“หากข้าจะแต่งตั้งเจ้าเป็นอนุ เจ้าจะว่าไง”
จูผิงรีบผละออกจากอ้อมแขนแข็งแรง นางไม่ได้มีท่าทีตื่นเต้นตกใจแต่อย่างใด เพราะเขาไม่ได้พูดแบบนี้กับนางเป็นครั้งแรก
นางถอยหลังไปสองก้าว แล้วก้มหน้าตอบเขาอย่างนอบน้อม
“ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ข้าพอใจแล้วเจ้าค่ะ” นางรู้สึกอย่างนี้จริงๆ
เฉินซือหยางทอดสายตามองที่หญิงสาว ดูเหมือนเขายิ่งเข้าใกล้ นางยิ่งตีตัวห่างเหินออกไปทุกที ถ้าเกิดเขาเอ่ยประโยคนี้กับสาวใช้คนอื่น พวกนางคงพยักหน้ารีบตอบรับรัวๆ อย่างไม่ต้องสงสัย
ชายหนุ่มโยนปลาย่างในมือทิ้ง เขาก้าวย่างสามขุมมาที่นาง นัยน์ตาเฉียบคมคล้ายมีแววผิดหวังซ่อนอยู่
สองมือใหญ่บีบเบาๆ ที่หัวไหล่มน
“หรือเจ้ามีใครในใจ?” เมื่อเอ่ยถามถึงประโยคนี้ ในใจของชายหนุ่มกลับรู้สึกกลัวคำตอบเช่นกัน
จูผิงรู้สึกอึดอัด รับรู้ได้ถึงสายตาคาดคั้นจากอีกฝ่าย นางถอนหายใจแล้วเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา พูดประโยคเดิมที่เคยพูดกับเขามาหลายครั้งหลายหน
“คุณชาย เราเคยพูดเรื่องนี้กันมาหลายรอบแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ ในใจข้าไม่มีผู้ใดและข้าไม่เคยคิดที่จะออกเรือนซึ่งท่านก็รู้ดี การได้ปรนนิบัติท่านบนเตียงนับว่าเป็นหน้าที่ สถานะข้าคือสาวใช้อุ่นเตียงหรือสาวใช้ห้องข้างของท่านและข้าก็พอใจในสถานะนี้ ไม่ได้ต้องการหวังตำแหน่งใดๆ จากท่าน ความรู้สึกดีๆ ที่ท่านมอบให้แก่คนต่ำต้อยเช่นข้า ข้ารู้สึกซาบซึ้งใจและเป็นเกียรติยิ่งนัก …อย่างไรท่านก็เป็นถึงแม่ทัพภาค ในอนาคตคงมีผู้หญิงดีๆ ที่เหมาะสมกับท่านทั้งชาติตระกูลและฐานะมาเคียงคู่สนับสนุน…”
เฉินซือหยางปล่อยมือจากหัวไหล่มน นางพูดประโยคนี้กับเขามาหลายครั้งแล้วนั้นเป็นเรื่องจริง แต่เมื่อได้ฟังก็อดรู้สึกน้อยใจไม่ได้อยู่ดี เขาเป็นถึงบุตรชายอดีตแม่ทัพที่ยิ่งใหญ่ ส่วนเขาก็เป็นถึงแม่ทัพภาค ชาติตระกูลก็นับว่าไม่เลว ผู้หญิงมากมายต่างอยากได้เขาทั้งนั้น แต่เขาก็หาได้แลเหลียวพวกนางเสียที่ไหน ใจยังจมปลักอยู่แต่กับสาวใช้ตัวดีที่ไม่เคยแลชายหนุ่มผู้เลอเลิศอย่างเขาเลยสักนิด
แล้วต่อให้เขาจะยกตำแหน่งภรรยาเอกให้นางและสัญญาว่าจะมีนางเพียงผู้เดียวนางยังไม่แลเลย!
ฮึ! ช่างน่าขันเสียจริง
เฉินซือหยางยกมือห้ามขึ้น เมื่อนางเหมือนจะพูดต่อ เขาไม่อยากฟังให้เจ็บช้ำใจแล้ว
“เจ้าไปทำงานเถอะ”
จูผิงหุบปากลงทันที นางยอบกายให้เขาแล้วหันหลังเดินออกไป
ชายหนุ่มมองร่างเล็กเดินจากไปจนตา ยืนกอดอกนิ่งเหมือนคิดอะไรบางอย่าง ส่วนไป่ไป๋ก็เดินเอาตัวถูไถไปมากับขาของชายหนุ่ม มันเงยหน้ามองคนตัวโตแล้วส่งเสียง “ม๊าววว” ราวกับกำลังบอกว่า ‘ไอ้หนุ่ม ห้ามยอมแพ้นะ!’
เฉินซือหยางก้มลงไปอุ้มเจ้าแมวดำขึ้นมา เขาสบตามัน ก่อนจะกดจูบหนักๆ ที่กลางกระหม่อม ไป่ไป๋ตัวสั่นขนพองที่โดนชายตัวโตจูบ มันดีดดิ้นแล้ววิ่งหายไปอีกทาง “เหตุใดข้าจะยอมแพ้เล่า ไม่มีใครหน้าหนาเกินกว่าข้าอีกแล้ว จูผิง สักวันใจเจ้าย่อมเป็นของข้า คอยดูเถิด!”
หลังจากดูแลทำความสะอาดในเรือนเรียบร้อยหมดแล้ว จูผิงเลยเข้ามาปัดเช็ดถูที่ห้องหนังสือ นางชอบคลุกอยู่ในนี้เป็นประจำเพราะจะได้แอบอ่านหนังสือไปด้วยได้
สิ่งที่พูดออกไปเมื่อช่วงสายนางคิดว่าชายหนุ่มจะเข้าใจแล้วเสียอีก แต่ก็นะ… ถ้าเขาเข้าใจคงจะเข้าใจไปนานหลายปีแล้ว
จูผิงได้แต่ลอบถอนหายใจอีกครั้ง ตอนนี้เขาก็ยืนอยู่ข้างกายนางไม่พูดไม่จา ทำตัวติดราวเห็บหมัดไม่ยอมห่าง นางจะทำอะไรก็ไม่สะดวก ยามนางก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เขาก็ก้าวตามนางหนึ่งก้าว เป็นอย่างนี้ตลอดช่วงบ่าย ราวกับกำลังปั่นประสาทนาง นี่เขาคงว่างมากกระมัง!
จูผิงเดินหน้ามุ้ยจะเอาข้าวคลุกปลาย่างมาให้ไป่ไป๋ นางเดินมาถึงทางเลี้ยวหัวมุมจะเข้าทางสวนหลังเรือน แต่ไป่ไป๋โผล่มาจากไหนไม่รู้ เจ้าก้อนดำมานั่งรอดักหน้าจนหญิงสาวเผลอชะงักฝีเท้าเพราะตกใจกลัวจะเหยียบมันเข้า
ทันใดนั้นแผ่นอกแกร่งของคนตัวโตกว่ากระแทกเข้าที่แผ่นหลังเล็กของนางอย่างแรง จนนางกระเด็นกระดอนไปข้างหน้า ข้าวจะให้แมวก็หล่นกระจัดกระจายเต็มพื้นไปหมด
หญิงสาวรู้สึกโมโห เขาต้องการกลั่นแกล้งนางหรืออย่างไร!
“ขอโทษ เพราะเจ้าหยุดกะทันหัน” เขาพูดหน้าตาย
“เมื่อไหร่คุณชายจะเลิกตามข้า ท่านทำเช่นนี้ข้าอึดอัดนะเจ้าคะ”
“นั่นมันเรื่องของเจ้า เจ้าอึดอัดแต่ข้าไม่”
“คุณชายเฉินซือหยาง!!” จูผิงทนไม่ไหวนางเลยตะคอกเรียกชื่อเขาเสียงดัง จนชายหนุ่มถึงกับตกใจเพราะนี่ครั้งแรกที่จูผิงระเบิดอารมณ์แบบนี้ เมื่อก่อนต่อให้นางไม่พอใจหรืออะไรก็แล้วแต่ นางจะเก็บกลั้นอารมณ์ได้เป็นอย่างนี้ และแสดงแต่ท่าทีนอบน้อมให้เห็นเท่านั้น
“เจ้ารำคาญข้า?”
“ใช่เจ้าค่ะ ข้ารำคาญท่าน!”
เฉินซือหยางถึงกับคอตก เขาก้าวถอยห่างจากนางแล้วพูดเสียงเบาราวกระซิบ “นับวันเจ้ายิ่งรังเกียจข้า…”
แต่จูผิงก็ได้ยิน นางรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยที่ตะคอกเขาไปแบบนั้น เห็นท่าทางคอตกแล้วก็ยิ่งรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่
เฉินซือหยางหมุนกายแล้วเดินจากไปทันที
นางมองหลังคนตัวโตเดินห่างออกไปจนลับตา แล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจออกมาซึ่งเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ของวัน
“เฮ้อ”