เจ้าสาวจากแคว้นฉู่/4

2325 คำ
และนั่นทำให้ฟางหยางฮ่องเต้ถึงกับหยุดชะงักทันทีพลาง เงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรไปทางหน้าประตูทันใดครั้นล่วงรู้ว่าพระอนุชาที่ทรงเกลียดและชิงชังมากที่สุดมิได้ประทับอยู่ที่ชายแดน แต่กลับเสด็จมาเมืองหลวงเป็นครั้งแรกในรอบห้าปี นับตั้งแต่ทรงขึ้นครองราชย์บัลลังก์ สายตาทุกคู่หันกลับไปมองตรงหน้าประตูอย่างพร้อมเพรียงกัน พระวรกายสูงใหญ่ทะมึนฉลองพระองค์สีนิลกาฬ พระเกศาสีเงินยวงเกล้าขึ้นสูงม้วนเป็นมวยครอบด้วยมงกุฎประดับพระเศียร พระพักตร์หล่อเหลาเลิศล้ำสิริโฉมงดงามจนบุรุษด้วยกันยังต้องริษยา ปราศจากหน้ากากทองคำจอมมารในคราบชินอ๋องพระดำเนินก้าวข้ามธรณีประตูมาอย่างช้าๆ พระเนตรสีนิลกาฬจับอยู่ที่ฟางหยางฮ่องเต้ ท่ามกลางสายตาของบรรดาขุนนางน้อยใหญ่ รวมไปถึงบรรดาองค์ชายทั้งหลายที่ประสูติจากฟางหยางฮ่องเต้ สายตาทุกคู่ต่างมองมาอย่างชื่นชมเว้นเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ในขณะนี้ ครั้นพระดำเนินมาถึงหน้าบัลลังก์ จอมมารหนุ่มประสานพระหัตถ์เข้าหากันพร้อมก้มพระเศียรเพียงเล็กน้อยถวายคำนับฟางหยางฮ่องเต้ที่กำลังนั่งตกตะลึงกับการปรากฏพระวรกายของพระองค์ “ถวายพระพรฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญพ่ะย่ะค่ะ” จอมมารหนุ่มรับสั่งสุรเสียงนุ่มนวลทว่ากลับแฝงเร้นอำนาจยิ่งใหญ่จนคนฟังยังต้องกลืนน้ำลายลงคอด้วยความกลัวเกรงเฉกเช่นเดียวกับฟางหยางฮ่องเต้ในขณะนี้ หากแต่ยังมิทันจะมีรับสั่งบรรดาพระโอรสที่เจริญวัยเข้าสู่ปีที่ยี่สิบชันษาสามารถแบ่งเบาภาระฟางหยางฮ่องเต้ได้แล้วรวมไปถึงรัชทายาทจื่อถง ต่างมีรับสั่งขึ้นมาพร้อมเพรียงกัน “ถวายพระพรเสด็จอา” สุรเสียงขององค์ชายทุกพระองค์เต็มไปด้วยความยินดี ครั้นได้มีโอกาสทอดพระเนตรเทพสงครามอันลือเลื่องของแคว้นด้วยความชื่นชม จอมมารทรงก้มพระพักตร์ขึ้นลงเป็นการตอบรับที่บรรดาองค์ชายทั้งหลายถวายความเคารพพระองค์ก่อนจะหันกลับไปครั้นทรงได้ยินสุรเสียงของฟางหยางฮ่องเต้มีรับสั่งขึ้น “ชินอ๋อง! ไม่ได้พบกันนานถึงห้าปีเจ้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ยังคงรูปงามแลดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอเลยนะ” รับสั่งกลั้นพระทัยถามกลับไป แต่ในความเป็นจริงแล้วทรงริษยาสิริโฉมของพระอนุชาอย่างยิ่งยวด “ฝ่าบาทรับสั่งหนักเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมก็เปลี่ยนแปลงไปตามวัยที่มากขึ้น อาจเป็นเพราะทรงมิได้พานพบเป็นประจำทุกวันจึงมิได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของกระหม่อมเสียกระมัง” รับสั่งตอบกลับไป “เช่นนั้นรึ! เข้าใจถ่อมตน... ว่าแต่เหตุใดกลับมาเมืองหลวงจึงมิแจ้งข่าวให้ข้าล่วงรู้ว่าจะมา จู่ๆ กลับมาเช่นนี้ราวกับว่ามีเหตุด่วนหรือมีอะไรไม่น่าไว้วางใจอย่างนั้นหรอกรึ” รับสั่งถามกลับไปด้วยความอยากรู้ “กระหม่อมต้องขอพระราชทานอภัยที่กลับมาเมืองหลวงอย่างกะทันหัน จึงมิได้แจ้งให้ฝ่าบาททรงทราบล่วงหน้า แต่ที่ต้องรีบกลับมานั้นด้วยเพราะกำลังติดตามบุคคลสำคัญผู้หนึ่งมาอย่างกระชั้นชิด และล่วงรู้มาว่าบุคคลดังกล่าวอยู่ในเมืองหลวงนี้พ่ะย่ะค่ะ จึงเป็นเหตุให้กระหม่อมต้องเดินทางมาเมืองหลวงเป็นกรณีเร่งด่วน” จอมมารรับสั่งตอบกลับไป “เช่นนั้นรึ!” ฟางหยางฮ่องเต้รับสั่งพร้อมทอดพระเนตรพระอนุชาอยู่เพียงครู่ครั้นทรงได้ยินเช่นนั้น “บุคคลที่เจ้ากำลังติดตามตัวอยู่เป็นภัยร้ายและกระทบถึงความมั่นคงของแคว้นอย่างนั้นรึชินอ๋อง จึงเป็นสาเหตุให้เจ้าต้องออกจากชายแดนเดินทางติดตามคนผู้นั้นมาถึงเมืองหลวงด้วยตัวเอง แทนที่จะส่งสายข่าวและกองทหารลับออกตามล่าตัวคนผู้นั้น” รับสั่งถามกลับไปด้วยความอยากรู้ “กราบทูลฝ่าบาทคนผู้นี้ที่กระหม่อมกำลังติดตามตัวอยู่ มีปัญญาหลักแหลมเป็นเลิศ สายข่าวหรือกองทหารลับมิอาจตามได้ทัน อีกทั้งเป็นบุคคลที่กระหม่อมตามหามานานตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมาพ่ะย่ะค่ะ” ฟางหยางฮ่องเต้ทรงนิ่งไปชั่วขณะ พระองค์ทรงครุ่นคิดตามถ้อยรับสั่งของพระอนุชา “แสดงว่าคนผู้นี้จะต้องมีความสำคัญกับเจ้ายิ่งนัก จึงต้องติดตามค้นหาด้วยตัวเองอย่างนั้นเชียวรึ” รับสั่งถามกลับอีกด้วยความสงสัยและความอยากรู้ “สำคัญต่อกระหม่อมมากพ่ะย่ะค่ะ” จอมมารรับสั่งตอบกลับไป “อย่างนั้นรึ! ถ้าเช่นนั้นเจ้าต้องการให้ข้าช่วยสิ่งใดขอจงรีบบอกอย่าได้ชักช้า เพื่อที่เจ้าจะได้สำเร็จดั่งใจหวัง แล้วนี่ จะพักอยู่เมืองหลวงนานเพียงใด เจ้ากลับมาเช่นนี้แนวชายแดนมิต้องห่วงหรือไรหากทิ้งมานาน” รับสั่งถามกลับไปด้วยมิทรงต้องการให้พระอนุชาประทับอยู่ในเมืองหลวงเนิ่นนาน “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงพระกรุณา กระหม่อมมีวิธีจัดการคนผู้นั้นพ่ะย่ะค่ะ มิได้เหลือบ่ากว่าแรง ขอเพียงพบตัวให้ได้ก็เพียงพอแล้ว มิต้องรบกวนฝ่าบาทแต่อย่างใดพ่ะย่ะค่ะ” จอมมารรับสั่งตอบกลับไป ถ้อยรับสั่งที่พระอนุชาตอบกลับมานั้นทำให้ฟางหยางฮ่องเต้ทรงไม่พอพระทัยด้วยทรงคิดไปเองว่า อนุชาเย่อหยิ่งจองหองไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากพระองค์ที่อุตส่าห์เอื้อเฟื้อให้ “ถ้าเช่นนั้นก็ตามใจเจ้าเถิด! ข้ารู้ว่าเจ้าเก่งกล้ายิ่งนัก ทั่วหล้าต่างกล่าวขานว่าเจ้าเปรียบประดุจดั่งเทพสงคราม เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้จึงมิต้องพึ่งพาผู้ใด” รับสั่งประชดกลับไป พระพักตร์หล่อเหลาแสยะยิ้มเหยียดออกมาบางๆ ครั้นทรงได้ยินเช่นนั้น จอมมารล่วงรู้ดีว่าฟางหยางฮ่องเต้มิได้ทรงเอ็นดูและรักพระอนุชาด้วยใจจริงแต่อย่างใด ตรงกันข้ามทรงชิงชังและริษยาอย่างยิ่งยวด “ฝ่าบาททรงรับสั่งหนักเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ที่กระหม่อมเดินทางเข้าเมืองหลวงและมาเข้าเฝ้าในวันนี้ ก็เพื่อเข้าเฝ้าถวายพระพร และกราบทูลให้ทรงทราบว่ากระหม่อมจะพักอยู่ในวังหลวงสักระยะจนกว่าจะจัดการเรื่องคนผู้นั้นเรียบร้อยพ่ะย่ะค่ะ หลังจากนั้นก็จะเดินทางกลับเทียนจิ้นเพื่อพำนักอยู่ที่นั่น” ครั้นฟางหยางฮ่องเต้ทรงได้ยินเช่นนั้น ความหวาดระแวงที่มีเป็นทุนเดิมอยู่แล้วบังเกิดขึ้นโดยพลันเมื่อพระอนุชาจะประทับอยู่ในวังหลวงและมิกำหนดเวลาว่าจะยาวนานเพียงใด ยิ่งชินอ๋องพำนักอยู่ในวังหลวงนานเพียงใด อำนาจของพระองค์ที่มีไม่ถึงครึ่งจะถูกบั่นทอนลงไปด้วยเช่นกัน “นี่เจ้าจะไม่กลับไปพำนักอยู่ชายแดนอีกแล้วรึ จึงกล่าวว่าจะกลับไปอยู่ที่เมืองเทียนจิ้น” รับสั่งถามกลับไปทันที “เมื่อกระหม่อมได้พบคนผู้นั้นแล้วก็จะกลับไปพำนักอยู่ที่เมืองเทียนจิ้นเป็นการถาวรพ่ะย่ะค่ะ ส่วนแนวชายแดนฝ่าบาทมิต้องกังวลกระหม่อมได้จัดการวางกองกำลังเอาไว้จนหมดแล้ว ยากที่จะมีศัตรูหาญกล้าทำศึกกับเทียนโจวในเวลานี้ ด้วยเพราะแต่ละแคว้นต่างบอบช้ำในการทำสงครามหนักหนายิ่งนัก ใช้เวลาในการฟื้นตัวนานมากพอควรเลยทีเดียว” จอมมารรับสั่งอธิบายกลับไป และนั่นทำให้ฟางหยางฮ่องเต้ทรงนั่งครุ่นคิดอยู่ภายในพระทัยขึ้นมาทันที “เจ้าหวนคืนกลับมาครั้งนี้จะทำอะไรกันแน่ชินซาง เหตุใดจึงไม่หมกตัวอยู่ชายแดนตลอดไปจะกลับมาให้ข้าต้องคอยระแวดระวังว่าเจ้าจะคิดทวงบัลลังก์คืนจากข้ากระนั้นสิ” ความคิดในแง่ร้ายและความหวาดระแวงประเดประดังเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย ซึ่งหารอดพ้นจากสายพระเนตรของจอมมารแม้แต่น้อย พระองค์ทรงล่วงรู้ว่าในขณะนี้ฟางหยางฮ่องเต้ทรงคิดเช่นไรกับพระองค์อยู่ในขณะนี้ “ฝ่าบาทมิต้องกังวลพระทัย พระองค์คือฮ่องเต้ปกครองแคว้นเทียนโจว กระหม่อมคือพระอนุชาย่อมถวายความจงรักภักดีเป็นแม่นมั่น อย่าทรงวิตกกังวลเกินกว่าเหตุ อีกทั้งแคว้นต่างๆ ก็มีสัญญาสงบศึกระหว่างแคว้นกันแล้ว จนพากันส่งเชื้อพระวงศ์ฝ่ายหญิงมาอภิเษกสมรสเป็นการยืนยันความบริสุทธ์ใจไม่ขาดสายเฉกเช่นเดียวกับกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ” รับสั่งของจอมมารที่รู้เท่าทันทุกอย่างแฝงเร้นให้ฟางหยางฮ่องเต้ทรงล่วงรู้ในถ้อยรับสั่งนั้น “หึ! เช่นนั้นรึ!” องค์ฮ่องเต้รับสั่งออกมาสั้นๆ เมื่อทรงได้ยินถ้อยเจรจาแอบแฝงจากพระอนุชา ฟางหยางฮ่องเต้ทรงคิดหาวิธีที่จะทดสอบความจงรักภักดีของพระอนุชาขึ้นมาทันที ก่อนจะนึกวิธีทดสอบที่พระองค์เคยมองข้ามนั่นก็คือสมรสพระราชทานนั่นเอง เป็นวิธีที่สามารถทำให้พระองค์หยั่งรู้ว่าพระอนุชาจงรักภักดีด้วยใจจริงหรือไม่ “ถ้าเช่นนั้นก็ดี! ไหนๆ ก็พำนักอยู่ในวังหลวง อีกทั้งเจ้าเองก็อายุเข้าสู่ปีที่ยี่สิบเก้าแล้ว จนถึงป่านนี้ยังไม่ยอมอภิเษกสมรสมีพระชายาเสียที มิสู้ให้ข้าช่วยจัดการหาองค์หญิงจากต่างแคว้นที่เดินทางมาแต่งงานตามสัญญาสงบศึกให้เจ้าได้มีพระชายาดั่งเช่นผู้อื่นบ้างมิดีหรือไร เจ้ามัวแต่ทำศึกสงครามจะหาเวลาใดพึงใจสตรีได้จริงหรือไม่” ฟางหยางฮ่องเต้เริ่มต้นแผนการทันที “จริงด้วยพ่ะย่ะค่ะเสด็จอา ตอนนี้หลานๆ ทั้งหมดของพระองค์ที่ถึงวัยแต่งงานต้องรับพระราชทานองค์หญิงเหล่านั้นมาเป็นพระชายา จนตอนนี้ตำหนักแน่นไปหมดแล้ว เสด็จอามาประทับอยู่เช่นนี้มิสู้รับองค์หญิงจากต่างแคว้นไปเป็นพระชายาบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะ เป็นการแบ่งเบาภาระเสด็จพ่อไปพร้อมกันด้วย” องค์รัชทายาทรับสั่งสนับสนุนตามประสาซื่อโดยมิล่วงรู้อะไรแม้แต่น้อย และถ้อยรับสั่งขององค์รัชทายาทสร้างความพึงพอพระทัยให้แก่ฟางหยางฮ่องเต้เป็นยิ่งนักครั้นทรงได้ยินเช่นนั้น จอมมารชินซางทรงล่วงรู้โดยพลันว่าฟางหยางฮ่องเต้กำลังทดสอบความจงรักภักดีของพระองค์ว่าจะมีให้จริงหรือไม่ จอมมารหนุ่มทรงยืนนิ่งทอดพระเนตรพระพักตร์ฟางหยางฮ่องเต้อยู่เพียงครู่ก่อนจะแสยะยิ้มเหยียดออกมา “ถ้าเช่นนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าองค์หญิงต่างแคว้นจะสามารถทำให้กระหม่อมพึงใจหรือไม่ หากแม้นได้พานพบสตรีที่พึงใจมีหรือที่จะปฏิเสธ เพียงแต่กระหม่อมขอเลือกด้วยตัวเองจนกว่าจะพบสตรีที่พึงใจ หาใช่จากการพระราชทานโดยมิได้ปรารถนา” รับสั่งสุรเสียงเน้นหนัก พระเนตรสีนิลกาฬจับอยู่ที่พระพักตร์ฟางหยางฮ่องเต้ตลอดเวลา “ในเมื่อชินอ๋องกล่าวมาเช่นนี้...ดี! ข้าจะจัดหาองค์หญิงต่างแคว้นมาให้เจ้าเลือกจนกว่าจะพอใจเช่นนี้ดีหรือไม่” รับสั่งถามพระอนุชา “แล้วแต่จะทรงโปรดพ่ะย่ะค่ะ” จอมมารรับสั่งตอบกลับไป และนั่นทำให้ฟางหยางฮ่องเต้ทรงพึงพอพระทัยอย่างยิ่งยวดที่มีโอกาสได้ทดสอบพระอนุชา รวมไปถึงอาศัยจังหวะนี้เพื่อกำจัดชินอ๋องให้ออกไปจากชีวิตของพระองค์ “เจ้ากรมพิธีการ!” องค์ฮ่องเต้รับสั่งขึ้นมาโดยพลัน “กระหม่อมอยู่นี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” เจ้ากรมพิธีการที่ยืนถวายรายงานอยู่ก่อนหน้านั้นแล้วขานรับขึ้นมาทันที “มีองค์หญิงจากต่างแคว้นที่เดินทางมาเพื่อแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีตามสนธิสัญญาสงบศึกอีกกี่พระองค์” รับสั่งถามเจ้ากรมพิธีการ “กราบทูลฝ่าบาท ในเวลานี้คงเหลือเพียงองค์หญิงจากสองแคว้นที่ยังเดินทางมาไม่ถึงพ่ะย่ะค่ะ ทั้งสองแคว้นน่าจะถึงในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน” “เหลือองค์หญิงต่างแคว้นเพียงสองพระองค์เท่านั้นหรอกรึ เช่นนี้แล้วจะมีตัวเลือกหลากหลายให้อนุชาของข้าได้พึงใจได้อย่างไรในเมื่อเหลือเพียงเท่านี้” รับสั่งบ่นพึมพำก่อนจะได้ยินพระสุรเสียงขององค์รัชทายาทดังแทรกขึ้น “แบ่งจากของลูกไปให้เสด็จอาก็ได้พ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ ทรงประทานองค์หญิงจากห้าแคว้นให้เพียงครั้งเดียวเช่นนี้ช่างมากเสียนี่กระไร” องค์รัชทายาทรับสั่งออกมา “ดะ... ดี…!” สุรเสียงของฟางหยางฮ่องเต้รับสั่งสวนขึ้นมาทันที ทว่ายังมิทันที่จะมีรับสั่งสิ่งใดอีก จอมมารทรงยกพระหัตถ์ขึ้นมาโดยพลันเป็นสัญญาณห้าม “กระหม่อมยังไม่ได้รับปากว่าจะรับองค์หญิงเหล่านั้นมาเป็นพระชายา เพียงแค่ขอคัดเลือกจนกว่าจะพบสตรีที่ถูกใจหากแม้นยังมิพบก็ขอดูไปเรื่อยๆ อันที่จริงก็มิได้อยากมีพระชายาแต่อย่างใด เพราะชีวิตที่ผ่านมาทำศึกสงครามมาโดยตลอดใช่ว่าจะมีชีวิตยืนยาวเสียที่ไหนกันเล่า หากแม้นต้องสิ้นชีพในสนามรบจะทำให้กระหม่อมมีห่วงเกิดขึ้นกับคนที่อยู่เบื้องหลัง หวังว่าฝ่าบาทจะทรงเข้าพระทัย” จอมมารรับสั่งตัดบทออกไปทันที เป็นการบอกกล่าวให้ฟางหยางฮ่องเต้ให้ทรงล่วงรู้ว่าจะทรงรับพระชายาหรือไม่ขึ้นอยู่กับความพึงพอพระทัยของพระองค์เป็นหลัก หาใช่ต้องทำตามความต้องการของผู้อื่นมาบังคับพระองค์ ซึ่งถ้อยรับสั่งของจอมมารทำให้องค์ฮ่องเต้ทรงขุ่นเคืองพระทัยเป็นยิ่งนัก ทว่าทำได้แต่เพียงเก็บเอาไว้ “ถ้าเช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้าเถิดชินอ๋อง หากไม่มีอะไรแล้ว...เลิกประชุม!” รับสั่งสุรเสียงห้วนพร้อมเสด็จออกจากท้องพระโรงไปอย่างรวดเร็ว “น้อมส่งเสด็จฝ่าบาท” ท่ามกลางสายพระเนตรสีนิลกาฬของจอมมารชินซาง ทรงทอดพระเนตรฟางหยางฮ่องเต้ตามหลังจนลับสายพระเนตร พระพักตร์หล่อเหลาแสยะยิ้มเหยียดเมื่อทรงล่วงรู้เท่าทันฮ่องเต้ผู้นี้ทุกอย่าง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม