เด็กสาวอายุแค่สิบเก้าเดินปาดน้ำตากลับมาที่โต๊ะ โดยคนที่นั่งอยู่ไม่รู้เลยว่า เฌอเอมไปทำอะไรถึงร้องไห้แบบนั้น
“เอมเป็นอะไรลูกร้องไห้ทำไม” เสียงที่เอ่ยถามอย่างนุ่มลึกของผู้เป็นพ่อ ทำเอาเธอต้องช้อนสายตาที่มีคราบน้ำตาอยู่ จากนั้นก็พูดเสียงอ่อย
“พ่อคะ เรากลับกันเถอะ มันดึกแล้ว” ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่นิกรก็ยอมกลับไป เพราะเห็นอาการลูกสาวคล้ายจะเป็นกังวลทุกข์ใจบางอย่าง แม้นว่าตนจะไม่รู้แต่ก็ต้องยอมกลับ โดยหันมาบอกกับเจ้าของบ้านที่เป็นทั้งเพื่อนและพี่ที่ตนนับถือมานาน
“พี่เมศงั้นผมขอตัวกลับนะครับ สงสัยว่ายายเอมจะไม่สบาย”
“เอ่อ กูก็ว่างั้นพาลูกกลับเถอะอยู่ๆ ก็ร้องไห้”
“หนูเอม หากเป็นมากโทรหาป้านะลูก”
“ค่ะ”
หลังจากที่เมศพูดแล้วกิ่งผู้เป็นภรรยาและเป็นทั้งเจ้าของบ้านก็พูดขึ้น ด้วยความเป็นห่วงในตัวของเด็กสาวคราวลูกที่ไร้แม่มาดูแลในยามที่โตเต็มสาว คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกหากเธอจะรักและเอ็นดูเฌอเอมเหมือนลูกสาวอีกคน
หลังจากที่เฌอเอมและพ่อกลับไปแล้ว ขุนเขาก็เดินออกมาจากทางหลังบ้านซึ่งเป็นจังหวะที่แม่กิ่งของเขาหันมาเจอพอดี และฉุกคิดขึ้นได้ว่า ที่เอมร้องไห้คงเพราะลูกชายตัวดีคนนี้
ไม่รอช้าที่จะลุกออกจากที่แล้วมุ่งหน้ามาทางลูกชายตัวแสบเจ้าปัญหา เมื่อแม่กิ่งสาวเท้ามาถึงก็หยุดต่อหน้าของขุนเขาทันที
“เขา เขาว่าน้องหรือเปล่าลูก ทำไมเอมถึงร้องไห้”
“แม่ครับผมจะไปรู้เหรอ ว่าเธอเป็นอะไร อีกอย่างแม่เห็นผมสนใจเด็กนั้นด้วยเหรอ”
มันก็จริงอย่างที่ลูกบอก แม้ว่าเด็กทั้งสองจะรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก แต่ลูกชายของตนก็ไม่เคยสนใจหรือเล่นกับหนูเอมเท่าไหร่นัก ยิ่งลูกพูดแบบนี้ก็ลดอาการสงสัยลงมาบ้าง ส่วนขุนเขาเมื่อบอกแม่แบบนั้นก็เดินมาที่โต๊ะที่ตนนั่งกับเรย์เหมือนเดิม
“มีอะไรหรือวะ” เป็นเรย์ที่ถามขึ้น ส่วนชายหนุ่มหน้าหล่อเจ้าของบ้านก็หันมาสบตาเพื่อนพร้อมคำพูดที่ไม่รู้ร้อนอะไร
“ไม่รู้ ยายเด็กเอมร้องไห้แม่กูเลยมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น กูจะไปรู้ได้ไงว่าเกิดอะไรขึ้น”
“เอ่อกูก็ว่าจะถามมึง เห็นเขาเดินปาดน้ำตามา เป็นจังหวะที่มึงเดินไป กูนึกว่ามึงทำอะไรเขาซะอีก”
“กูจะไปทำอะไร เด็กคนนั้นไม่อยู่ในสายตากูสักนิด”
พูดแบบนั้น ทั้งๆ ที่ใจรู้อยู่เต็มอกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สายตากับนิ่งเย็นชาไร้ความรู้สึกผิด
ส่วนเฌอเอมเธอกลับบ้านพร้อมพ่อแต่ก็ไม่ได้คุยหรือเล่าอะไรให้ผู้เป็นพ่อฟังว่าโดนพี่ว่ามา นิกรมองหน้าลูกสาวอยู่บ่อยครั้งมันอดที่จะถามไม่ได้ ก็อยู่ๆ ลูกสาวอันเป็นที่รักของตนก็ร้องไห้แบบไร้เหตุผล
“เอม หนูมีอะไรเล่าให้พ่อฟังไหมลูก” ในขณะที่ขายังไม่หยุดก้าวเดินหนุ่มใหญ่วัยกว่าห้าสิบก็ทักถามขึ้นด้วยความห่วงใย
“เปล่าค่ะ หนูรู้สึกปวดหัวเท่านั้นเอง”
“แน่ใจนะ”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
เธอหันมาตอบพร้อมรอยยิ้มที่แสนหวานแต่วาวตาของเธอมันแฝงด้วยความเศร้าที่ยากเกินจะหาคำตอบ เธอตอบพ่อแล้วก็ถามกลับไปอีก
“พ่อคะ ตั้งแต่เด็กจนโต หนูก็เห็นบ้านเราสนิทกับบ้านของลุงเมศตลอด จนกระทั่งแม่เสียเราก็ยังเข้าออกบ้านเขา แต่หนูรู้สึกว่าเราไปบ้านนั้นบ่อยเกินไปไหม”
ประโยคคำถามของลูกสาวทำเอานิกร ถอนหายใจดังเฮือกใหญ่ จากนั้นก็เดินมาจูงแขนลูกสาวให้ไปนั่งแล้วพูดบางอย่างให้ฟัง
“พ่อกับพี่เมศเราเรียนด้วยกันมาสนิทกันมาตั้งแต่สมัยเรียน แต่งงานก็พร้อมๆ กัน จนกระทั่งมีพวกหนูไล่ๆ กัน มันก็ไม่แปลกนิลูก”
“แต่ว่าช่วงหลังๆ มานี้ หนูเห็นพ่อไปที่บ้านนั้นบ่อยๆ อีกอย่างพ่อก็ชอบให้หนูไปหาป้ากิ่งทุกวันหยุด หนูกลัวว่า….”
“กลัวอะไร ป้ากับลุงเอ็นดูหนูเหมือนลูกสาว ยิ่งหนูไม่มีแม่ ป้ากิ่งเขาก็เป็นห่วง มีแค่นั้น อย่าคิดมาก”
แม้ว่าพ่อเธอบอกว่าอย่าคิดมากแต่มันอดคิดไม่ได้ เพราะคำพูดของพี่ชายที่เธอนับถือ เหมือนจะไม่อยากให้เธอกับพ่ออยู่ที่บ้านนั้น แค่พูดเธอก็รู้ได้ว่าเขาไม่ชอบหน้า แต่ไม่รู้ยังไง ทำไมพ่อต้องคอยให้เธอไปที่นั้นบ่อยๆ ด้วย
“เอาละ ตอนนี้ดึกมากแล้ว หากเอมไม่สบายก็ขึ้นไปนอนเถอะลูกพรุ่งนี้จะได้สดชื่น”
“ค่ะ” เธอตอบรับสั้นๆ จากนั้นก็เดินขึ้นชั้นบนของบ้าน ต้องทเท้าความกลับไปก่อนว่าเมื่อก่อนฐานะของบ้านเฌอเอมก็พอมีอยู่มีกินที่บ้านเธอทำธุรกิจร้านอาหาร เงินทองพอใช้จ่าย แต่ด้วยแม่ของเธอป่วยโรคร้ายมาหลายปีจึงทำให้การรักษาต้องใช้กำลังทรัพย์ เมื่อแม่เสียทุกอย่างเริ่มเปลี่ยน แต่เธอไม่รู้ว่ากำลังเกิดวิกฤตกับทางบ้าน และคนที่คอยช่วยหนุนหลังตลอดคือ ลุงเมศกับป้ากิ่ง