หวังเยี่ยนหลงยามไร้โอสถละอองบุปผาโลหิตต้องทรมานจากปราณมารปะทุอย่างน้อยเดือนละครั้ง ทั้งยังเสี่ยงจะถูกคนล่วงรู้ความลับนี้แล้วฉวยโอกาสลอบสังหารเขา
นับว่าเขายังคงพอมีโชคอยู่บ้างเรื่องความจงรักภักดีของลูกน้องคนสนิทอย่างซวงและหลุน อย่างน้อยคงเพราะมีสายเลือดเดียวกันกระมังและเขาช่วยให้สองคนนี้หลุดพ้นจากการกดขี่ของผู้อื่น
หวังเยี่ยนหลงเพิ่งจะปลดปล่อยปราณมารเมื่อสองคืนก่อน ปิดบังตัวตนของตนเองเดินทอดน่องอย่างไร้จุดหมายจนมาหยุดยืนด้านหน้าป้ายหลุมศพของคนผู้หนึ่ง เดิมทีมีป้ายอีกชื่อวางไว้เคียงข้างกัน แต่ถูกเขาทำลายแตกกระจายไม่มีชิ้นดี
“เฮอะ” ทันทีที่อ่านป้ายนั้น เขาก็หัวเราะตัวเองที่ทำเรื่องงี่เง่า ชอบหลงมายังที่แห่งนี้ทุกครา
หวังเยี่ยนหลงนอนลงข้าง ๆ หลับตาฟังเสียงสายลมจนเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว
เสียงนกบินกลับรังทำให้เขารู้สึกได้ว่าฟ้ากำลังจะมืด หวังเยี่ยนหลงเดินกลับสำนักของตนเองตามเคย หากแต่วันนี้ได้พบใครบางคนที่เหมือนคนผู้นั้นจนทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป
เขาเอื้อมมือคว้าตัวชายหนุ่มผู้นั้นเอาไว้ สายตายังคงมองไม่วางตา ปลายนิ้วไล้ใบหน้าคนตรงหน้าราวโหยหา
“ท่านเป็นผู้ใดกัน” ชายหนุ่มอายุสิบเจ็ดปีเอ่ยปากถาม
“...” หวังเยี่ยนหลงไม่ตอบ
ชายหนุ่มผู้นี้สบแววตาของเขาแล้วยิ้มให้
“ใต้เท้า ปล่อยข้าเถิด” เขาพยายามสะบัดมือ ทำทีเดินจากไป
หวังเยี่ยนหลงกลับดึงเขาเข้ามาใกล้ มองดวงหน้าให้ชัดเจน พินิจพิเคราะห์ แล้วพาตัวของชายผู้นั้นกลับมาที่เรือนใบไผ่ของตน
“ใต้เท้า ท่านจะทำสิ่งใดกับข้า” ชายผู้นี้ควรจะต้องรู้สึกตกใจหรือหวั่นใจบ้างแล้วที่ถูกคนแปลกหน้าพามายังที่ไม่คุ้นเคย ทว่า เขากำลังปิดซ่อนความรู้สึกปลื้มใจไว้อยู่
“เจ้า... เหตุใดดูคล้ายกันเพียงนี้” หวังเยี่ยนหลงยังคงพึมพำ เจ้าตัวดูหักห้ามใจเอาไว้ไม่ได้ “เป็นเจ้าจริงหรือ”
“ใต้เท้า ข้าเกรงว่าท่านจะจำคนผิดแล้ว ปล่อยข้าเถิด”
โจวอิ่งฉิน มั่นใจว่าเขาไม่เคยพบคนตรงหน้ามาก่อน รูปร่างหน้าตาดึงดูดใจเพียงนี้ เห็นเพียงครั้งเดียวย่อมต้องจำได้ขึ้นใจ
“เฮอะ นั่นสินะ ข้าคงจำผิดไปจริง ๆ” หวังเยี่ยนหลงรู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางเป็นไปได้ ตั้งแต่เกิดเรื่องวันนั้นผ่านมาแค่สิบปี ไม่มีทางเป็นชายหนุ่มผู้นี้ไปได้
“ใต้เท้า หากท่านไม่ถือสา ข้ายินดีช่วยท่าน” โจวอิ่งฉินโอบรอบคอของหวังเยี่ยนหลง สีหน้ายิ้มแย้ม น้ำเสียงที่เขาพูดนุ่มนวลราวกับจะสะกดหวังเยี่ยนหลงเอาไว้
รอยยิ้มนั้นที่เขาไม่ได้เห็นมาเนิ่นนาน ไม่ใช่สิ เขาไม่เคยเห็นมันด้วยซ้ำจึงทำให้ใจหวังเยี่ยนหลงเต้นตึกตัก
บัดซบ! เขาสบถด่าตัวเอง
“ไปซะ!” เขาตวาดโจวอิ่งฉิน เบือนหน้าหนีไม่สนใจ
“ใต้เท้า ข้ารู้ว่าท่านต้องการสิ่งใด ข้า... ช่วยท่านได้” เขายังคงพูดโน้มน้าวให้คล้อยตามสิ่งที่ตัวเขาเองปรารถนา
โจวอิ่งฉินเป็นคนในหอเงาราตรี วิชาเพลงขับกล่อมยามค่ำคืนจะทำให้คนผู้นั้นมองเห็นตัวเขาเป็นใครก็ตามที่หวนนึกถึง เขาใช้วิชานี้กับผู้คนมากมายที่หลั่งไหลมาหอเงาราตรีหาความสำราญ แต่เขาก็เป็นได้เพียงตัวแทน หาได้มีผู้ใดหลงใหลตัวเขาด้วยความจริงใจ
ผิดกับตอนที่ได้เจอหวังเยี่ยนหลง หน้าตาและรูปร่างของเขาคงจะบังเอิญเหมือนใครจริง ๆ จนไม่ต้องใช้วิชาเพลงขับกล่อมด้วยซ้ำ
“อย่ามายุ่งกับข้า” เสียงของหวังเยี่ยนหลงดังขึ้น “รีบไปซะ” เขาไล่ให้โจวอิ่งฉินออกมานอกเรือนใบไผ่
“เช่นนั้น ข้าขอตัว” โจวอิ่งฉินจึงจำยอมเดินจากไปด้วยความเสียดาย
ทันทีที่เขากลับมาถึงหอเงาราตรี โจวอิ่งฉินเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์สีสันลวดลายสวยงามเว้าแหวก ก้าวเข้าไปในห้องโถงใหญ่ที่มีผู้คนคลาคล่ำ เริ่มบรรเลงเพลงพิณไพเราะจับใจจนผู้คนในที่แห่งนั้นตกอยู่ในภวังค์
หลังจากบรรเลงดนตรีจบเรียบร้อย ชายหนุ่มวัยยี่สิบสองคนก็เดินตามเขากลับไปที่ห้อง สายตาจ้องมองตั้งแต่หัวจรดเท้า จับจ้องทุกท่วงท่าของโจวอิ่งฉิน เสื้อผ้าแหวกบนแหวกล่างวับแวมชวนค้นหาเรือนร่างภายใน
ทันทีที่ประตูห้องปิดลง คนทั้งสองก็เข้ามาใกล้โจวอิ่งฉิน เริ่มถอดเสื้อผ้าให้เขาทีละชิ้น มือไม้จับทั่วร่าง ขณะที่ริมฝีปากของเขากำลังจะประกบจูบใครสักคนในนั้น ประตูห้องก็ถูกเลื่อนเปิดออกเสียงดังจนคนในห้องสะดุ้ง
“เจ้าเป็นผู้ใด” หนึ่งในนั้นโพล่งถาม ใครกันบังอาจมาขัดจังหวะรื่นรมย์ของพวกเขา
“...” ผู้มาเยือนไม่ตอบสิ่งใด สายตามองร่างเปลือยเปล่าของคนทั้งสามแล้วเกิดอาการคิ้วกระตุก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนหน้าเหมือนที่เปลือยกายอยู่ใต้ร่างชายอื่น
“ใต้เท้า ท่านมาทำอะไรที่นี่หรือ” โจวอิ่งฉินเอ่ยปากถาม เมื่อครู่เพิ่งจะไล่เขาออกมา เหตุใดจู่ ๆ ถึงได้โผล่มาอยู่ในเรือนของเขาเร็วปานฉะนี้
หวังเยี่ยนหลงเดินเข้ามาใกล้ เอาเสื้อผ้าคลุมกายของโจวอิ่งฉิน แล้วตวาดใส่ชายหนุ่มทั้งสอง “ออกไป!”
“เจ้าเป็นผู้ใดถึงกล้าทำเรื่องเสียมารยากับข้า เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าเป็นใคร”
“ข้าจ่ายค่าตัวเขาแล้ว เจ้าสิต้องออกไปจากห้องนี้”
ชายหนุ่มทั้งสองคนดึงดัน พวกเขาจ่ายค่าตัวของโจวอิ่งฉินเพื่อหาความสำราญในคืนนี้ไปไม่น้อย ฉะนั้นแล้วเจ้าคนไร้มารยาทมีสิทธิ์อันใดมาไล่
“จะไปดี ๆ หรือจะไปแบบไม่เหลือวิญญาณ” แววตาของหวังเยี่ยนหลงเปลี่ยนเป็นดุดัน น้ำเสียงเยือกเย็น คำพูดกดดันทำให้ชายหนุ่มทั้งสองไม่กล้าหือพากันรีบคว้าเสื้อผ้าแล้ววิ่งออกจากห้องไปทันที
“คนอะไรน่ากลัวชะมัด”
“อื้อ นิสัยต่ำทรามสุด ๆ”
เสียงบ่นกระปอดกระแปดของทั้งคู่ดังมาระยะหนึ่งจนหายลับไป
หวังเยี่ยนหลงมองคนตรงหน้า สายลมพัดผ้าคลุมกายไหลลงมากองที่เอวบางของโจวอิ่งฉิน เผยให้เห็นผิวนวลใต้แสงจันทร์
“ใต้เท้า ท่านคงเห็นข้าแล้วนึกถึงผู้ใดกระมัง แต่ข้าไม่ใช่ อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับข้าอีกเลย อีกอย่างท่านมารบกวนข้าถึงที่นี่ ต่อไปลูกค้าของข้าจะกล้าเข้าหาข้าหรือ” โจวอิ่งฉินเอ่ยปากเตือนเขา
“ลูกค้า?” หวังเยี่ยนหลงทวนสิ่งที่คนตรงหน้าพูด
“ท่านตามข้ามาถึงที่นี่ ไม่ได้สังเกตหรือว่าเป็นที่ใด” โจวอิ่งฉินยืนขึ้น ผ้าคลุมชิ้นนั้นจึงร่วงหล่นลงกับพื้น ร่างเปลือยเปล่ากำลังเดินนวยนาดเข้ามาหาเขากระซิบบอกข้างหู “ท่านกำลังทำให้ข้าเสียเวลา”
ลมหายใจของโจวอิ่งฉินเป่ารดต้นคอ มือของเขาที่สัมผัสใบหน้าของหวังเยี่ยนหลงนุ่มนวลจนเขาอยากจะคว้ามันไว้
เพียงแต่คนทั้งสองไม่ใช่คนเดียวกัน
“เจ้าจะไปที่ใด” เขาเอ่ยถาม
“หาลูกค้าคนใหม่ มีคนอีกมากมายที่รอข้าอยู่” โจวอิ่งฉินทำท่าเดินจากไปอย่างไม่ใยดี
“เพื่อสิ่งใด”
เสียงหัวเราะของโจวอิ่งฉินดังขึ้น “อยู่หอเงาราตรี จะทำสิ่งใดเล่า หากเมื่อครู่ไม่ถูกท่านขัดจังหวะไปเสียก่อน ข้าคงได้สุขสมกับคุณชายทั้งสองท่านนั้นไปแล้ว ร่างกายอิงแอบแนบชิด ท่วงท่าเร่าร้อน เสียงครางกระเส่าคงจะดังจนรุ่งสาง”
หวังเยี่ยนหลงฟังที่โจวอิ่งฉินเล่าพลางคิดตาม “เจ้าใช้ใบหน้านี้ทำเรื่องเช่นนั้นหรือ”
“ใบหน้าข้า ร่างกายข้า จะทำสิ่งใดย่อมได้” โจวอิ่งฉินขึ้นเสียง
“ไม่ได้!”
“เฮอะ ท่านเป็นใครถึงมาห้ามข้า คนรักข้าหรือ ก็ไม่ใช่” เขายั่วยุหวังเยี่ยนหลง เดินกลับมาหาแล้วจับมือของหวังเยี่ยนหลงมาลูบใบหน้าของตนเอง ไล้ผ่านคอเรียว หน้าอก หน้าท้องวางพักมือคู่นั้นไว้ที่บั้นท้าย แล้วประกบริมฝีปาก สอดลิ้นเข้าไปด้านใน จูบเขาอย่างดูดดื่ม จากนั้นจึงพูดกับหวังเยี่ยนหลงว่า “ข้าจะให้ผู้ใดทำเช่นนี้กับข้าย่อมได้”