจ้าหนี ข้าจะฟ้องอาจารย์ว่าเจ้าไม่ดูแลข้า” หลวนเล่ออ้างคำสั่งของหมิงฮวาที่ฝากฝังเอาไว้ เขาจึงถอนหายใจรอรับฟังสิ่งที่นางจะเอ่ย
“ข้าเดาว่า ข้าต้องช่วยทำอะไรสักอย่างใช่หรือไม่” เหลียนเฟินถาม ในใจภาวนาว่าอย่าให้ตรงกับวันว่างของเขาเลย
“อาจารย์อาสั่งให้ข้าไปตรวจหาสาเหตุการตายของชาวบ้านที่เมืองเฟิง ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่รองไม่อยู่ ศิษย์พี่ซีหลิวมีงานรัดตัว ข้าเลยขอพาเจ้าไปด้วย อาจารย์อาอนุญาตแล้ว” หลวนเล่อร่ายยาวเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ นางรู้ดีว่าศิษย์น้องผู้นี้เพิกเฉยต่อชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านไม่ได้ อีกทั้งวิชาและฝีมือด้านกระบี่ก็เหนือกว่านาง มีเขาไปด้วยอุ่นใจมากกว่าไปคนเดียวเป็นไหน ๆ
“อื้ม รีบไปเก็บสัมภาระเถิดขอรับ อาจารย์อาให้อัฐมาด้วยหรือไม่” เหลียนเฟินเอ่ยปากถาม การไปต่างเมืองไกลเพียงนั้นจำเป็นต้องใช้เวลาและมีค่าใช้จ่ายมากนัก ในเมื่อวันว่างของเขาหมดไปแล้ว อย่างน้อยก็เหลือถุงเงินของเขาไว้ก็ยังดี
“ของเช่นนั้น แน่นอนว่าไม่มี เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าอาจารย์อาแพ้พนัน แต่เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าขอยืมศิษย์พี่ซีหลิวกับซิ่นเฉิงมาแล้ว” หลวนเล่อยิ้มแป้นพลางยกถุงเงินนั้นให้ศิษย์น้องดู
หลังจากเก็บของเรียบร้อย คืนนั้นทั้งสองคนก็เร่งเดินทางไปยังเมืองเฟิงที่อยู่ทางตอนใต้ของแคว้นฉินในทันที
ก่อนหน้านี้สามวัน วังธาราเหมันต์ได้รับจดหมายจากอ๋องเมืองเฟิงให้ส่งคนมาช่วยสืบหาเรื่องราวประหลาดที่เกิดขึ้นในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา ชาวบ้านใช้ชีวิตกันอย่างปกติสุข แต่จู่ ๆ วันหนึ่งกลับมีคนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
อ๋องเมืองเฟิงสั่งทหารตามหาอยู่นานก็ไม่พบเบาะแสอะไร ความเก่ายังไม่ได้สะสางดันมีเรื่องใหม่แทรกเข้ามา เช้าวันหนึ่งชาวบ้านพบศพไร้หน้า ไร้เนื้อหนังห่อหุ้มร่างกาย เนื้อคนสีแดง ๆ บนกองเลือดส่งกลิ่นคาวคละคลุ้ง สร้างความขวัญผวาให้กับผู้ที่พบเห็นอย่างมาก
เมื่อสังเกตให้ดี ร่างที่ไร้ผิวหนังกลับมีไอสีดำปกคลุมแทน ครั้นจะดูว่าผู้เคราะห์ร้ายคือใครก็คาดเดาได้ยาก แต่หญิงชราผู้หนึ่งกลับจำได้ดีว่า ร่างนั้นคือบุตรชายที่หายตัวไป
แรกเริ่มที่นางเห็นสภาพเช่นนั้น นางไม่อยากยอมรับด้วยซ้ำเพราะนึกถึงสิ่งที่เขาต้องเจอ แต่เมื่อได้เห็นฟันซี่บนที่หลอไปสองซี่ รวมถึงรูปร่างและส่วนสูงของเขา นางแน่ใจแล้วว่าคนตรงหน้าคือบุตรชายของนางจริง ๆ
หญิงชราผู้นี้นั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นสงสารบุตรชาย ไม่อยากยอมรับชะตาของเขา หากแต่เวลานี้ไม่อาจทำสิ่งใดให้ได้แล้วนอกจากจัดการฝังศพทำพิธีส่งวิญญาณให้เขาเป็นครั้งสุดท้าย
ราวกับว่าความลับถูกเปิดเผย เช้าวันรุ่งขึ้นศพที่สองก็ถูกวางทิ้งไว้ในตรอกเปลี่ยวกลางเมือง จนบัดนี้ยังไม่อาจหาตัวตนของคนผู้นั้นได้
การเดินทางจากตอนเหนือของแคว้นฉินไปยังเมืองเฟิงจำต้องใช้เวลาเดินเท้าอยู่หลายวันเพราะพื้นที่ส่วนใหญ่ของแคว้นเป็นภูเขาสูงมีหิมะปกคลุม
“เหลียนเฟิน อีกไกลหรือไม่จะถึงท่าเรือ” หลวนเล่อถามเขาเพราะสอบตกวิชาแผนที่ หากไปที่ใดเพียงลำพังมักจะหลงทางจนต้องให้คนไปตามหา
“เดินตรงไปข้างหน้าอีกหนึ่งชั่วยามขอรับ” เขาสังเกตว่าพื้นที่รอบ ๆ เริ่มมีดอกหยาดน้ำค้างโผล่แซมกองหิมะบนพื้นบ้างแล้ว จึงมั่นใจว่าท่าเรือที่อยู่ในเขตอบอุ่นอยู่ข้างหน้าไม่ไกลนัก
“อื้ม เจ้าหิวหรือไม่ ข้าพกของหวานมาเผื่อเจ้าด้วย” นางทำท่าจะล้วงมือเข้าไปหยิบของกินมาแบ่งเขา แต่คนตรงหน้ายกมือห้ามไว้
“ตามสบายเถิด” เหลียนเฟินยังคงระแวดระวัง มองไปรอบด้านตลอดเวลา คอยดูว่ามีสิ่งใดผิดสังเกตไปหรือไม่
“เจ้าอย่าได้กังวลไป ศิษย์พี่อยู่ตรงนี้ทั้งคน” หลวนเล่อเห็นเขาขมวดคิ้ว สีหน้าจริงจังจึงตะโกนบอก แม้นางจะมีฝีมือเก่งกาจไม่เท่าเหลียนเฟินแต่ถ้าเทียบกับศิษย์สำนักอื่นแล้วถือว่าสูสี
เหลียนเฟินได้ยินเช่นนั้นจึงยิ้มออกมา เขาคงจะเคร่งเครียดมากเกินไปเพราะรู้สึกว่าเรื่องราวในเมืองเฟิงมีเบื้องหลังซับซ้อน
ครั้นเดินทางมาถึงท่าเรือช่วงตะวันลับฟ้า พวกเขาก็รีบวิ่งลงเรือเที่ยวสุดท้ายก่อนจะเอาสัมภาระของตนไปวางไว้แล้วนั่งเล่นให้หายเหนื่อย
เรือไม้ลำไม่ใหญ่มากค่อย ๆ แล่นไปตามน้ำที่ไหลลงไปทางตอนใต้ เหลียนเฟินอยากคลายเหนื่อยจากการเดินทางหลายวันจึงเดินมาหาศิษย์พี่ของเขาพูดอะไรบางอย่างแล้วกระโดดลงไปในน้ำเย็นช่วงค่ำคืน
“เหลียนเฟิน เจ้าขี้โกง ให้ข้าเฝ้าของแล้วลงไปเล่นน้ำคนเดียวได้อย่างไร” หลวนเล่อตะโกนตามหลัง
“ศิษย์พี่จะลงมาด้วยข้าไม่ห้าม เพียงแต่ว่าจะไม่มีผู้ใดเฝ้าถุงของหวานก็เท่านั้น” เหลียนเฟินพูดจบพลางยิ้มให้นางแล้วดำดิ่งลงไปใต้น้ำอันมืดมิด
พรึ่บ พลันแสงสีฟ้าสว่างขึ้นมาเพราะเหลียนเฟินร่ายวิชาหนึ่งส่องใต้ท้องน้ำยามราตรี
เมื่อพืชน้ำที่กำลังหลับใหลต้องแสงอาคม พวกมันก็พริ้วไหวไปตามสายน้ำไหลราวต้องมนตร์ เหลียนเฟินแหวกว่ายพลางมองดูปลาตัวน้อย ๆ ลอยอยู่ตามโขดหินด้วยความสนุกสนาน
ครั้นพักผ่อนจนพอใจแล้วก็กลับขึ้นมาบนเรือ สวมอาภรณ์ชุดใหม่เอี่ยมมานั่งข้างศิษย์พี่หญิง
“หลับแล้วหรือ” เขาเรียกนางเพราะเห็นเจ้าตัวนั่งเงียบทั้ง ๆ ที่ในมือยังถือซาลาเปาครึ่งลูก
เหลียนเฟินจึงประคองให้นางนอนบนฟูกดี ๆ ก่อนห่มผ้าให้ แล้วเอนกายพิงถังไม้ เงยหน้ามองดวงดาวระยิบระยับ แล้วร่ายอาคมกันไม่ให้ผู้ใดรบกวนก่อนจะผล็อยหลับไปท่ามกลางแสงจันทร์กระจ่าง
บรรยากาศบนเรือสงบเงียบแต่ทางฝั่งเมืองเฟิงกลับตรงกันข้าม ชายขอทานผู้หนึ่งกำลังวิ่งหนีบางสิ่งบางอย่างด้วยสีหน้าตกใจราวเห็นผี
เขาพยายามจะร้องตะโกนขอความช่วยเหลือแต่เสียงของเขากลืนหายลงไปในลำคอ สองขาแทบจะก้าวไม่ออก ร่างกายหนักอึ้ง เนื้อตัวเริ่มร้อนระอุอยู่ภายใน
“วิ่งหนีเหนื่อยเสียเปล่า” น้ำเสียงเยือกเย็นเจือปนความอำมหิตพูดกับเขา คนผู้นี้แสยะยิ้มเมื่อเห็นคนตรงหน้าเริ่มดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด
ชายขอทานส่งสายตาพยายามอ้อนวอนเขา ช่วยข้าด้วย ช่วยข้าด้วยเถิด มือข้างหนึ่งคว้าชายกางเกงพร่ำขอร้อง ช่วยข้าด้วย
ไฉนเลยจะได้รับเมตตากลับคืน คนผู้นี้ร่ายอาคมเชือดเฉือนเลาะหนังของชายขอทานผู้น่าสงสารอย่างใจเย็น ประคองไม่ให้เนื้อหนังนั้นฉีกขาดจนใช้การไม่ได้ จากนั้นผสานมันเข้ากับกายเนื้อของตนเอง
เพียงไม่กี่อึดใจ หน้าตารูปร่างของกายเนื้อเดินได้ก็เปลี่ยนรูปลักษณ์อย่างที่เขาต้องการ นับตั้งแต่นี้ไปเขาจะใช้ชีวิตเป็นชายขอทานหลบซ่อนตัวอยู่ในเมืองเฟิงจนกว่าแผนที่วางไว้จะสำเร็จ