บทที่ 2 การงาน ครอบครัว
วันพุธ 16 กุมภาพันธ์ 2565
เช้านี้มาลินีมีประชุมที่บริษัทเวลาเก้านาฬิกา เธอรีบจูงเด็กชายตะวันวัยห้าขวบไปส่งที่เรือนใหญ่ คุณดนัยและคุณเพ็ญผู้เป็นพ่อแม่สามียืนอ้าแขนรอรับหลานชายที่ต้องเรียนหนังสือระดับเตรียมอนุบาลอยู่ที่บ้านจากสถานการณ์โควิดระบาด เธอย่อตัวลงหอมแก้มซ้ายขวาของบุตรชายก่อนยืนขึ้นกระพุ่มมือไหว้ลาท่านทั้งสอง จากนั้นเธอเดินไปขึ้นรถของเธอและขับออกจากประตูบ้านหลังใหญ่ เธอยิ้มกับรูปสติ๊กเกอร์ของบุตรชายที่แปะอยู่บนคอนโซลหน้ารถ
เด็กชายตะวันเป็นหัวแก้วหัวแหวนของทุกคนในอาณาเขต “บ้านธำรงธันยสวัสดิ์” เนื้อที่กว้างขวาง บ้านหลังใหญ่มีสมาชิกประกอบด้วยคุณดนัยและคุณเพ็ญผู้เป็นเจ้าของ ส่วนบ้านหลังเล็กรูปทรงทันสมัยตั้งอยู่ข้างซ้ายของเรือนใหญ่คือที่อยู่ของชัยภัทรและมาลินีรวมทั้งเด็กชายตะวัน เรือนแถวด้านหลังเป็นที่พักของบริวารสี่คนคือนางสมัย-แม่ครัววัยห้าสิบห้า นายเชื่อม-คนสวนผู้เป็นสามีของนางสมัย สมปอง-ลูกชายของทั้งสอง ทำหน้าที่ขับรถให้คุณดนัยและบำรุงดูแลรถทุกคัน และปราณี-ภรรยาของสมปอง มีหน้าที่ทำความสะอาดบ้านทั้งสองหลัง
เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วชัยภัทรขับรถคันงามออกจากบ้านไปก่อนหน้า ในวัยสี่สิบภาระการงานของเขาเพิ่มพูนขึ้นตามตำแหน่งและเงินเดือน บริษัทเงินทุนศรีสมิธที่ชัยภัทรเป็นผู้จัดการเขตจังหวัดปริมณฑลได้ออกเงินกู้ให้แก่ร้านค้าและบริษัทอุตสาหกรรมขนาดเล็กจำนวนมาก ซึ่งเขาจำเป็นต้องพิจารณาคำขอของลูกค้าทุกรายด้วยความระมัดระวังและตรวจรายงานของทุกสำนักงานสาขาอย่างรอบคอบ พร้อมกำชับให้เจ้าหน้าที่ติดตามผลประกอบการของลูกค้าอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันการเกิดหนี้เสีย
มาลินีเองก็เช่นกันที่ต้องรับผิดชอบงานเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม สืบเนื่องจากปลายเดือนธันวาคม 2564 หลังจากทำงานกับบริษัทเงินทุนศรีสมิธต่อเนื่องยาวนานสิบเอ็ดปี เธอได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการสาขาลาดพร้าวซึ่งเป็นสาขาที่เธอเข้าทำงานหลังเรียนจบ
ในช่วงสองปีที่ผ่านมาประเทศไทยและทั่วโลกประสบความลำบากจากสถานการณ์เศรษฐกิจตกต่ำอันเป็นผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 บรรดาเพื่อนของมาลินีรุ่นเดียวกันพากันตกงานจากธุรกิจที่ต้องปิดตัวลงไปตามๆ กันราวกับโดมิโนล้ม บางคนถึงขั้นเจ็บป่วยจากความเครียดที่ต้องดูแลครอบครัวอย่างลำบากมากขึ้น แต่มาลินีและชัยภัทรกลับอยู่ในขาขึ้นของการงานในฐานะพนักงานดีเด่นของบริษัทการเงินที่มีสามารถรักษาผลงานระดับมาตรฐานไว้ได้
ในด้านชีวิตส่วนตัวของมาลินีนั้นเธอนับเป็นผู้มีโชคอย่างยิ่ง เธอได้รับความรักอย่างเต็มที่จากสามีและครอบครัวของเขา หลังแต่งงานเธอย้ายเข้าไปอยู่ในรั้วกำแพงบ้านของคุณเพ็ญและคุณดนัยผู้เป็นมารดาและบิดาของชัยภัทร ท่านผู้ใหญ่ทั้งสองเกษียณจากงานประจำที่ทำอย่างต่อเนื่องยาวนาน ปัจจุบันทั้งคู่อยู่ในวัยเจ็ดสิบกว่าและมีความมั่นคงทางฐานะจากบำนาญเบี้ยหวัดและจากทรัพย์สินเดิมของบรรพบุรุษของทั้งสองฝั่ง ท่านทั้งสองสร้างบ้านขนาดกะทัดรัดอยู่สบายให้ลูกชายและลูกสะไภ้อยู่ด้วยกันด้านข้างเรือนหลังใหญ่
คุณเพ็ญแม่สามีของมาลินีเป็นผู้มีบทบาทเด่นในวงสังคมในฐานะนักสังคมสงเคราะห์ เธอมักปรากฏตัวในฐานะผู้ร่วมบริจาคทั้งเงินทองและสิ่งของให้แก่ผู้ยากไร้ แต่เมื่อมีหลานชายเป็นสมาชิกใหม่ของบ้านหลังนี้เธอลดบทบาทนอกบ้านลงเพื่อทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงของเด็กชายตะวันอย่างเต็มใจ ขณะที่ชัยภัทรและมาลินีมีหน้าที่ออกไปทำงานสัปดาห์ละห้าถึงหกวันตั้งแต่เช้าถึงเกือบค่ำเพื่อสร้างผลงานให้บริษัทที่ตนรับเงินเดือน
ย้อนหลังไปเมื่อพ.ศ. 2558 ซึ่งเป็นปีที่ชัยภัทรวัย 33 ปีบุตรชายคนเดียวของคุณเพ็ญและคุณดนัยเข้าพิธีสมรสกับมาลินีวัย 28 ปี
ในเวลานั้นชัยภัทรเป็นผู้จัดการสาขาลาดพร้าวของบริษัทเงินทุนศรีสมิธและมาลินีเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ เธอเป็นลูกน้องโดยตรงของชัยภัทร ตามกฎของบริษัทแห่งนี้หากพนักงานร่วมสาขาสมรสกันจะต้องย้ายไปอยู่สำนักงานสาขาอื่นหนึ่งคน การที่บริษัทนี้ไม่อนุญาติให้สามีและภรรยาทำงานที่เดียวกันก็เพื่อป้องกันปัญหาด้านความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน ความเหลื่อมล้ำลำเอียง และการร่วมมือกันกระทำผิด ทางบริษัทจึงพิจารณาย้ายชัยภัทรให้ไปเป็นผู้จัดการที่สาขาจังหวัดนนทบุรี ส่วนมาลินียังทำงานที่สาขาลาดพร้าวต่อไปและได้เลื่อนเป็นหัวหน้าแผนกปฏิบัติการ
เมื่อแต่งงานได้สองปีกว่ามาลินีตั้งครรภ์และคลอดลูกชายในปี 2560
ปี 2563 ขณะเด็กชายตะวันอายุสามขวบชัยภัทรก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการเขตปริมณฑลดูแลสำนักงานสาขาสี่จังหวัด เขาออกจากบ้านก่อนเจ็ดโมงเช้าทุกวันจันทร์ถึงวันศุกร์บางครั้งรวมวันหยุดเพื่อไปยังสำนักงานเขตซึ่งตั้งอยู่จังหวัดนนทบุรี บ่อยครั้งที่เขาต้องขับรถไปปทุมธานี นครปฐม และสมุทรสงครามเพื่อดูแลสาขา ส่วนมาลินีมักออกรถตามหลังเขาในครึ่งชั่วโมงต่อมา เธอใช้เวลาขับรถเพียงสี่สิบนาทีก็ถึงสำนักงาน
ขึ้นปี 2565 แม้ว่ามาลินีมีรายได้เพิ่มขึ้นตามตำแหน่งงานในฐานะผู้จัดการสาขาลาดพร้าว แต่เธอยังขับรถอเนกประสงค์คันเก่าซึ่งคุณเพ็ญและคุณดนัยซื้อให้เป็นของขวัญวันแต่งงานเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว
“น้อยรักรถคันนี้ค่ะ มันยังดีอยู่เลย” มาลินีบอกสามีที่แนะนำให้เธอซื้อรถคันใหม่
“น้อยมีเงินเก็บหลายล้านแล้วมั้ง ควักเอามาใช้บ้างนะ เดี๋ยวปลวกจะขึ้นบัญชี”
ชัยภัทรพูดยิ้มๆ อย่างนึกเอ็นดูภรรยาที่ช่วงปีหลังๆ เธอเปลี่ยนนิสัยเป็นคนประหยัดใช้ประหยัดจ่าย อะไรที่ยังพอใช้ได้ก็ใช้ไป เธอสวมใส่เครื่องแบบของบริษัทในเวลาทำงาน ส่วนวันหยุดเธอสวมเสื้อผ้าลำลองที่ซื้อหาตามห้างทั่วไป ชุดหรูสำหรับสวมใส่ไปงานรับเชิญมีนับชิ้นได้ เธอใช้กระเป๋าถือเพียงสามใบ รองเท้าอย่างดีสามคู่ เขาไม่เคยดูสมุดบัญชีเงินฝากของเธอและไม่เคยซักถามเรื่องการใช้เงิน ทั้งสองต่างให้เกียรติและเคารพสิทธิส่วนบุคคลของกันและกัน
การที่มาลินีอยู่อาศัยกับชัยภัทรในรั้วกำแพงบ้านใหญ่ของพ่อแม่สามีนั้นเธอแทบไม่มีรายจ่ายอะไร โดยเฉพาะเรื่องที่อยู่อาศัย ซึ่งคุณเพ็ญและคุณดนัยจัดการชำระเองทุกอย่างทั้งค่าจ้างแม่บ้านและคนทำสวน ค่าน้ำ ค่าไฟของเรือนใหญ่และบ้านหลังเล็กที่ลูกชายและลูกสะไภ้และเด็กชายตะวันอยู่ด้วยกันอย่างเป็นส่วนตัว มาลินีและชัยภัทรมีรายจ่ายเพียงค่าอาหารของตนเอง ค่าของใช้ส่วนตัวและเครื่องใช้ประจำบ้าน และที่เพิ่มมาคือค่าเลี้ยงดูบุตรชาย ซึ่งทั้งมาลินีและชัยภัทรร่วมกันเปิดบัญชีสะสมทรัพย์สำหรับเด็กชายตะวันไว้ โดยทุกเดือนทั้งสองคนต่างนำเงินฝากเข้าไปคนละหนึ่งหมื่นบาทเพื่อการศึกษาของบุตรชายเมื่อเขาโตขึ้น และทุกปีเมื่อโบนัสออกทั้งมาลินีและชัยภัทรก็แบ่งห้าสิบเปอร์เซ็นต์ของเงินก้อนนั้นใส่ลงไปในบัญชีดังกล่าว
มาลินียิ้มอีกครั้งเมื่อเหลือบตาลงมองภาพใบหน้าฟันหลอของเด็กชายวัยใกล้ห้าขวบ เธอเพิ่งออกจากซอยอารีย์มาติดไฟแดงก่อนถึงสี่แยกสะพานควาย การจราจรบนถนนพหลโยธินบริเวณนี้หนาแน่นเป็นประจำโดยเฉพาะในช่วงเร่งด่วน เธอทิ้งความคิดอื่นขณะกุมพวงลัยขับรถไปถึงห้าแยกลาดพร้าวอันพลุกพล่าน เมื่อติดไฟแดงอีกสองครั้งเธอเปิดไฟเลี้ยวและขับสู่ทางเข้าอาคารสิบแปดชั้นซึ่งบริษัทของเธอเช่าปีกขวาของชั้นที่หกเป็นที่ทำการสาขา มาลินีขับวนขึ้นไปยังลานจอดรถสำหรับเจ้าหน้าที่สำนักงานและบริษัทต่างๆ
มาลินีมองเห็นลุงสมนึกซึ่งเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยประจำลานจอดชั้นหก เธอมีขนมมาฝากเขาหนึ่งกล่อง เธอกับลุงสมนึกมักทักทายพูดคุยกันเป็นประจำ เขาเคยเล่าให้เธอฟังถึงเรื่องครอบครัวของเขาที่ต้องทิ้งไร่ทิ้งนาเข้ามาทำงานรับจ้างหาเงินที่กรุงเทพฯ
มาลินีหันไปหยิบหน้ากากอนามัยจากซองในกระเป๋าถือมาคาดใบหน้าก่อนก้าวขาออกจากรถ เธอมองลุงสมนึกที่รีบเดินโหย่งๆ เข้ามาเมื่อเห็นเธอหิ้วกระเป๋าถือและตะกร้าใส่อาหารที่เธอทำเตรียมมารับประทานเองทุกวัน โดยเฉพาะช่วงนี้ซึ่งโควิดโอมิครอนเพิ่มสถิติผู้ป่วยถึงสองหมื่นกว่าคนต่อวัน เธอต้องระมัดระวังป้องกันตัวและรักษาสุขภาพ การนั่งกินอาหารที่โต๊ะทำงานเป็นพฤติกรรมใหม่ของชาวออฟฟิศทั่วไปในช่วงสองปีที่ผ่านมา
“สวัสดีค่ะลุง”
มาลินีส่งกล่องขนมหวานให้ลุงสมนึกผู้ยกมือไหว้เธออย่างนอบน้อม
“วันนี้มีประชุมหรือครับ เห็นมากันแต่เช้าหลายคนแล้ว”
ลุงสมนึกมักหาประโยคมาพูดสนทนาถามไถ่มาลินีทุกเช้า ถ้าไม่ใช่เรื่องงานก็เป็นเรื่องอากาศ บางครั้งเธอทำผมมาเขาก็รู้
“ค่ะลุง ช่วงนี้งานเยอะค่ะ”
มาลินีตอบขณะเดินฉับๆ ไปที่ประตูทางเข้าสำนักงานที่เปิดปิดอัตโนมัติ เธอหันมายิ้มให้ลุงสมนึกผู้ถือกล่องขนมไว้ เขาโค้งให้เธออีกครั้งก่อนหันหลังกลับไปยังเก้าอี้ที่อยู่หลังเสาคอนกรีตติดระเบียงกำแพงสูงแค่อก
“สวัสดีครับผู้จัดการ” ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินออกจากห้องกาแฟและทักมาลินีด้วยเสียงอ่อนน้อม
“ค่ะ สวัสดีค่ะคุณธนโชติ”
ธนโชติเป็นพนักงานฝ่ายไอทีผู้เรียกมาลินีด้วยตำแหน่ง ขณะพนักงานอื่นซึ่งล้วนเป็นคนรุ่นที่คุ้นกับเธอดีแล้วเรียกเธอว่า “น้อย” “พี่น้อย” และ “คุณน้อย” แต่บางคนเปลี่ยนมาเรียกเธอด้วยชื่อเต็มเมื่อเธอได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการเพื่อเป็นการให้เกียรติ มาลินีพยายามทำตัวเป็นกันเองกับเพื่อนร่วมงานที่เธอเคยนั่งในห้องรวมกับพวกเขา บัดนี้เธอมีห้องทำงานส่วนตัว มีโต๊ะทำงานตัวใหญ่ มีโซฟารับแขกรูปทรงทันสมัย และมีห้องน้ำที่ไม่ปะปนกับพนักงานอื่น
ช่วงเช้าวันนี้หลังจากประชุมพนักงานแล้วมาลินีเดินกลับมายังห้องของเธอและนั่งทำงานไปโดยมีคนเปิดประตูเข้าออกเป็นระยะเพื่อรับส่งเอกสาร เธอรับโทรศัพท์จากส่วนงานอื่นที่พูดธุระกันอย่างสั้นๆ ตามความจำเป็น เธอพูดคุยยาวนานกับลูกค้าสำคัญที่มีเรื่องกังวลใจในสถานการณ์โควิด เธอตามแก้ปัญหาเรื่องขัดข้องในสาขาจนถึงเวลาพักเที่ยง ซึ่งเธอมักปิดประตูห้องครึ่งชั่วโมงเพื่อนั่งกินอาหารและพักผ่อน
ขณะเปิดกล่องสลัดผลไม้สดที่เธอนำออกมาจากตู้เย็นริมห้อง มาลินีพบว่าตนเองเริ่มรู้สึกโดดเดี่ยวเมื่อต้องนั่งอยู่คนเดียวหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่มีแต่ตัวเลขและข้อมูลลูกค้า ในขณะเพื่อนร่วมงานคนอื่นแม้จะนั่งกินอาหารที่โต๊ะทำงานของตนแต่ยังหันหน้าไปคุยหยอกล้อกันและมีเสียงหัวเราะแทรกเป็นระยะ เธอหยิบโทรศัพท์พูดคุยกับลูกชายเพื่อให้เสียงของเขาเป็นกำลังใจให้เธอผ่านช่วงเวลาหงอยเหงายามเที่ยงวันไปได้ บางครั้งเธอโทรศัพท์หาชัยภัทร แต่เขามักแนะนำให้เธอใช้การส่งข้อความติดต่อสื่อสารกับเขา “...เราต้องเป็นมืออาชีพ การพูดคุยกันระหว่างเรามักมีคนจับตามองและเงี่ยหูฟัง หากเป็นเรื่องงานก็พูดมาได้ แต่หากไม่มีอะไรก็ไว้ค่อยคุยกันที่บ้านนะจ๊ะ...”
มาลินีจิ้มผลไม้ใส่ปากเคี้ยวช้าๆ แล้วเงยหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างกระจกหนาทึบ เธอเห็นรถไฟฟ้าบีทีเอสกำลังแล่นตีวงโค้งกว้างอย่างนุ่มนวล เบื้องหลังคือตึกสูงตั้งตระหง่านเป็นแผงราวกับกำแพงที่สะท้อนแสงอาทิตย์ เธอนึกย้อนคิดถึงวัยเด็กของตนที่เติบโตโดยมีสิ่งแวดล้อมเขียวชอุ่มของต้นไม้ต้นไร่ที่ตำบลมาลาคำ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา …
… มาลินีเกิดปี พ.ศ. 2530 เป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัวสินอั่มปา ครูประสงค์-พ่อของเธอ เป็นชาวมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี เข้ารับราชการตั้งแต่เรียนจบจากวิทยาลัยและสอบเข้าบรรจุเป็นครูประจำการที่โรงเรียนประจำตำบลมาลาคำ ปากช่อง ซึ่งนางมาลี-แม่ของเธอ เป็นลูกสาวกำนันผู้มีฐานะจากการทำสวนผลไม้ หลังแต่งงานไม่นานครูประสงค์ก็ได้ตำแหน่งครูใหญ่ สิบปีต่อมาเขาได้เลื่อนเป็นผู้อำนวยการเมื่อทางโรงเรียนขยายการสอนไปถึงระดับมัธยม
มาลินีเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนประจำตำบลมาลาคำ หลังเรียนจบมัธยมปลายในปีพ.ศ.2548 มาลินีไปสอบเอ็นทรานซ์เพื่อเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา ผลปรากฏว่าเธอสอบติดที่มหาวิทยาลัยห้วยแก้ว จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเธอเลือกเป็นอันดับที่สองรองจากมหาวิทยาลัยชั้นนำที่กรุงเทพฯ กระนั้นเธอก็รู้สึกตื่นเต้นยินดีและตกลงใจเดินทางไปศึกษายังสถาบันที่เธอสอบได้ นับเป็นการติดปีกบินออกจากบ้านครั้งแรกของสาวน้อยวัยสิบเจ็ด พ่อแม่และญาติพี่น้องของมาลินีเหมารถตู้พาเธอไปส่งถึงจังหวัดเชียงใหม่และจัดหาหอพักให้เธอได้อาศัยอยู่ใกล้มหาวิทยาลัย รวมทั้งซื้อมอเตอร์ไซค์ให้เธอขี่ไปอาคารเรียน
มหาวิทยาลัยห้วยแก้วมีบริเวณกว้างขวางและเต็มไปด้วยบรรยากาศอันงดงามของธรรมชาติ มาลินีเพลิดเพลินกับสิ่งแวดล้อมที่เข้มข้นด้วยวัฒนธรรมทั้งเก่าและใหม่ผสมผสานกัน เธอทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนนักศึกษาขณะเดียวกับที่สมัครเป็นนักกรีฑาของคณะ เธอสนุกสนานกับการฝึกซ้อมด้วยตนเอง โดยทุกช่วงเย็นเธอใส่รองเท้าคู่ใจออกวิ่งไปบนถนนสุเทพ เข้าซอยวัดป่าแดง ทะลุไปยังวัดอุโมงค์ และออกถนนลงเนินไปถึงตลาดต้นพยอมซึ่งเธอจะหาซื้ออาหารเย็นกลับไปกินที่ห้องพัก เธอมีเพื่อนสนิทคือแป้งร่ำผู้เรียนคณะเดียวกับเธอและพักอยู่หอเดียวกัน แป้งร่ำมีคนรักชื่อลุงอ๊อด ซึ่งทั้งสองมักไปยืนเชียร์เธอถึงขอบสนามในการแข่งกรีฑาของคณะ นอกจากนั้นเธอยังเข้าร่วมกิจกรรมกับกลุ่มนักศึกษาและร่วมออกค่ายกับรุ่นพี่รุ่นน้องหลายครั้ง
สี่ปีผ่านไปในที่สุดมาลินีก็เรียนจบออกมาด้วยเกรดเฉลี่ยเกินครึ่งไปเพียงเล็กน้อย ซึ่งเป็นผลจากการที่เธอใช้ชีวิตนอกห้องเรียนเป็นส่วนใหญ่ ในเวลานั้นเธอยังไม่รู้ว่ามันมีผลมหาศาลต่อการหางานที่ต้องแข่งขันกับหนุ่มสาวที่เรียนจบด้วยคะแนนสูงจากมหาวิทยาลัยมีชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเธอไม่เคยผ่านการทำงานมาจากที่ใด ไม่เคยใช้เวลาว่างฝึกหัดเพิ่มความรู้ และไม่มีประสบการณ์ในตำแหน่งที่เธอสมัคร
เดือนเมษายน 2552 เธอกลับไปตั้งหลักที่ตำบลมาลาคำ เธอเขียนใบสมัครหว่านไปตามบริษัทต่างๆ ในกรุงเทพฯ เพื่อจะพบว่าไม่มีหน่วยงานแห่งใดเลยที่เรียกเธอไปสัมภาษณ์ มาลินีแกร่วรออยู่ที่บ้านนานสิบเดือน ในระยะเวลาดังกล่าวเธอได้ความคิดว่าควรทำอย่างไรจึงจะได้งาน เธอเริ่มฝึกหัดการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อคำนวณและทำฐานข้อมูล เธอนั่งรถประจำทางเข้าไปเรียนในตัวเมืองโคราชจนจบคอร์สระยะสั้น จากนั้นเธอจึงใส่ข้อมูลเพิ่มลงไปในใบสมัครงานว่าเธอใช้โปรแกรมเอ็กเซล เวิร์ด และดาต้าเบสได้
ไม่นานจากนั้นบริษัทเงินทุนศรีสมิธ สาขาลาดพร้าว ก็เรียกมาลินีไปสัมภาษณ์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้พิจารณาใบสมัครของเธอคือชัยภัทรวัย 30 ปี ในเวลานั้นเขาเป็นหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการของสาขาดังกล่าว เขาต้องการรับพนักงานใหม่หนึ่งตำแหน่งเพื่อคีย์ข้อมูลตัวเลข เขาดูใบทรานสคริปต์ของเธอที่มีคะแนนไม่น่าประทับใจ เขาดูในช่องความสามารถพิเศษที่เธอกรอกลงไปว่าเป็นนักวิ่งแล้วเขาก็หัวเราะ เพราะในช่องนั้นเธอควรกรอกข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่เธอสมัคร เขาพลิกดูใบรับรองจากโรงเรียนฝึกวิชาชีพว่าเธอจบหลักสูตรการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณมีคะแนนดีพอใช้
ชัยภัทรให้มาลินีผู้ซึ่งนั่งรถตู้มาจากปากช่องลองนั่งทำงานสองชั่วโมง โดยเขายื่นโจทย์ให้เธอคำนวณดอกเบี้ยเงินกู้ของลูกค้าสามรายและให้ทำรายงานโดยใช้ตารางหน้าจอคอมพิวเตอร์ ปรากฏว่ามาลินีสามารถทำได้และพริ้นท์งานส่งเขาภายในเวลาสี่สิบนาที ชัยภัทรพิจารณาดูบุคลิกคล่องแคล่วของหญิงสาววัยยี่สิบสามผู้นี้ เขาสอบถามถึงความพร้อมของเธอถึงการเข้ามาอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ สองวันจากนั้นเขาตัดสินใจเรียกมาลินีเข้ามาทดลองงานเป็นระยะเวลาสี่เดือนก่อนบรรจุเธอเข้าเป็นพนักงานประจำ
นางมาลีเมื่อเห็นว่าลูกสาวคนเดียวเริ่มปักหลักลงได้แล้ว นางจึงขายที่สวนไปแปลงหนึ่งและนำเงินไปซื้อห้องคอนโดฯ ขนาดกลางย่านหลักสี่ให้มาลินีอยู่อาศัย นอกจากนั้นนางยังวางเงินดาวน์ซื้อรถญี่ปุ่นให้ลูกสาวใช้ขับไปทำงานและขับกลับบ้านที่ตำบลมาลาคำ มาลินีเริ่มต้นชีวิตในกรุงเทพฯ อย่างสะดวกสบาย การมีที่พักไม่ไกลจากที่ทำงาน อีกทั้งภาระผ่อนรถเดือนละหลายพันบาท ทำให้เธอมีข้อผูกมัดกับตนเองว่าเธอต้องทำงานที่บริษัทนี้ต่อไปจนกว่าจะหมดหนี้สิน
ตำแหน่งแรกในบริษัทเงินทุนศรีสมิธ สาขาลาดพร้าว ที่มาลินีเริ่มทำงานในเดือนมกราคมปี 2553 คือ “พนักงานช่วยปฏิบัติการ” เธอมีหน้าที่บันทึกข้อมูลลูกค้าเข้าระบบและใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์จัดพิมพ์รายงานแยกเป็นชุดส่งให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อนร่วมห้องแผนกเดียวกับเธอส่วนใหญ่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ด้วยคะแนนสูงและต่างแบ่งกลุ่มกันตามสถาบันที่ตนจบมา มาลินีรู้สึกโดดเดี่ยวเป็นบางครั้งเพราะมีเธอเพียงคนเดียวที่มาจากต่างจังหวัด
สองปีแรกของการทำงานเธอเหมือนคนที่เดินดุ่มเข้าสู่โลกที่แตกต่างจากโลกสวยใสแห่งวัยเยาว์ที่ผ่านเลยไปอย่างไม่หวนกลับ โลกในสำนักงานเป็นโลกใบเล็กที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด งานตัวเลขที่ต้องใช้ความระมัดระวัง มีวัฒนธรรมองค์กรที่เธอต้องเรียนรู้และปฏิบัติมิเช่นนั้นเธอจะไม่มีที่ยืน มีเพื่อนร่วมงานรุ่นเดียวกันและเพื่อนร่วมงานอาวุโส มีผู้ช่วยหัวหน้าแผนก หัวหน้าแผนก ผู้ช่วยหัวหน้าฝ่าย หัวหน้าฝ่าย รองผู้จัดการ และผู้จัดการ มีรายชื่อลูกค้าหลายระดับ ซึ่งข้อมูลของแต่ละรายนั้นมีความสำคัญลดหลั่นกันไปตามจำนวนเงินที่พวกเขานำมาลงทุนหรือทำสัญญากู้ยืม มีเรื่องยิบย่อยที่เธอต้องจำและจด มีกฎระเบียบที่วางไว้อย่างเคร่งครัด มีความน่าหวาดกลัวในเรื่องที่อาจถูกไล่ออกได้หากทำงานผิดพลาดหรือพลั้งปากบอกข้อมูลความลับของบริษัทแก่คนภายนอก มีการแข่งขันสร้างผลงานเพื่อไต่ขึ้นไปสู่ยอดปิรามิดของสำนักงานสาขา
ขึ้นปีที่สามของการทำงาน มาลินีอยู่ตัวแล้วกับตำแหน่งผู้ช่วยปฏิบัติการ เธอเริ่มเบื่อหน่ายงานซ้ำเดิมที่ทำมาแล้วเกือบหนึ่งพันวัน ทั้งวันเธอต้องนั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ คีย์ข้อมูลใส่ลงไปตามช่อง ไล่สายตาตรวจดูตัวเลขทุกตัวก่อนพรินท์ออกมา และตรวจทานที่หน้ากระดาษอีกครั้ง จากนั้นนำไปส่งให้ฝ่ายต่างๆ นำไปใช้งานต่อ หลายครั้งยามพักเที่ยงมาลินีเสียบหูฟังเปิดเพลงให้ดังเต็มที่แล้วออกไปเดินที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลซึ่งอยู่ไม่ห่างจากอาคารสำนักงานของเธอมากนัก ในห้างนั้นมีความพลุกพล่านและสีสันที่ทำให้เธอรู้สึกมีชีวิตชีวา การฟังเพลงและเห็นความเคลื่อนไหวของผู้คนช่วยกระตุ้นให้สมองของเธอแล่น เธอรู้ตัวดีว่าเธอปรารถนาความท้าทายแปลกใหม่
และแล้วมาลินีก็พบวิธีหนีจากความซ้ำซากของงานประจำโดยการทำความรู้จักกับชายคนหนึ่งซึ่งพูดคุยกับเธอผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ในที่สุดเขากับเธอนัดหมายพบกันที่ชายหาดชะอำ จังหวัดเพชรบุรี เธอจำได้ว่าครั้งแรกที่เธอและแซมนัดพบกันคือวันฝนพรำต้นเดือนกันยายน 2555
....มาลินีกะพริบตาถี่เมื่อคิดถึงความผิดพลาดครั้งนั้น...
...เธอถลำทั้งกายและใจเข้าไปมีความสัมพันธ์กับชายที่เพิ่งพบครั้งแรก เธอขับรถไปพบเขาทุกสองหรือสามสัปดาห์ตลอดแปดเดือนของปีดังกล่าวและปีถัดไป จนในที่สุดเมื่อเธอรู้แน่ชัดว่าเขามีครอบครัวแล้วและเธอเป็นเพียงสิ่งสนองความต้องการทางเพศของเขา เธอตัดสินใจหันหลังเดินออกมา ชัยภัทรผู้เป็นหัวหน้างานอนุญาตให้เธอลาพักร้อนหนึ่งอาทิตย์หลังจากเห็นผลการทำงานที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนของเธอจนเกือบทำให้บริษัทเสียหาย
วันที่มาลินีกลับจากพักร้อนและเข้ามานั่งทำงานอีกครั้ง ชัยภัทรผู้เป็นหัวหน้าโดยตรงของเธอได้พูดคุยสอบถามว่าเธอมีปัญหาอะไรที่เขาพอจะช่วยได้ มาลินีตอบเขาเพียงว่าเธอใช้ชีวิตผิดพลาดไปและเธอตั้งใจว่าจะไม่ทำเช่นนั้นอีก ชัยภัทรมองใบหน้านิ่งขรึมของหญิงสาวและพูดให้กำลังใจ
“ขอบคุณที่บอกผมนะมาลินี เราทุกคนต่างมีเรื่องส่วนตัวด้วยกันทั้งสิ้น ผมเองพอเดาได้ว่าก่อนหน้านี้คุณคงไปหากิจกรรมท้าทายจากภายนอกทำเพื่อความสนุก เพราะคุณเบื่องานซ้ำๆ อย่างที่คุณเจอทุกวันที่นี่ แต่คุณรู้ไหมว่างานพวกนี้เมื่อคุณทำครั้งแล้วครั้งเล่าคุณจะเกิดความชำนาญ มันเป็นฐานข้อมูลสำคัญที่วันหน้าหากคุณขยับขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งใหม่ มันจะช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ”
หลังจากฟังชัยภัทรพูดแล้วมาลินีมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะแก้ตัวใหม่ เธอมองเห็นถึงความตั้งใจดีของชายหนุ่มที่ต้องการให้เธอก้าวหน้าต่อไปในบริษัท เธอลืมแสงสีในความคิดและเลิกมองหาความท้าทายจากภายนอก หญิงสาวพยายามตั้งอกตั้งใจสร้างผลงานให้ดียิ่งขึ้นในขณะเดียวกับที่ความรู้สึกด้านบวกของเธอต่อหัวหน้างานก็เพิ่มพูนมากขึ้นเช่นกัน
วันหนึ่งชัยภัทรแนะนำให้เธอไปสมัครเรียนปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจหลักสูตรพิเศษที่ใช้เวลาเรียนในวันเสาร์และวันอาทิตย์ติดต่อกันเป็นเวลาหนึ่งปีครึ่ง เขาบอกเธอว่า
“การทำงานบริษัทนี้ คุณต้องเก่งกว่าคนอื่น นอกจากหน้าที่ประจำที่ทำทุกวันซึ่งคุณมีความชำนาญมากขึ้นแล้ว การไปเรียนพิเศษจะช่วยให้คุณได้รู้จักคนเพิ่มขึ้น มีเครือข่ายที่เป็นประโยชน์ ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และความคิด และที่สำคัญมันจะช่วยให้คุณขึ้นสู่ระดับบริหารได้เร็วกว่าการมีปริญญาใบเดียว”
มาลินีทำตามที่ชัยภัทรแนะนำ เธอใช้เวลาทุกวันหยุดไปเรียนที่สถาบันเอกชนแห่งหนึ่ง ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวชัยภัทรคอยผลักดันและเป็นกำลังใจให้เธออย่างใกล้ชิด เขาช่วยตรวจสอบงานของเธออย่างละเอียดไม่ให้มีสิ่งใดผิดพลาด เมื่อเธอเรียนจบหลักสูตรในปี 2558 ชัยภัทรและเธอตกลงใจแต่งงานกัน พิธีใหญ่จัดขึ้นอย่างหรูหราที่โรงแรมชั้นนำ ญาติพี่น้องทั้งสองฝ่ายมาร่วมงานอย่างคับคั่ง...
มาลินีหวนคิดถึงชีวิตตนเองหลังแต่งงานกับชัยภัทรเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว เธอขายคอนโดฯ ที่แม่ของเธอซื้อให้ แม้จะได้ราคาไม่เท่ากับที่เธอคาดหวัง เธอค*****นจำนวนนั้นให้นางมาลีไปทั้งหมดและยกรถเก๋งคันเก่าให้นางไว้ใช้ที่ต่างจังหวัด ในวันแต่งงานแม่ของเธอซื้อเครื่องประดับมีค่าห่อผ้าแดงใส่พานมอบเป็นของขวัญแต่งงานลูกสาวเพื่อให้สมฐานะกับการที่เธอแต่งเข้าบ้านอันมีเกียรติของครอบครัวผู้ดีเก่า “เขาจะได้เกรงใจ เดี๋ยวจะว่าหนูมาแต่ตัว” นางมาลีกระซิบและกอดเธอไว้ ส่วนพ่อของเธอนำโฉนดที่สวนหนึ่งแปลงโอนมอบให้เธอเป็นของขวัญ ที่ดินแปลงนั้นอยู่ที่อำเภอมวกเหล็กเนื้อที่ 6 ไร่ซึ่งเขาซื้อไว้ตั้งแต่มาลินีเกิด “จะขายหรือจะมาลงทุนทำอะไรก็ตามใจหนูนะ พ่อมอบให้แล้วก็เป็นสิทธิ์ของหนู” พ่อของเธอกล่าว
เมื่อมาลินีเข้ามาอยู่ร่วมกับชัยภัทรในรั้วกำแพงครอบครัวของคุณดนัยและคุณเพ็ญ เธอไม่ต้องบีบเนื้อบีบตัวเหมือนสะใภ้ในนิยายที่ถูกแม่สามีและบริวารในบ้านรุมรังแก มาลินีใช้ชีวิตในบ้านนั้นอย่างสบายใจเพราะเธอมีงานทำ มีตำแหน่งในบริษัท มีเงินเดือนเลี้ยงตัว และที่สำคัญคือพ่อและแม่ของชัยภัทรมีความรักและความจริงใจให้เธอ ทุกครั้งที่เธอขับรถกลับบ้านที่ปากช่อง ท่านทั้งสองจะฝากช็อกโกแล็ตและขนมต่างๆ ไปให้แม่และพ่อของเธอได้ชิม ซึ่งครูประสงค์และนางมาลีก็เช่นกันที่มักฝากผลไม้สดใหม่จากสวนมาให้พ่อและแม่สามีของลูกสาวไว้แจกญาติและบริวาร
เด็กชายตะวันคลอดออกมาชมโลกเดือนกันยายน 2560 แม่ของเธอเดินทางมาจากปากช่องเพื่อช่วยเลี้ยงหลานและอยู่กับลูกสาวที่กรุงเทพฯ ประมาณหนึ่งเดือน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผู้มาเยือนได้รู้จักสนิทสนมกับเจ้าบ้านและพูดคุยกันถูกปาก มาลินีรู้สึกว่าตนเองเป็นผู้โชคดีที่ญาติผู้ใหญ่ของเธอและของสามีเข้ากันได้ดีและไม่มีปัญหาต่อกัน
...มาลินีผละสายตาจากขบวนรถไฟฟ้าที่นอกหน้าต่างห้องทำงานก้มมองรูปสามีในโทรศัพท์ เขาเป็นชายวัยสี่สิบที่มีรูปร่างเช่นเดียวกับคนที่เคลื่อนไหวร่างกายน้อยและใช้เวลาส่วนใหญ่ในที่ร่ม อาหารโปรดของเขามักมีเนื้อสัตว์ติดมันและแป้งขัดขาว ในวัยเด็กเขาชอบเล่นเกมส์กระดานและพัฒนามาจนถึงเกมส์คอมพิวเตอร์ เมื่อได้งานทำช่วงแรกในฝ่ายปฏิบัติการเขาก็ใช้เวลาวันละหลายชั่วโมงนั่งเพ่งหน้าจอและดูรายงานตัวเลข หลายปีผ่านไปเขาได้เลื่อนขึ้นไปอยู่ฝ่ายบริหาร ซึ่งทำให้เขาได้ขยับเดินไปตามแผนกต่างๆ และออกไปทำธุระของบริษัทเป็นครั้งคราว เมื่ออยู่บ้านสิ่งที่ชัยภัทรชอบทำคือการนั่งดูข่าวโทรทัศน์และดูโทรศัพท์มือถือ
ช่วงแรกที่แต่งงานกันมาลินีมักชวนเขาไปวิ่งออกกำลังกายที่สวนจตุจักรอันสวยงาม ซึ่งเขาก็ออกวิ่งกับเธอทุกครั้งเมื่อมีโอกาส ครั้นเมื่อหน้าที่การงานของเขาก้าวหน้ามากขึ้นเขามักหลีกเลี่ยงการไปเสียเวลาที่สวนสาธารณะ เขาสั่งซื้อลู่วิ่งไฟฟ้ามาตั้งไว้ในห้องหลังบ้าน แต่คนที่ใช้เครื่องดังกล่าวส่วนใหญ่คือมาลินีที่วิ่งออกกำลังเป็นประจำ
มาลินีมองรูปชายผิวพรรณสะอาดสะอ้าน ใบหน้าอวบกลม เขาชอบทำหน้าเคร่งเมื่อครุ่นคิดเรื่องงาน แต่เมื่อพบลูกค้าเขาจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มและพร้อมพูดคุยทุกเรื่อง ยามที่เขาอยู่กับคุณดนัยและคุณเพ็ญเขากลายเป็นเด็กน้อยที่คอยให้ท่านทั้งสองเอาใจ เขาเป็นลูกชายที่ปฏิบัติต่อบิดามารดาอย่างดียิ่ง คุณดนัยบิดาของชัยภัทรเคยเป็นที่ปรึกษาบริษัทเงินทุนศรีสมิธในเวลาที่ท่านยังอยู่ในราชการ ท่านสนิทสนมกับคณะกรรมการบริษัทดังกล่าวและได้ฝากชัยภัทรให้เข้าทำงานหลังจากเขาเรียนจบปริญญาโทมาหมาดๆ
การเป็นเด็กฝากทำให้ชัยภัทรเพิ่มความกดดันตนเองเพื่อพิสูจน์ว่าเขามีคุณค่าสมกับที่ได้เข้ามานั่งทำงานรับเงินเดือนในบริษัทที่มีความมั่นคงและเป็นเป้าหมายของหนุ่มสาววัยเรียนจบใหม่
ชัยภัทรได้เลื่อนตำแหน่งจากผู้ช่วยไปเป็นหัวหน้าแผนกหลังจากทำงานได้เพียงสามปี ไม่นานจากนั้นเขาทำผลงานอย่างยอดเยี่ยมจนได้รับแต่งตั้งเป็นรองผู้จัดการสาขาควบกับตำแหน่งเดิมในวัยเพียงสามสิบ ซึ่งขณะที่อยู่ในตำแหน่งดังกล่าวเขาเป็นผู้พิจารณารับมาลินีเข้ามาเป็นพนักงานในแผนกปฏิบัติการ และห้าปีต่อมาเธอและเขาก็แต่งงานกัน
นาฬิกาในโทรศัพท์ของมาลินีบอกเวลาเที่ยงยี่สิบห้า เธอตักสลัดผลไม้ใส่ปากอีกสองสามคำและดื่มน้ำชาตามไป นี่คือมื้อกลางวันของเธอซึ่งใช้เวลาประมาณสิบนาที หลังจากเข้าห้องน้ำที่อยู่ด้านในของห้องทำงานและแปรงฟันก่อนเติมแป้งและลิปสติกแล้ว เธอก็พร้อมทำงานภาคบ่าย