ยังไม่ทันที่เท้าของเอมจะสาวก้าวยาวออกไป มือหนาก็รีบรั้งแขนของเอมไว้แน่น
“เดี๋ยว มีอะไรจะคุยด้วยไปคุยกันหน่อยสิ” สายตาคู่สวยกรอกตาล็อกแล็กไปมา เธอไม่กล้าจะมองหน้าคนที่ทำให้เธอต้องหวาดกลัว ส่วนขุนเขาก็จ้องมองหน้าของเอมอยู่อย่างนั้น แต่คนที่แปลกใจมากที่สุดคือเพื่อนทั้งสอง เหมียวและเจต เพราะเท่าที่รู้คือรุ่นพี่เป็นพี่ชายข้างบ้านของเพื่อน อีกทั้งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ขุนเขาไม่เคยทักหรืออยากคุยกับเอมสักหน
“มีอะไรพี่คุยตรงนี้ก็ได้นิ”
“เธอแน่ใจเหรอว่าจะให้คุยตรงนี้” ประโยคและน้ำเสียงพร้อมสายตาที่ทอดมองมาที่เฌอเอม ทำให้สาวน้อยหน้าหวานรู้ได้ว่าคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ จากนั้นเธอก็หันไปทางเพื่อนพร้อมคำพูด
“ขึ้นไปก่อนแล้วกัน คุยธุระเสร็จเดี๋ยวเราตามไป”
เจตและเหมียวพยักหน้า แม้ว่าเจตเองจะแอบห่วงอยู่บ้างแต่ก็ไม่กล้าขัดเพราะเอมและพี่เขา รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กคงไม่มีอะไร
ขุนเขาลากเฌอเอมมาที่มุมอับของตึกคณะที่น้อยคนนักจะเดินผ่าน พอมาถึงก็เหวี่ยงร่างน้องไปชิดผนังทันที
“โอ้ย…เอมเจ็บเป็นนะ”
“เรื่องเมื่อวานได้ฟ้องพ่อหรือเปล่า”
“เรื่องอะไรคะ”
“อย่าทำเป็นโง่ หรือจะให้ทวนความจำ”
“พี่ขุนเขา!” เธอโพล่งเสียงออกมาดังพอประมาณ จนขุนเขาต้องหันหน้าหันหลังกลัวว่าคนจะมาเห็น จากนั้นก็สาวเท้าเข้าไปประชิดตัวน้องแล้วพูดขึ้น
“ถึงเธอจะฟ้องพ่อก็คงไม่มีประโยชน์ เพราะพ่อเธอใส่พานมาถวายฉันแล้วนิ”
“พี่จะพูดอะไรเกรงใจพ่อเอมบ้างนะ พ่อพี่ต่างหากที่เป็นคนขอเอมให้พี่”
“เหอะ เธอจะบอกว่าบ้านฉันอยากได้เธองั้นเหรอ หลงตัวเองหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ ฉันไม่อยากได้เธอสักนิด”
ไม่รู้ว่าจะตอกย้ำกันไปถึงไหน เฌอเอมรู้ดีว่าพี่ขุนเขาไม่เคยสนใจเธอแต่จะให้เธอทำอย่างไรได้ เพราะเรื่องนี้ผู้ใหญ่ต่างหากที่เป็นคนก่อ ส่วนเธอก็พึ่งรู้พร้อมเขา
“พี่จะมาพูดแค่นี้ใช่ไหม ถ้าพูดแค่นี้เอมขอตัว”
“เดี๋ยว” คราวนี้เฌอเอมต้องหยุดเท้านิ่ง เท้าที่เตรียมจะเดินสวนเขาไป สายตาของเธอตวัดมามองใบหน้าหล่อของขุนเขา รอฟังว่าพี่ชายข้างบ้านที่แสนใจร้ายคนนี้จะว่ายังไง สุดท้าย
“เรื่องที่เราเป็นคู่หมั้นกัน เธอไม่ต้องบอกคนอื่นหรอกนะ ไม่ต้องโฆษณา เพราะฉันเองก็ไม่ได้เต็มใจที่จะเป็น อีกอย่างฉันอายคนอื่น เธอเข้าใจที่ฉันพูดหรือเปล่า” ดวงตาที่ว่างเปล่าของขุนเขาที่มองใบหน้าของเฌอเอม มันยิ่งทำให้เฌอเอมรู้สึกว่าคนตรงหน้าไม่ให้ค่าเธอเลยสักนิด เขาบอกว่าอายคนอื่นที่จะได้เธอเป็นแฟน ประโยคนั้นมันบาดหัวใจสาวนน้อยเป็นอย่างมาก
“พี่ไม่ต้องห่วงหรอกเรื่องของเราคนทั้งมหาลัยไม่รู้แน่คะ”
“ดี!!”
เขาพูดแบบนั้นทำให้เฌอเอมต้องหลับตาค้อนจากนั้นก็เดินสวนออกไป ภายใจในรู้สึกอยากร้องไห้แต่ก็ต้องกลั้นไว้ก่อน จะมาอ่อนแอเพราะผู้ชายไม่เห็นค่าไม่ได้เด็ดขาด
หลังจากคุยกันแล้วต่างแยกย้าย วันนั้นทั้งวันทำเอาเฌอเอมต้องเหม่ออยู่บ่อยครั้ง ภายในใจของเธออยากจะบอกพ่อเหลือทนว่าให้ยกเลิกคำมั่นสัญญาพวกนั้นทิ้ง ทว่า เธอก็อดที่จะสงสารพ่อไม่ได้ เพราะบ้านป้ากิ่งมีพระคุณกับเธอจริงๆ
“เอม ตั้งแต่เช้าแล้วเราเห็นเหม่อตลอดเป็นอะไรหรือเปล่าแล้วพี่ปีสามเขามาคุยอะไรด้วย เป็นเรื่องไม่สบายใจเหรอ” ด้วยความที่เจตเป็นห่วงเลยตัดสินใจถาม เพราะเห็นว่าเฌอเอมนั่งเหม่ออยู่บ่อยครั้ง
“เปล่าหรอก เขาก็แค่แวะถามเรื่องทั่วไปกับเรา ก็บ้านเรากับบ้านเขาอยู่ติดกันนิ”
“แต่ เราก็ไม่เคยเห็นว่าเขาจะมาทักทายคุยด้วยสักครั้งนะ ที่ผ่านมา”
“ก็แม่พี่เขาฝากของมาให้เราไง”
เฌอเอมตัดบทลงเพราะไม่อยากให้เจตต้องซักอะไรมาก ส่วนเหมียวเพื่อนสาวอีกคนก็ทำเพียงแค่นั่งฟัง จากนั้นก็หันมามองหน้าเจตพร้อมกับสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามความงวยงง
หลังเลิกเรียนของวันนั้น ปกติทุกๆ วันจะเป็นเจตที่ต้องมาส่งเอมที่บ้าน อย่างที่รู้ว่ารถของเจตเข้าศูนย์ดังนั้นการกลับบ้านวันนี้เลยต้องพึ่งแท็กซี่ เพราะพ่อของเธอไม่มีเวลามารับ มีแค่มาส่งเพราะบ่ายของทุกวันก็ต้องไปเตรียมร้านกับลูกน้อง
เฌอเอมนั่งแท็กซี่มาลงที่หน้าบ้าน ไม่นานนักรถของขุนเขาก็ขับมาเป็นจังหวะที่เธอลงจากแท็กซี่พอดี แต่เชื่อไหมว่าสายตาของคู่หมั้นเธอไม่หันมามองเธอด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าเธอไปทำอะไรให้เขาเกลียดนักหนา แต่ก็นั่นแหละ เธอคิดแค่ว่าต่างคนต่างอยู่น่าจะดีกว่า
ขุนเขาเลี้ยวรถเข้าบ้าน เมื่อรถจอดสนิทก็เดินลงจากรถมุ่งหน้าเข้าบ้าน แต่แปลกที่วันนี้แม่ของชายหนุ่มไม่ได้เข้าบริษัทดังนั้นเสียงเรียกทักก็ดังขึ้น
“เขา….ไปตามน้องที่บ้านให้แม่หน่อยวันนี้แม่จะพาเอมทำกับข้าวมื้อเย็น”