วันต่อมา
ชายร่างสูงใหญ่สองคนเดินเข้ามาในห้องทำงานอันโอ่อ่าของรองประธานบริษัทการสื่อสารยักษ์ใหญ่ของประเทศ เจ้าของห้องละมือจากงานที่ทำ เงยหน้ามองลูกน้องและเพื่อนที่เดินมานั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“ได้เรื่องแล้วไอ้คุณกัลป์” น้ำเสียงสนิทสนมที่ฟังแล้วชวนให้คิดว่า ลูกน้องคนนี้ไม่ธรรมดา เจ้าของเสียงคืออดิศรหรือสอน สถานะเขาคือเป็นเพื่อนและลูกน้องของกัลป์ อดิสรยื่นเอกสารในมือให้กัลป์ เจ้าของห้องรับมันไว้แล้วเปิดอ่านทันที “มันชื่อคชา บ้านอยู่จังหวัดชุมพร เป็นลูกน้องของนายวิเศษ ผู้กว้างขวางในแถบนั้น นายวิเศษทำงานผิดกฎหมายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นค้ายาเสพติด ค้ามนุษย์ ค้าของเถื่อน แล้วยังเป็นเจ้ามือหวย เจ้าของบ่อนด้วยครับ”
อดิศรรายงานผู้เป็นนายที่กวาดตาอ่านประวัติอันโชกโชนของคชา หนึ่งในกลุ่มชายชั่วที่ข่มเหงพรรณพฤกษา อาจจะพูดได้ว่า เป็นหัวหน้าก็ว่าได้
การสืบเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย กัลป์ต้องใช้เวลากว่าเจ็ดเดือนกว่าจะได้ข้อมูลที่ต้องการ เนื่องจากเขาไม่มีเบาะแสอะไรเลย นอกจากบ้านหลังนั้น ฉะนั้นงานนี้จึงเริ่มต้นที่ศูนย์ ค่อยๆ สืบเสาะหาไปทีละส่วน รวบรวมข้อมูลทุกทางที่หามาได้
แต่เหมือนโชคเข้าข้าง เมื่อหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา มีคนให้ข้อมูลบางอย่างกับกัลป์ โดยบุคคลนี้ไม่เปิดเผยตัว เป็นข้อมูลสำคัญที่ทำให้เขารู้ว่า ใครคือหัวหน้าที่กระทำชั่วในครั้งนี้ ข้อมูลนั้นคือ คลิปภาพถ่ายของคชาตอนที่เดินเข้าไปในบ้าน ต่อมาคือเสียงกรีดร้องของพรรณพฤกษา ซึ่งเขาคาดเดาไม่ยากเลยว่า เกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวสุดที่รัก และข้อมูลอีกหนึ่งอย่างคือ คนในภาพคือหนึ่งในลูกน้องของผู้มีอิทธิพลในจังหวัดชุมพร เขาจึงใช้ข้อมูลที่ได้รับให้ลูกน้องตามสืบหา แต่ไม่ว่าจะใช้เวลานานเท่าใด ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ ต่อไปนี้ก็ถึงทีกัลป์บ้าง เขาจะชำระความกับชายชั่วกลุ่มนั้นให้สาสม
“ไปเอาตัวมันมาให้ได้ แต่ขอเป็นๆ นะ ฉันอยากจะชำระความพวกมันด้วยตัวฉันเอง”
กำปั้นกัลป์ทุบลงบนโต๊ะ นัยน์ตาเขาเปล่งแสงน่ากลัว มีความแค้น แรงโทสะสุมอยู่ เป็นแววตาที่ใครเห็นแล้วต้องหวาดกลัว สยองพองขน
“ฉันจะไปวันนี้เลยจะได้ปิดงาน” อดิศรรับคำสั่ง
“ระวังตัวด้วยล่ะ ท่าทางมันไม่ใช่เล่นๆ ทำอะไรรอบคอบไว้ก่อน” กัลป์เตือนลูกน้อง “เอาเงินนี่ไป เผื่อต้องใช้ ถ้าไม่พอโทรมาบอกฉันล่ะกัน ฉันจะโอนให้”
กัลป์เปิดลิ้นชักหยิบเงินสดสองปึกส่งให้อดิสรเป็นค่าใช้จ่ายระหว่างทำงาน
“นายคอยฟังข่าวดีล่ะกัน ไปล่ะ”
หลังจากลูกน้องกล่าวลา ทั้งคู่ได้เดินออกไปจากห้องของเจ้านาย ไปทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย โดยไม่เกรงกลัวต่ออันตรายเบื้องหน้า ไม่สนใจด้วยว่า บุคคลที่ตนจะต้องไปนำตัวมาให้กัลป์นั้นจะน่ากลัวมากแค่ไหน ทั้งสองพร้อมจะทำงานตามคำสั่งเต็มที่
“มึงทำน้องกู กูจะทำให้มึงเจ็บกว่ากล้วยไม้ร้อยเท่าพันเท่า”
ประโยคอาฆาตดังผ่านริมฝีปากหนาของกัลป์ ดวงตาเขายังลุกโชนจากไฟแค้น ยิ่งนึกถึงพรรณพฤกษา ความรู้สึกทั้งหลายในจิตใจทวีคูณหลายเท่า เขาไม่มีวันปล่อยให้คชากับพวกลอยนวล หากนำตัวคชาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม กัลป์รู้สึกว่ามันช้าไป สิ่งที่คชาทำกับน้องสาวสุดที่รัก ไม่มีโทษใดสาสมเท่าโทษที่ตนจะมอบให้ รับรองว่า เจ็บถึงใจ เหมือนตายทั้งเป็น
รถบีเอ็มดับบลิวสีดำแล่นมาจอดหน้าบ้านตันติยานนท์ ชายร่างสูงโปร่งก้าวลงมา มือหนึ่งถือช่อดอกไม้ อีกมือหนึ่งถือกระเช้าผลไม้ ก่อนที่เขาจะก้าวเดินเข้าไปในบ้านอย่างคุ้นเคย
“เอม คุณลุงคุณป้าล่ะ” เจษฎาถามเอม สาวใช้ที่เดินเข้ามาช่วยถือกระเช้าผลไม้
“นั่งเล่นอยู่ศาลาหลังบ้านค่ะ” เอมตอบ
“ขอบใจนะ” เจษฎายิ้มอย่างเป็นกันเอง “ฝากดอกไม้กับกระเช้าผลไม้ไปให้คุณกล้วยไม้ด้วยนะ แล้วนี่กุญแจรถฉัน ไปเปิดเอาผลไม้ที่อยู่ท้ายรถด้วย ฉันจะไปสวัสดีคุณลุงคุณป้าก่อน”
“ค่ะคุณเจตต์” เอมเดินขึ้นไปชั้นบนของบ้าน ส่วนเจษฎาเดินไปด้านหลังของบ้านเพื่อพบเจ้าของบ้าน
“สวัสดีครับคุณลุงคุณป้า” เจษฎายกมือไหว้ผู้สูงวัยทั้งสอง
“สวัสดีจ้ะ หายไปหลายวันเลยนะ” สองสามียกมือรับไหว้ ก่อนที่ธัญญ์จะเป็นฝ่ายทักทายกลับ
“ผมไปต่างจังหวัดมาน่ะครับ พอกลับมาถึงก็รีบมาเยี่ยมกล้วยไม้ทันทีครับ ผมซื้อผลไม้จากสวนของเพื่อนมาฝากกล้วยไม้ด้วยนะครับ ผลไม้ที่กล้วยไม้ชอบทั้งนั้นเลย อ้อ…มีของคุณลุงคุณป้าและกัลป์ด้วยครับ”
เจษฎาเป็นคนรักของกล้วยไม้ ทั้งสองคบหาดูใจกันก่อนเกิดเหตุร้ายได้เพียงสองเดือน แต่ถึงแม้ว่าจะเกิดเรื่องอัปยศกับพรรณพฤกษา ทว่าความรักที่เจษฎามีให้พรรณพฤกษาก็ไม่เคยเสื่อมคลาย ยิ่งเธอมาเจอเรื่องเลวร้าย ชายหนุ่มไม่คิดรังเกียจ เขายังรักและตั้งใจจะแต่งงานกับเธอเช่นเดิม นำพาความซาบซึ้งใจให้กับครอบครัวตันติยานนท์ไม่น้อย
“ขอบใจมากนะที่ยังนึกถึงกล้วยไม้ ถ้ากล้วยไม้รับรู้ได้ว่า เจตต์รักและเป็นห่วงกล้วยไม้มากอย่างนี้ กล้วยไม้ต้องดีใจแน่ๆ เลย”
วชิราภรณ์น้ำตาซึม ธัญญ์รีบขยับตัวโอบบ่าภรรยาอย่างปลอบโยน เรื่องของบุตรสาวเป็นเรื่องที่สร้างความสะเทือนใจและเสียใจให้นางมากที่สุดในชีวิต นับตั้งแต่เกิดเรื่องร้าย ไม่มีวันไหนที่นางจะมีความสุข มีแต่ความทุกข์เกาะกินจิตใจ ร้องไห้จนไม่มีน้ำตาจะร้อง ยิ่งเห็นสภาพของบุตรสาว ความเสียใจยิ่งไม่มีวันดับ ทว่าในความโชคร้าย วชิราภรณ์คิดว่า ยังมีความโชคดี ที่คนรอบข้างคอยให้กำลังใจ มีผู้ชายที่รักลูกสาวนางจริง อีกประการหนึ่ง ทำให้นางรู้ว่า สถานบันครอบครัวคือผนึกกำลังที่เข้มแข็งที่สุด พร้อมจะเผชิญทั้งเรื่องสุขและทุกข์ไปด้วยกัน
“ผมยินดีและเต็มใจเป็นที่สุดครับ ผมจะรอจนกว่ากล้วยไม้จะพร้อมทั้งกายและใจ พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับผมครับ”
อย่างที่รู้กันว่า ไม่มีชายใดเข้าใกล้พรรณพฤกษาได้ เธอแสดงท่าทางหวาดกลัวขึ้นมาทันที กรีดร้องและร้องไห้ เจษฎาเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่สามารถเข้าใกล้เธอได้ แม้ว่าใจจะปรารถนาทำเช่นนั้นมากเพียงใด
“ลุงขอบใจเจตต์มากนะ ขอบใจจริงๆ” ธัญญ์กล่าวด้วยใจจริง แล้วไม่คิดว่า จะมีชายใดรักลูกสาวของเขามากเท่าชายหนุ่มตรงหน้า
“ผมไม่ได้มาหลายวัน อาการกล้วยไม้เป็นยังไงบ้างครับ”
“ก็ยังเหมือนเดิมจ้ะ รักษาตามอาการ ตอนนี้วิมาช่วยดูแลระหว่างที่กิ่งลากลับบ้าน วิก็คอยช่วยกระตุ้นตามที่คุณหมอบอก อ่านหนังสือให้ฟัง ให้ดูรูปเก่าๆ ฟื้นความจำไปในตัว แต่ไม่รู้ว่าจะได้ผลหรือเปล่า แต่ป้าว่าก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย” วชิราภรณ์ตอบ ใบหน้านางเนือยเศร้า น่าสงสารยิ่งนัก
“เมื่อวานนี้ ผมได้คุยกับเพื่อนที่อยู่ต่างประเทศ เขาบอกว่า ญาติเขาความจำเสื่อมก็เลยลองใช้วิธีสะกดจิตดู ซึ่งมันก็หายนะครับ แต่ต้องใช้เวลาสักหน่อย แต่ในกรณีของกล้วยไม้ ผมไม่แน่ใจว่าจะช่วยได้ไหม กล้วยไม้ไม่ได้ความจำเสื่อม แต่เธอช็อคกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ใจหนึ่งก็ไม่อยากให้เธอจำเรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง กลัวว่าจะรับไม่ได้และเป็นหนักกว่าเก่า ในความคิดของผม ผมของแค่ได้เข้าใกล้ ได้ดูแลเธอก็พอครับ ผมพร้อมจะดูแลกล้วยไม้ไปตลอดชีวิต”
ไม่ใช่ว่าเจษฎาไม่ต้องการให้พรรณพฤกษาหาย แต่เขาคิดว่า เรื่องอัปยศอดสูที่เธอได้รับนั้น มันเกินกว่าคนอ่อนหวานและอ่อนโยนเช่นเธอจะรับได้ เจษฎาไม่ต้องการอะไรมาก ขอเพียงให้เขาได้เข้าใกล้พรรณพฤกษา ไม่ใช่มองเธอในระยะห่างเช่นนี้
“ลุงก็ไม่อยากให้กล้วยไม้จำเรื่องนั้นได้ ลุงขอเพียงได้เข้าใกล้กล้วยไม้ได้เหมือนเดิม ลุงก็พอใจแล้ว”
ธัญญ์มีความคิดเดียวกับเจษฎา พรรณพฤกษาไม่ใช่คนเข้มแข็ง เธออ่อนแอจากการถูกประคบประหงมและการเลี้ยงดูที่เรียกว่า ยิ่งกว่าไข่ในหิน รู้จักโลกภายนอกน้อยมาก ไปไหนมาไหนก็มีคนไปรับไปส่ง หรือไม่ก็ไปกับพ่อแม่ แม้ว่าจะอยู่ในสายตาของเขาตลอดเวลา ทว่าก็มีพลาดพลั้ง ถูกลักพาตัวจนทำให้เกิดเหตุการณ์เลวร้าย หากวันนั้นเขาไปรับบุตรสาวเร็วกว่านี้ เรื่องทั้งหมดคงไม่เกิดขึ้น หากพรรณพฤกษาจำเรื่องราวนั้นได้ รับรองว่าอาการช็อคต้องเกิดขึ้นอีกรอบ และอาจจะเลวร้ายลงไปอีก
“บางครั้งป้าก็คิดว่า การที่กล้วยไม้เป็นอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องจดจำเรื่องที่ถูกกระทำย่ำยี ขอเพียงแค่ให้พ่อ พี่ชายและเจตต์เข้าหน้าได้บ้าง ป้าก็ดีใจแล้ว ชาตินี้ไม่หวังอะไรอีกแล้ว”
การสนทนาของทั้งสามดูเหมือนจะหยุดลงดื้อๆ เสมือนมีก้อนแข็งๆ อุดตรงลำคอ ไม่สามารถเปล่งเสียงใดออกมาได้ ใบหน้าของแต่ละคนหมองเศร้า ในห้วงจิตใจทุกข์ระทมเมื่อเห็นคนที่ตัวเองรักเป็นเช่นนี้