บทที่ 4 เหตุฆาตกรรม
พฤหัสบดี 17 กุมภาพันธ์ 2565
เช้าวันใหม่มาลินีเดินเข้าห้องครัว เธอทักทายนางสมัยที่กำลังตักต้มมะกะโรนีอุ่นพอดีใส่ชามเตรียมให้เด็กชายตะวัน นางตื่นแต่เช้ามืดเข้าไปทำอาหารที่เรือนใหญ่สำหรับคุณเพ็ญและคุณดนัย จากนั้นนางจะแบ่งสิ่งที่นางปรุงอย่างสุดฝีมือใส่หม้อหูหิ้วและถือมายังบ้านเล็กหลังนี้
มาลินีเดินไปดูลูกชายในห้อง เขากำลังพลิกตัวใกล้ตื่น เธอนั่งลงข้างเตียงเขาและกระซิบเรียกให้เด็กน้อยลืมตา เธอพาเขาเข้าห้องน้ำจนเขาทำธุระเสร็จ
“ป้าสมัยทำมะกะโรนีที่ลูกชอบเยอะเลย เดี๋ยวเราไปนั่งกินด้วยกันนะครับ”
มาลินีอาบน้ำให้เด็กชายและช่วยเขาสวมใส่เสื้อผ้า เธอหวีผมให้เด็กน้อยจนเรียบแปล้และทาแป้งให้เขาจนหน้านวล เธอหอมแก้มเขาอย่างรักใคร่ก่อนเปิดประตูห้อง
เด็กชายตะวันร้องเพลงจากภาพยนตร์เรื่องโปรดขณะเดินกึ่งวิ่งไปที่ห้องครัว นางสมัยเปิดโทรทัศน์เพื่อหาช่องการ์ตูนให้เด็กน้อย ทันใดนั้นภาพข่าวหนึ่งปรากฏขึ้น มาลินียืนจ้องไปที่หน้าจอขณะที่นางสมัยกดรีโมท
“เดี๋ยวค่ะป้า! ขอดูข่าวช่องเมื่อกี้หน่อยค่ะ”
นางสมัยกดรีโมทอีกครั้งกลับไปยังช่องเก่า ผู้ดำเนินรายการกำลังอ่านข่าวที่มีตัวเลื่อนว่า “ข่าวด่วน”
“...เหตุเกิดเมื่อกลางดึกของเมื่อคืนนี้นะฮะ ท่านผู้ชม ขณะที่นายชูศักดิ์ จันท์กำทร เจ้าของธุรกิจจัดอบรมกำลังเดินออกจากร้านอาหารริมท่าน้ำฝั่งธนบุรีเพื่อมาขึ้นรถของเขาที่จอดริมถนนใหญ่ มีชายคนหนึ่งขี่รถมอเตอร์ไซค์เข้ามาประชิดและล้วงปืนสั้นออกมายิงนายชูศักดิ์แบบเผาขนชนิดหมดลูกโม่หกนัด จากนั้นมือปืนบึ่งรถหายไปในความมืดของย่านสวนผักที่มีซอกซอยคดเคี้ยว รปภ.ของร้านอาหารแห่งนั้นได้โทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งได้รุดมายังที่เกิดเหตุ พบหลักฐานเป็นปลอกกระสุนปืนลูกซองทั้งหกนัด จากการสอบถามพยานบุคคลผู้เห็นเหตุการณ์ในระยะไกล พวกเขาบอกได้เพียงว่ามือปืนเป็นคนรูปร่างสันทัด สวมหน้ากากอนามัยสีดำ สวมหมวกกันน็อกสีเทาเข้ม สวมเสื้อแขนยาว... ... ... ...
“.... ... ... ข่าวคืบหน้าเราจะเสนอต่อไปนะฮะท่านผู้ชม...”
มาลินีนั่งนิ่งงันไปครู่หนึ่งก่อนพยักหน้าให้ป้าสมัยเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ไปยังช่องโปรดของเด็กชายผู้ซึ่งนั่งลงดื่มน้ำส้มคั้นไปครึ่งแก้วแล้วเตรียมตัวกินอาหารเช้า
มาลินีผูกผ้ากันเปื้อนให้ตะวัน เธอหยิบจานผลไม้ออกจากตู้เย็นมาวางกลางโต๊ะ ส่วนตัวเธอเองชงโกโก้ร้อนใส่ถ้วยใบสวย ภาพข่าวที่ผ่านตาเธอไปทำให้เธอนั่งเงียบขณะมองบุตรชายตักต้มจืดมะกะโรนีกินอย่างกระตือรือร้น
ครู่ใหญ่ผ่านไปจนเมื่อเด็กชายตะวันใกล้อิ่มชัยภัทรก็ออกจากห้องนอนมาสมทบ เขาเดินเข้ามาโอบบ่ามาลินีและจับศีรษะเด็กชายตะวันโยกเบาๆ
“ป้าสมัยทำอะไรให้กินครับ”
“ม้ากะโรนีคับ” เด็กชายวัยสี่ขวบตอบ สายตาเขาไม่ละจากหน้าจอที่มีภาพซูเปอร์ฮีโรขี่รถมอเตอร์ไซค์คันมหึมา
ชัยภัทรดื่มกาแฟที่นางสมัยยกมาเสิร์ฟและหยิบคุ้กกี้ใส่ปาก มาลินีเลื่อนจานผลไม้ไปให้สามี เธอกินขนมปังชิ้นสุดท้ายและดื่มโก้โก้จนหมดถ้วย
“น้อยขอตัวไปอาบน้ำนะคะ” มาลินีพูดกับสามีแล้วก้มลงเช็ดมุมปากให้ตะวัน
“วันนี้ไม่มีประชุมไม่ใช่หรือน้อย” ชัยภัทรถาม
“ไม่มีค่ะ แต่ต้องเข้าไปเตรียมงาน”
“แหม ผู้จัดการใหม่ขยันจริง” ชัยภัทรพูดกับภรรยาแล้วหันไปหาลูกชาย “ปีนี้แม่จะพาน้องมาเป็นเพื่อนตะวันนะ รออีกเก้าเดือน พ่อกับแม่กำลังช่วยกันปั้นอยู่ ไม่รู้ว่าจะได้ผู้ชายหรือผู้หญิง”
“เอาลูกหมาก็ได้คับพ่อ ตะวันอยากเลี้ยงลูกหมา”
นางสมัยหัวเราะกิ๊กออกมาเมื่อได้ยินคำตอบของตะวัน ชัยภัทรหัวเราะเสียงดังและยกมือโยกหัวบุตรชายอีกครั้ง มาลินียิ้มให้ผู้เป็นที่รักทั้งสองแล้วหันหลังเดินเข้าห้อง
มาลินียืนพิงประตูไว้ขณะพ่นลมหายใจยาว เธอไม่แน่ใจว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับข่าวการตายของชูศักดิ์ แผนทางเลือกที่เธอวางไว้เมื่อคืนนี้เป็นอันว่าไม่มีแผนไหนได้ใช้ แต่เธอไม่อาจโล่งใจได้กับความตายในลักษณะนี้ของชายผู้หาเงินกับการแบล็กเมลผู้หญิง และโดยเฉพาะเขามีหลักฐานเป็นภาพถ่ายรวมทั้งคลิปวิดีโอที่เขาเคยบอกเธอว่าได้ลบไปหมดแล้ว แต่แท้จริงเขาทำสำเนาของภาพและคลิปทุกชุดเก็บไว้ในแฟลชไดรฟ์ชิ้นหนึ่งและเขาต้องการขายมันให้เธอในราคาหนึ่งล้านบาท
บัดนี้เขาหายไปจากโลกนี้และจากชีวิตเธอ เธอรู้สึกขอบคุณมือปืนอย่างยิ่ง ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร
แต่เรื่องของเธอคงไม่จบลงที่ความตายของชายชั่ว มาลินีคิดต่อไป เพราะทางตำรวจคงต้องสืบหาจากโทรศัพท์มือถือเพื่อดูว่าชูศักดิ์ติดต่อกับใคร และไม่ช้าไม่นานเจ้าหน้าที่จะต้องสาวมาถึงตัวเธอว่าเคยเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับเขา เธออาจตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้จ้างวานหากมือปืนยังไม่ถูกจับ แต่ที่เธอรู้สึกหวาดกลัวในขณะนี้นั้นไม่ใช่เรื่องดังกล่าว
มาลินีกะพริบตาถี่เมื่อนึกถึงว่าหากคลิปและภาพของเธอในแฟลชไดรฟ์จะตกไปถึงมือบุคคลที่สามและลามเป็นเรื่องที่สาธารณชนรับรู้ เธอและครอบครัวจะต้องมีชีวิตที่เหลืออยู่กับความอับอาย แต่เมื่อถึงจุดนั้นเธอจะยังมีครอบครัวเหลืออยู่หรือ เธอถามตัวเอง
ขณะที่มาลินีออกจากห้องน้ำเตรียมแต่งตัว เธอพบชัยภัทรนั่งจ้องโทรศัพท์มือถือ เขากำลังอ่านข่าวชิ้นหนึ่ง
“น้อย! ชูศักดิ์เพื่อนผมถูกยิงตายเมื่อคืนนี้”
“เอ่อ ค่ะ เมื่อกี้น้อยดูโทรทัศน์ในครัว เห็นข่าวนี้ผ่านตาไปแว่บหนึ่ง น้อยนึกว่าตัวเองฟังผิด”
ชัยภัทรขมวดคิ้วกับคำตอบและท่าทีไม่แสดงอาการตกใจของภรรยา เขามองเธออย่างฉงนแว่บหนึ่งและหันกลับไปเพ่งจ้องหน้าจอซึ่งไม่มีรายละเอียดของเนื้อหาเท่าใดนักเพราะเหตุการณ์เพิ่งเกิดเมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมา
“น่าจะยิงผิดตัวนะ น้อยว่าไง” ชัยภัทรเงยหน้าถาม
“น้อยเดาไม่ได้นะคะ อาจเป็นเรื่องธุรกิจบางอย่างมั้งคะ” มาลินีตอบพลางเดินเข้าหลังฉากฉลุลายสวยซึ่งตู้เสื้อผ้าและโต๊ะเครื่องแป้งของเธอตั้งอยู่ในมุมนั้น
“เคราะห์ร้ายจริงๆ ชูศักดิ์กับผมเกิดปีเดียวกันนะ ไม่น่าอายุสั้นเลย”
มาลินีนั่งแต่งหน้าอย่างเงียบๆ ขณะที่ชัยภัทรเข้าห้องน้ำและเปิดฝักบัวชำระร่างกาย
เมื่อมาลินีแต่งตัวเสร็จชัยภัทรก็ออกรถไปแล้ว เธอเดินไปยังห้องครัว เด็กชายตะวันนั่งดูโทรทัศน์อยู่กับนางสมัยผู้กำลังล้างจาน มาลินีสะพายกระเป๋าถือและจูงมือลูกชายออกประตูหลังบ้านไปที่เรือนใหญ่ที่ซึ่งคุณเพ็ญยืนรอรับอยู่
มาลินีย่อตัวนั่งหอมแก้มซ้ายขวาของลูกชายก่อนลุกขึ้นกระพุ่มมือไหว้ลาแม่สามี สีหน้าเธอมีแววครุ่นคิดขณะเดินไปขึ้นรถอเนกประสงค์สีขาวและขับออกจากบ้าน
ตลอดเช้าวันนั้นมาลินีคอยกดหน้าจอคอมพิวเตอร์ติดตามข่าวของชูศักดิ์ แต่ดูเหมือนไม่มีสำนักข่าวไหนให้ความสนใจจริงจังเนื่องจากมีข่าวอื่นที่อยู่ในกระแสความสนใจของผู้คน ทั้งข่าวการเตรียมการเคลื่อนกำลังรบของรัสเซียไปยังชายแดนยูเครน ข่าวจำนวนผู้ป่วยโควิดในประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นเป็นวันละเกือบสองหมื่นราย และข่าวอาชญากรรมที่กระทำโดยคนในเครื่องแบบ นอกจากนั้นยังมีข่าวพระสงฆ์และเรื่องฉาวต่างๆ
ช่วงบ่ายมาลินีจับจ้องมองโทรศัพท์ของเธอที่ยังเงียบเสียงอยู่ เธอพยายามตั้งสติทำงานและควบคุมตัวเองให้มีท่าทีปกติ บางครั้งเธอถึงกับสะดุ้งเมื่อโทรศัพท์ภายในซึ่งตั้งบนโต๊ะทำงานดังขึ้น เธอตอบรับด้วยน้ำเสียงเครียด เมื่อรู้ตัวเธอก็บังคับตัวเองให้ผ่อนคลายลง
จนถึงเวลาเย็นที่พนักงานกลับบ้านไปเกือบหมดแล้ว เธอจึงลุกขึ้นจากโต๊ะและเดินออกประตูด้านข้างอาคารไปที่ลานจอดรถ
“กลับแล้วหรือครับ”
ลุงสมนึกที่ดูเหมือนใช้ชีวิตทั้งวันทั้งคืนที่ลานแห่งนั้นพูดทักเธอ เขากราดไฟฉายส่องนำเธอไปแม้ว่าจะไม่จำเป็น เพราะมีไฟฟ้าสาดแสงสว่างพออยู่แล้ว
มาลินีรู้สึกดีที่ไม่ต้องแสดงสีหน้าหรือยิ้มอย่างเป็นทางการให้ชายสูงอายุผู้นี้
“ค่ะ ลุง” เธอตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า
“โชคดีครับ”
นายสมนึกยืนรอจนเธอขยับรถออกจากช่องจอด เขาโบกไฟฉายเป็นจังหวะจนเธอเลี้ยวเข้าเลนตรง มาลินีหันไปยิ้มและลดกระจกลง เธอหยุดรถและพูดกับเขา
“ขอบคุณมากค่ะลุง”
“โชคดีครับ” ลุงสมนึกโค้งตัวและเอ่ยคำเดิมอีกครั้ง
มาลินีเองก็หวังว่าเธอคงโชคดีพอที่จะใช้ชีวิตอย่างปกติสุขต่อไปหลังจากนี้ เธอโบกมือให้ชายผู้เฝ้าลานจอดรถและยิ้มให้เขา
เมื่อผ่านทางออกของอาคารแปดชั้นมาแล้ว มาลินีเปิดวิทยุสถานีข่าว ความคืบหน้าล่าสุดที่เธอรับทราบจากหนังสือพิมพ์ออนไลน์เมื่อช่วงบ่ายวันนี้คือเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังสืบหามือปืนผู้ปลิดชีพชูศักดิ์ มีการตั้งประเด็นไว้ว่าอาจเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการที่เขาเข้าหุ้นลงทุนในธุรกิจน้ำมันเถื่อนที่มีมูลค่ามหาศาลเพื่อนำผลกำไรไปก่อสร้างหมู่บ้านจัดสรรที่บ้านเกิดของเขาที่จังหวัดฉะเชิงเทรา
ข่าวช่วงหกโมงเย็นจากสถานีวิทยุที่มาลินีเปิดฟังขณะติดไฟแดงห้าแยกลาดพร้าวมีเนื้อความว่า
“...กล้องวงจรปิดของทางร้านอาหารที่บันทึกเหตุการณ์ไว้ถือเป็นหลักฐานสำคัญชิ้นแรกที่ทางตำรวจได้มา ซึ่งจากการแถลงของพันตำรวจโทยิ่งยศ สมโณพฤกษ์ หัวหน้าทีมสืบสวน ทำให้เราทราบว่ามือปืนรายนี้ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์รุ่นจีสามห้าไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ปืนที่ใช้สังหารนายชูศักดิ์คือปืนลูกซองสั้น ซึ่งทางเจ้าหน้าที่พบปลอกกระสุนปืนขนาด 9 มม.ทั้งหกนัดตกอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุรวมทั้งรอยล้อรถมอเตอร์ไซค์ ซึ่งทำให้มีเบาะแสอันจะนำไปถึงตัวผู้ก่อเหตุได้ นายตำรวจหัวหน้าโรงพักธนบุรีกล่าวอย่างมั่นใจว่าภายในสัปดาห์นี้น่าจะจับคนร้ายได้...
“อนึ่ง สำหรับประวัติของพ.ต.ท.ยิ่งยศ สมโณพฤกษ์ ผู้รับผิดชอบงานสืบสวนคดีฆาตกรรมนายชูศักดิ์นั้นนับว่าไม่ธรรมดา นายตำรวจผู้นี้นับเป็นมือหนึ่งของสำนักงานตำรวจด้านการสืบสวนคดีที่เกี่ยวข้องกับการกรรโชกทรัพย์และรีดค่าไถ่ คดีที่สร้างชื่อเสียงให้แก่สารวัตรยิ่งยศคือการสืบหาจนสามารถจับกุมตัว “จอนนี่ตาเดียว” ได้ คนร้ายรายนี้เป็นหัวหน้าแก๊งเรียกค่าไถ่ที่หาเงินเป็นกอบเป็นกำจากการลักพาตัวนักธุรกิจข้ามชาติผู้ค้าขายสินค้าผิดกฏหมายและรีดไถเงินจากทายาทที่ไม่ต้องการแจ้งตำรวจ จอนนี่ตาเดียวมีที่อยู่ไม่เป็นหลักแหล่งจากการกบดานซ่อนตัวตามเซฟเฮาส์ต่างๆ เงินที่ได้มานั้นเขาส่งไปให้ขบวนการกู้ชาติประเทศเพื่อนบ้านซึ่งนายจอนนี่เองเป็นหัวหน้าขบวนการดังกล่าว เขาข้ามฝั่งเข้ามาหาเงินในเมืองไทยเป็นระยะ แต่ในที่สุดพ.ต.ท.ยิ่งยศ สมโณฤกษ์ ก็สามารถสืบหาตัวและจับกุมจอนนี่ตาเดียวได้โดยไม่มีการเสียเลือดเนื้อทั้งผู้จับกุมและผู้ถูกจับกุม นอกจากนั้นนายตำรวจผู้นี้ยังได้ชื่อว่าเป็นตำรวจตงฉินที่ไม่รับส่วยจากผู้ต้องหาและไม่เอาใจสื่อมวลชน รวมทั้งไม่เคยออกหน้าหาความชอบใส่ตัว... ... ...
“... ... ...ข่าวคืบหน้าเราจะนำเสนอในวันพรุ่งนี้ค่ะ...”
คืนนั้นมาลินีนอนลืมตาคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปกับชีวิตเธอและคนรอบข้าง
เธอนอนตะแคงข้างมองชัยภัทรที่หลับไปอย่างง่ายดายหลังมื้ออาหารค่ำที่นางสมัยทำตั้งโต๊ะทิ้งไว้ก่อนกลับเรือนแถวที่พักคนทำงาน ชัยภัทรพูดคุยเรื่องชูศักดิ์นิดหน่อยและบอกว่ากลุ่มเพื่อนของเขากำลังติดตามข่าวนี้อย่างกระชั้นชิด เขาร่วมรักกับเธออีกครั้งพร้อมตั้งความหวังว่าเธอจะตั้งครรภ์และพาเด็กน้อยอีกสักคนมาเป็นเพื่อนกับตะวัน
มาลินีนึกถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างเธอกับชัยภัทรที่ต่างถ้อยทีถ้อยอาศัยในการเรียนรู้ชีวิตคู่ แม้เขาเคยเป็นหัวหน้าเธอมาก่อนและเธอต้องรับคำสั่งเขาในสายงาน แต่เมื่ออยู่บ้านเขาคือเด็กชายตัวใหญ่ที่ยอมให้เธอขยี้ผมและฟังเธอบ่นเรื่องที่เขาชอบกินอาหารทอดน้ำมันฉ่ำ เขาเป็นคนโรแมนติกแม้ว่าภายนอกจะวางท่าเคร่งขรึมและมักพูดด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการ ลีลารักของเขาอ่อนหวาน เชื่องช้า และไม่มีเรื่องให้เธอประหลาดใจ มันดำเนินไปในรูปแบบเดิมทุกครั้งทั้งบทเริ่มต้นไปจนถึงบทอวสาน ขณะที่เธอเคยมีประสบการณ์อันเร้าใจกับแซมที่หาดชะอำ ชายผู้นั้นเติมเต็มความฝันอันพิสดารของเธอด้วยความเคลื่อนไหวอันหยาบกร้านและเต็มไปด้วยพลังของผู้ชอบออกกำลังกลางแจ้ง มาลินีใฝ่ฝันถึงความเร่าร้อนรุนแรงสาสมใจที่เธอเคยพานพบและกระสันจะได้ลิ้มรสชาติเช่นนั้นอีก แต่เมื่อเธอรู้ตัวว่าบัดนี้เธอเป็นภรรยาของชายผู้เป็นครึ่งหนึ่งของชีวิตเธอ เธอก็กำราบมันลงด้วยการทุ่มเทตนเองให้กับการทำงานที่บริษัท การวิ่งออกกำลังกายบนลู่ไฟฟ้าจนเหงื่อไหลโซมร่าง และการเฝ้าดูเด็กชายตะวันเติบโตขึ้นทุกวัน
และแล้วเธอก็พลาดพลั้งให้กับราคะที่เกิดขึ้นเมื่อเธอไปพบชูศักดิ์ที่คอนโดดารินาตามที่เขานัดแนะ ซึ่งมันนำไปสู่การถูกกรรโชกทรัพย์ครั้งที่สองและครั้งถัดไปที่เขาเรียกให้เธอไปหาอีกครั้งและอีกครั้ง มาลินีจำได้ว่าครั้งที่สามนั้นเธอตั้งใจไว้ว่าเธอจะไม่ดื่มของเหลวจากขวดสีเขียวที่ปูทางให้เธอเดินทางไปสู่ดินแดนหรรษา แต่แล้วความตั้งมั่นของเธอก็เบี้ยวบิดงอเมื่อเขาคะยั้นคะยอและเข้ามาประชิด
มาลินีมองชัยภัทรที่กรนเบาๆ ขณะท่องไปในดินแดนนิทรา เธอยอมรับกับตนเองว่าไม่ใช่ชูศักดิ์หรือยาน้ำในขวดสีเขียวนั่นหรอกที่ทำให้เธอถลำตนจนต้องกระโจนลงสู่บ่อน้ำเดือดแห่งนรกที่เธอกำลังเผชิญอยู่ แต่เป็นเพราะแรงกระตุ้นที่ซ่อนตัวอยู่ลึกในใจและกายของเธอต่างหากที่ดึงลากชีวิตเธอให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับชายที่ขู่กรรโชกเธอ
ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อมักแสดงท่าทีว่าพร้อมจะเป็นเหยื่อ หรือแม้กระทั่งผายมือเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายหนึ่งเข้ามาแสวงหาประโยชน์จากตน
มาลินีนึกถึงเมื่อครั้งที่เธอเรียนปริญญาโทภาคพิเศษที่สถาบันเอกชน ในเวลานั้นเธอเป็นสาวโสดวัยยี่สิบเจ็ด เธอมีตำแหน่งเล็กในบริษัทใหญ่และยังไม่ได้อยู่ในฐานะคนรักของชัยภัทร เธอจำได้ว่าเธอแสดงอาการชื่นชมอาจารย์ชายผู้หนึ่งซึ่งมีรูปร่างแบบนักกีฬาและหน้าตาหล่อเหลา เขาชื่อชูศักดิ์ผู้สอนวิชาจิตวิทยาการบริหาร เธอทำแม้กระทั่งแบะท่าเชิญชวนให้เขาไปเที่ยวคอนโดฯ ของเธอ แต่ชูศักดิ์ปฏิเสธอย่างสุภาพและตั้งอกตั้งใจถ่ายทอดวิชาความรู้ให้เธออย่างเต็มที่ ซึ่งนั่นทำให้เธอระลึกถึงเขาในแง่ดีตลอดมา
มาลินีกะพริบตาปริบเมื่อนึกได้ว่าตัวเธอเองเป็นฝ่ายแสดงอาการดีใจอย่างออกนอกหน้าเมื่อพบเขาอีกครั้งที่รีสอร์ตเฮเวนไลฟ์ ชุมพร ในเวลานั้นเธอแต่งงานแล้วและมีลูกชายอายุสองขวบ อีกทั้งการงานของเธอก็มั่นคงและก้าวหน้าพร้อมจะขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญขององค์กร เธอมีประกายตาที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเธอยังชอบเขาอยู่มากมาย ในช่วงเวลาอาหารกลางวันของการฝึกอบรมเธอหันมองเขาบ่อยครั้งและส่งยิ้มให้ ซึ่งพฤติกรรมของเธอเองเปรียบเสมือนการเปิดประตูให้เขาเข้ามาเมียงมองสำรวจและรับรู้ถึงความปรารถนาของเธอ
มาลินีถอนหายใจขณะมองสามีที่กำลังหลับสนิท เธออยากมีเครื่องย้อนเวลาที่จะพาเธอกลับสู่อดีตและเริ่มต้นใหม่ เธอจะกดปุ่มบังคับให้เครื่องนั้นพาเธอไปยังชายหาดของรีสอร์ตที่ชุมพรในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2562 เมื่อชูศักดิ์ปรากฏกายขึ้นพร้อมกับเครื่องดื่มเย็นฉ่ำในขวดสีเขียว เธอจะปฏิเสธและเดินกลับบังกะโลของเธอโดยไม่หันกลับไปมองเขา เธอจะปิดประตูใส่กลอนและนอนคุยโทรศัพท์กับลูกน้อยที่ในเวลานั้นเขาเพิ่งหัดพูดคุยโต้ตอบ และจากวันนั้นถึงวันนี้เธอจะไม่ต้องเสียเงินไปถึงสองล้านบาทและเสียประสาทด้วยความวิตกกังวลว่าคลิปวิดีโอและภาพที่ชูศักดิ์บันทึกไว้จะถูกส่งออกไปสู่สายตาสาธารณชน
ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับชูศักดิ์นั้นแตกต่างจากเมื่อครั้งที่เธอถลำไปมีความสัมพันธ์กับแซมที่ชายหาดชะอำอย่างเทียบกันไม่ติด ความผิดพลาดกับแซมนั้นเกิดขึ้นเมื่อเธอยังเป็นเพียงหญิงสาวอายุยี่สิบห้า ไม่มีพันธะครอบครัว เธอไม่เคยเสียเงินทองหรือทรัพย์สินให้ชายคนนั้นนอกจากหัวใจที่แหว่งวิ่นเมื่อเธอหันหลังเดินจากเขามาเพื่อความถูกต้อง
แต่กับชูศักดิ์นอกจากความสุขสงบในใจและเงินสองล้านที่เธอเสียให้เขาไปแล้ว เธอกำลังจะเสียทุกสิ่งที่เธอเพียรรักษาไว้ ซึ่งมันประกอบด้วยครอบครัวทั้งของเธอและของสามี อาชีพการงาน ชื่อเสียง และอนาคต
ทุกสิ่งที่ให้ความสุขแก่เธอในขณะนี้มันมีวันหมดอายุ เธอเข้าใจ
มาลินีผล็อยหลับลงไปในเวลาใกล้รุ่ง
วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2565
เวลา 15.30 น.
เสียงโทรศัพท์ในมือของมาลินีดังขึ้นขณะที่เธอเดินกลับเข้ามาในห้องทำงานหลังจากประชุมสั้นกับฝ่ายปฏิบัติการ
มาลินีมองหมายเลขที่ไม่คุ้นตา คิ้วของเธอขมวดนิดหนึ่งขณะกลั้นหายกดใจรับสาย
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับ คุณมาลินี ธำรงธันยสวัสดิ์ ใช่ไหมครับ”
“ค่ะ”
มาลินีมาลินีปิดประตูห้องก่อนเดินไปนั่งที่โซฟา เธอยกโทรศัพท์แนบหูและนิ่งฟัง
“ผมพันตำรวจโทยิ่งยศ สมโณพฤกษ์ หัวหน้าพนักงานสืบสวนกรณีการตายของนายชูศักดิ์ จันท์กำทร...”
นี่คือสิ่งที่เธอคาดหมายไว้ตลอดวัน เธอพูดตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ค่ะ มีอะไรหรือคะ”
“มีครับ ไม่ทราบคุณมาลินีสะดวกมาพูดคุยตอบข้อซักถามที่สถานีหรือว่าจะให้ผมไปที่ทำงานครับ”
นายตำรวจถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ มาลินีเดาว่านามสกุลของพ่อสามีเธอคงทำให้เขาเกรงใจ เธอไม่ถามต่อ เธอตอบเขาอย่างกระชับ
“ดิฉันสะดวกไปที่โรงพักค่ะ”
“อ้อ ดีครับ ผมขอแนะนำให้คุณนำรถเข้าไปจอดด้านหลังและเดินขึ้นบันไดมาที่ชั้นสามนะครับ ผมคิดว่าคุณคงไม่อยากเจอนักข่าวที่มารอติดตามความคืบหน้าคดีนี้”
มาลินีขอบคุณนายตำรวจผู้โทรมา จากนั้นเธอลุกเดินไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อเปิดอ่านข่าว วันนี้เธอมีงานยุ่งทั้งวันอันเป็นปกติของวันศุกร์ที่ต้องปิดรอบงานประจำสัปดาห์
แล้วมาลินีก็เห็นรายละเอียดของข่าวดังกล่าวจากสำนักต่างๆ ที่เสนอในทิศทางทำนองเดียวกันว่า
“...ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังพยายามสืบหาสาเหตุการที่นายชูศักดิ์ จันท์กำทร ถูกมือปืนยิงเสียชีวิตเพื่อจะสาวไปถึงตัวผู้บงการ โดยมีการสันนิษฐานไว้ในชั้นแรกว่าอาจเกี่ยวข้องกับธุรกิจน้ำมันเถื่อนที่มีหุ้นส่วนหลายคน นอกจากนั้นเขายังลงทุนทำบ้านจัดสรรโครงการใหญ่ไว้ที่จังหวัดฉะเชิงเทราบ้านเกิดของเขา โดยที่ขณะนี้ทางผู้สื่อข่าวยังไม่มีข้อมูลมากกว่านี้เพราะเจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการสืบสวนในทางลับอย่างเร่งด่วน... ... ... ...”
มาลินีเพ่งอ่านข่าวจากแหล่งต่างๆ ทางหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยสีหน้าครุ่นคิด
แล้วเธอถูกเรียกตัวไปพบเจ้าหน้าที่ด้วยเรื่องอันใด