"หยินเฟิงข้ามารับเจ้าไปเล้นด้วยแล้ว!"
มาอีกแล้วเร๊อะ มึงไปร่ำไปเรียนบ้างเหอะไอ่ขุนแผน
วันนี้ยังคงเป็นอีกวันที่ขุนแผนมาแหกปากชวนผมไปเล่นด้วย
"ว่างมากนักหรือ ถึงได้มาลากข้าไปเล่นด้วยทุกวี่วัน"
หยินเฟิงออกจากห้องมาเห็นหยางรุ่ยนั่งกระดิกตีนกินขนมแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว เขาก็พลันปวดขมับตุบๆ เดิมทีในวรรณคดีไม่ค่อยได้เล่าเรื่องราวก่อนพวกพ่อๆของตัวเอกจะเสียไปเท่าไหร่นัก(หรือเล่าเยอะแต่ผมจำไม่ได้)ช่วงนี้ตอนที่ยังอายุน้อยๆผมจึงจัดทำแผนหลายๆอย่างไว้เผื่ออนาคตแล้ว
แม้ตอนนี้จะเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ไม่ชัดแต่จากที่ผมอยู่กับตัวเอกทั้ง2มาผมก็คอยปลูกฝังทัศนคติหลายๆอย่างให้พวกเขาเสมอโดยเฉพาะขุนแผนเขาจะได้ไม่โตมาเป็นคนไม่ดี
ไม่โตมาแล้วไปปีนห้องผู้หญิงแบบต้นฉบับสำคัญเลย
"วันนี้ฉินหนิงไม่มาหรือ"
ผมกวาดตามองรอบตัวหยางรุ่ยแต่ดันไม่เห็นเด็กผู้หญิงที่มักติดสอยห้อยตามมาด้วยก็นึกสงสัย
บ้านหยางรุ่ยใกล้กับบ้านฉินหนิงมากกว่า ปกติเวลาจะชวนเล่นหยางรุ่ยจึงจะไปชวนฉินหนิงก่อนจึงค่อยมาหาผม
"ทำไมเล่า ข้าเล่นกับเจ้าสองคนมิได้หรือ ฉินหนิงเป็นสตรี ให้นายเล่นกับสตรีไปเสีย"
"ไม่ว่าจะสตรีหรือบุรุษล้วนมีความคิดเป็นของตัวเองเหมือนกัน เจ้าไม่ควรตั้งข้อจำกัดให้นางเพียงเพราะนางเป็นสตรี หากนางพึงใจจะเล่นกับเราเจ้าก็มิควรคิดแทนนาง"
ขุนแผนดูจะนิ่งไปสักพักก่อนจะเบนสายตาหนี แต่ก็โนอ่อนแต่โดยดี " เข้าใจแล้วหน่า แต่บางทีข้าก็อยากเล่นกับเจ้าสองคนนี่"
ผมถอนหายใจเบาๆมองไปทางหยางรุ่ย บางทีเด็กนี่คงอยากจะเล่นอะไรแบบผู้ชายแต่กลัวฉินหนิงเจ็บตัวถ้าเล่นแรงไป เอาเป็นว่าตรงนี้ผมจะไม่ว่าอะไรแล้วกัน
"ตามใจเจ้าเถอะ" ผมตอบอีกคนอย่างไม่ยี่ระเท่าไหร่นักแล้วถึงถามต่อ "วันนี้จะพาข้าไปเล่นอะไร"
"ยิงธนูกัน'
เจ้าเด็กหยางรุ่ยพูดจบก็ยิ้มแป้น
แต่หารู้ไม่ว่ามันทำให้ใจผมเต้นตึกๆ
ถามว่าเพราะอะไร
กูยิงธนูไม่เป็น
"หยินเฟิง เจ้าจับคันธนูผิดแล้ว จับแบบนี้"
ไม่ว่าเปล่าหยางรุ่ยก็ยกธนูโชว์ด้วย ส่วนทางผมก็เก้ๆกังๆทำอะไรไม่ค่อยถูก ทางโลกเดิมผมไม่สันทัดเรื่องกีฬานัก วันๆเอาแต่ขลุกอยู่ในห้องจนแทบจะเป็น*ออฟฟิศซินโดรม สิงเก้าอี้ก้มหน้าก้มตาทำงานหามรุ่งหามค่ำ พอมาชาตินี้ต้องมาจับดาบจับธนูแน่นอนอยู่แล้วว่า กากสัสเลย
*ออฟฟิศซินโดรม คือกลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืด เกิดจากการทำงานแบบเดิมซ้ำๆ นั่งท่าเดิมซ้ำๆ เป็นเวลานานและต่อเนื่อง โดยส่วนใหญ่จะเกิดกับเหล่าพนักงานประจำพนักงานออฟฟิศ ที่ต้องนั่งทำงานท่าเดิมๆเป็นเวลานาน จึงถูกเรียกว่าออฟฟิศซินโดรม แม้ไม่ได้เกิดกับแค่พนักงานออฟฟิศ*
เดิมทีเจ้าของร่างนี้โตมาก็ควรจะไปรับราชการหรือเข้ากรมทหารถูกมั้ย แต่สำหรับหยินเฟิงคนปัจจุบันไม่ทำแบบนั้นจ้า ผมไม่คิดจะไปเป็นทหารหรือรับราชการอะไรแบบนั้นหรอกนะ
ลำพังเงินทองของขุนช้างก็พอทำให้ผมสบายไปทั้งชาติแล้ว เพราะงั้นงานแบบนั้นตัดทิ้งไปเลย
"เจ้านี่นะ ไม่สมเป็นชายชาตรีเอาเสียเลย"
"หึ หากเป็นสตรีแล้วเขาไม่สามารถปักผ้าหรือร่ายรำได้ เจ้าก็มิควรดูแคลนพวกนางว่าเป็นสตรีที่ไม่เพียบพร้อม และหากบุรุษไม่สันทัดการทหาร เจ้าก็มิควรดูถูกว่าเขามิสมเป็นบุรุษเช่นกัน ถึงข้าไม่มีดีด้านการยิงธนูข้าก็มีดีด้านอื่นแหละน่า"
พอว่าแบบนั้นพระเอกที่เหมือมีหู(ทิพย์)ลู่ลงพลางพองแก้มดูแง่งอนเหมือนหมาชิวาวา(?)
ผมที่รับบทเป็นพ่อ(?)ไอ่หมาแผนก็มองหมาน้อยข้างๆอย่างพอใจ ที่มันไม่คิดเถียงหรือดื้อจนไม่ฟัง กลับกันอีกคนดูจะเชื่อฟังผมมากๆ รับฟังตลอดมันทำให้เวลาเจ้าหมานี่อ้อนอะไรผมถึงใจอ่อนเสมอด้วยที่มันเป็นเด็กดีล่ะนะ
"เช่นนั้นเจ้าถนัดอะไร" หยางรุ่ยหันไปยิงธนูต่อแต่ก็ถามผมแบบไม่สบตา
"ไม่รู้สิ..."ว่าจบผมก็ลองยกธนูขึ้นมายิงอีกครั้ง "แป๋ว ยิงไม่โดนอีกแล้ว"
ผมที่ยกธนูขึ้นยิงรอบที่แปดหมื่นสี่พันของวันก็ต้องตาละห้อยอีกแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะธนูเสียหรือตาผมเบี้ยว(น่าจะเหตุผลหลัง) แม้แต่แป้นยิงผมยังยิงไม่โดนเลย
อัปยศเหลือเกิน
"เจ้านี่นะ...แม้แต่ท่าจับธนูยังผิด มานี่ข้าสอน"
อ่าวนี่ตลอดมาผมจับธนูผิดรึ..
ไม่ว่าเปล่าเจ้าเด็กหยางรุ่ยก็เดินมาประกบหลังผม แล้วเอามือทาบจับมือผมที่กุมธนูไว้ ผมกับเจ้าเด็กนี่ตัวพอๆกับหยางรุ่ยเลยต้องชะโงกหน้าผ่านหัวผมมาดูมือที่จับธนู
"อื่มจับแบบนี้แหละ... ฟุดฟิดๆ ตัวเจ้าหอมจังหยินเฟิง" หยางรุ่ยค่อยๆปล่อยมือจากผมแต่ฝังหน้าลงมาที่กลุ่มผมก่อนจะค่อยๆไล่มาถึงคอ พอถูกลมร้อนๆเป่ารดต้นคอผมก็ต้องย่นคอหนีทันที
คนแก่ก็หวั่นไหวเป็นนะไอ่หนู!
แม้ร่างกายผมตอนนี้ผมจะอายุแค่7-8ขวบ แต่ใจผมมันเป็นลุงอายุ30แล้ว เพราะงั้นอย่าหาทำอะไรให้คนแก่ใจไม่ดีเลย
ก็หยางรุ่ยเป็นเด็กหล่อ แถมยังแก่แดดแก่ลม ชอบทำอะไรเกินกว่าวัย บางทีก็ดูโตกว่าผมไปเลยด้วยซ้ำ
ฮื้ออ จะโดนข้อหาคิดไม่ซื่อกับผู้เยาว์มั้ย แต่มันแค่อารมณ์ชั่ววูบนะ!
"หยางรุ่ย..เอาหน้าเจ้าออกไปเลย"
ผมหันไปดุเจ้าเด็กข้างๆ หน้าของเราอยู่ห่างกันไม่มากทำให้ผมได้ลองสังเกตุหน้าของอีกฝ่ายดีๆ ดวงตาสีทองเหมือนดอกเดนดิไลออน คิ้วเรียวสวย จมูกโด่งเป็นสัน ปากได้รูป ถามว่าไอ่คำบรรยายเลี่ยนๆนี่มาจากไหน แน่นอนว่าคนที่บรีฟงานให้ผมวาดพ่อพระเอกน่ะสิ!
แต่ภูมิใจชิบหาย กูวาดพระเอกออกมาโครตหล่อ หล่อจนใจเจ็บเลย
"จะ..เจ้าจ้องหน้าข้านานไปแล้ว"
เป็นหยางรุ่ยที่เปิดบทสนทนาก่อน ผมเห็นเขาดูหน้าแดงๆแต่มองได้ไม่เต็มที่อีกฝ่ายก็หันหน้าหนีไปก่อน
แหมพ่อเลิฟลี่บอย
"ขออภัย ข้าเพียงเห็นว่าดวงตาเจ้างดงามมากเพียงเท่านั้น"แน่นอนเพราะผมเป็นคนวาดยังไงล่ะ!
"เจ้าว่างั้นหรือ"
"อื่อ งามมาก งามทั้งใบหน้าเลย" ว่าไปก็เหมือนชมตัวเอง ที่พระเอกออกมาหล่อขนาดนี้มันก็เป็นเพราะฝีมือการวาดของผมนะครับ ส่วนหน้าผมดูเหมือนจะถอดแบบหน้าตัวเองจากโลกเก่ามาพอสมควร
ต่างแค่ดวงตาสีฟ้า กับหน้าเนียนดึ๋งๆที่เหมือนฉีดโบท็อก
"อะ..อื่ม..ขอบใจ แต่สำหรับข้าเจ้างดงามกว่าเป็นไหนๆ" ประโยคหลังดูจะเบาบงถนัดตา แต่ผมก็ไม่ได้อะไรมากเพราะเจ้าเด็กมันคงเขินและที่ต้องมาชมเพื่อนแบบนี้
แหมะ หูแดงเลย น่าเอ็นดูววว
"ขอบใจ" ผมยิ้มให้หยางรุ่ยที่อยู่ข้างๆ ไม่นานก็หันมาลองยิงธนูต่อ
อย่างน้อยๆอนาคตคงมีประโยชน์ฝึกไว้ก็ไม่เสียหาย
ถามว่าเอาไว้ยิงศัตรูหรอ หึ ยิงไก่ป่าประทังชีวิต
ในเมื่ออนาคตมันไม่แน่นอนผมเองก็พยามหาอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองทำ เนื้อเรื่องตรงไหนที่มันแลดูจะพาไปสู่ความชิบหายผมก็จะพยามเปลี่ยน
เช่นเรื่อง การตายของพ่อพวกตัวเอก อย่างขุนช้าง โจรขึ้นบ้าน อันนี้ผมก็คิดไว้แล้วว่าจะทำยังไง
แต่ปัญหามันอยู่ที่พ่อของตัวเอกอีก2คนนี่สิ ขุนแผนนี่พ่อไปตามเสด็จตายเพราะฆ่าควายป่าเยอะไป เจ้าเลยโกรธ ส่วนพ่อวันทอง อันนี้หนักเลยไม่น่าช่วยได้เพราะพ่อนางป่วยตายซึ่งผมไม่ใช่หมอ ผมไม่รู้จะช่วยยังไง
ใกล้ถึงตอนนั้นผมคงต้องเตรียมจัดการอีกที แต่ตอนนี้ผมคงทำได้แค่เตรียมร่างกายรับแรงปะทะเท่านั้น
"หยิงเฟิงคืนนี้ข้าจะนอนกับเจ้า"
พระเอกจอมแสบมันจะติดผมไปแล้วนะ หลังจากเรายิงธนูกันเสร็จมันก็ยังตามมากินข้าวบ้านผมด้วย แล้วตอนนี้ล่าสุดแม่งก็ขอผมนอนด้วยแล้ว แต่เอาเถอะ ถ้าวันหนึ่งผมช่วยพ่อเจ้านี่ไว้ไม่ได้จริงๆผมคงจะไม่ได้เห็นหมานี่ไปยาวๆเลย
"อื่ม ข้าจะเตรียมห้องให้"
"จะเตรียมให้เสียเวลาเพื่ออะไรกัน ก็ให้เจ้านอนกับข้าเสียก็สิ้นเรื่อง"
ไอ่เด็กนี่คิดจะเบียดเบียนพื้นที่การฝันหวานของผมรึ แม้แต่ที่นอนกู มึงก็ยังจะแย่ง
แล้วนั่นอะไร ว่าแล้วก็ลงไปนอนเตียงผมแบบไม่รู้นอนรู้หนาว ไม่พอ หยิบหนังสือผมไปอ่านด้วย โอโห คือ ไม่ทราบว่าตอนนี้ใครเป็นเจ้าของห้องครับ
ใช่กูรึเปล่าน๊าาาา
"ข้านอนดิ้น" ผมพยามเค้นเสียงบอกให้มันรับรู้ถึงความขุ่นมัวในใจ
"ก็ข้านอนไม่ดิ้นหนิ"
ค.ย
สุดท้ายผมก็ต้องยกธงขาวยอมให้เด็กนี่นอนด้วย(แบบไม่เต็มใจ) พออาบน้ำอาบท่าเสร็จผมก็กลับห้องมาเตรียมนอน แต่เหมือนไอ่เด็กนี่ไม่อยากให้ผมนอนง่ายๆ
"หยางรุ่ย ผมเจ้าเปียกยังนอนตอนนี้มิได้"
"ประเดี๋ยวมันก็แห้ง"
"แต่ตอนนี้มันเปียก"
"หึ้ยย เจ้าก็มาเช็ดผมให้ข้าสิ"
อะล่าสุดผมเป็นขี้ข้าพ่อพระเอกแล้ว นอกจากหยางรุ่ยจะดูไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรแล้ว มันยังคงเอาหัวเปียกๆของมันมาแช่หมอนจนชื้นอีก
"เห้อ ลุกขึ้นมา" สุดท้ายผมก็ต้องยอมจนได้
"อะไร?"
"ข้าจะเช็ดผมให้เจ้า ไปหยิบผ้ามา"
เหมือนผมจะเห็นหมากระเป๋า หยางรุ่ยรับบทลูกหมาวิ่งไปเอาผ้าเช็ดผมมายื่นให้ผมพร้อมกับกระดิกหูกระดิกหาง(ทิพย์) แล้วยิ้มหน้าระรื่น
หมั่นไส้อยากฟัดหัวมัน
ได้แต่ฟึดฟัดในใจ สุดท้ายก็มานั่งเช็ดขนให้หมา(?)ไปอย่างนั้น สมกับเป็นพระเอกผมสวยมิหยอก ทั้งดำขลับ เรียบลื่น เงาแว๊บ นุ่มด้วย นุ่มเหมือนขนหมา(หมาอีกแล้ว)
ทางด้านขุนแผนตอนนี้ก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ที่เห็นหยินเฟิงดูจะชอบผมตัวเอง ทั้งลูบๆไม่พอยื่นหน้ามาดมๆด้วย ไม่เสียแรงที่อุส่าห์หมกตัวหมักหัวในห้องน้ำตั้งนาน
'หยินเฟิงต้องเห็นว่าข้าเป็นชายที่ดูแลตัวเองดี อีกทั้งยังน่าเข้าหาแน่ๆ'
หารู้ไม่ทั้งที่ความจริงแล้วหยินเฟิงเห็นหยางรุ่ยเป็นเพียงหมากระเป๋าเท่านั้น...
TBC.