มือเรียวเอื้อมไปเปิดประตูร้านกาแฟเล็ก ๆ หน้ามหาวิทยาลัย พลางปรายตามองหาที่ว่าง อาจเป็นเพราะเวลานี้นักศึกษาส่วนใหญ่ยังมีเรียนอยู่ ภายในร้านเลยค่อนข้างเงียบ
“แก้ว ทางนี้” เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยเรียก เมื่อมติมนต์กันไปมองตามต้นเสียง เธอก็พบกับเจ้าของร่างสูงใหญ่สไตล์เดียวกับคิมหันต์ไม่มีผิด เสื้อสีแดงและโลโก้ที่ปักอยู่บนอกบอกให้รู้ว่าเขาเองก็คงจะเรียนคณะเดียวกัน
“โมนาจะเข้าไปนั่งด้วยกันไหม” แก้วเจ้าจอมหันมาเอ่ยถามทำให้เธอรีบปฏิเสธทันที
“ให้ฉันเข้าเป็นก้างขวางคอเหรอ ตามสบายเลย เดี๋ยวฉันรอข้างนอกละกัน”
“ขอบใจมากนะเพื่อนรัก” อีกฝ่ายกระพุ่มมือไหว้เธอตาปริบแล้วจึงหมุนตัวเข้าไปในร้าน ส่วนมติมนต์ก็แยกไปสั่งโกโก้เย็นหนึ่งแก้วเพื่อออกไปนั่งรอข้างนอก และตอนนั้นเองสายตาของเธอเหลือบไปเห็นป้ายรับสมัครพนักงานติดหราอยู่ตรงทางเข้า
“รับสมัครพนักงานพาร์ทไทม์ น่าสนใจแฮะ” รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าอย่างมีความหวัง เพราะเงินเก็บจากการทำงานตอนอยู่ต่างประเทศเริ่มร่อยหรอลงทุกที จะให้แบมือขอจากเมธัสตลอดเวลาก็คงจะเป็นไปไม่ได้ “ลองดูหน่อยดีกว่า”
ว่าแล้ว มติมนต์จึงหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรายละเอียดบนนั้นเอาไว้ รอจนแก้วเจ้าจอมเสร็จธุระเธอจึงรีบกลับไปขอความคิดเห็นจากเมธสอีกที ตอนแรกพี่ชายเหมือนจะไม่เห็นด้วยเพราะกลัวเธอจะแบ่งเวลาไม่ทัน แต่พอได้ฟังเหตุผลและข้ออ้างต่างๆ นานา ในที่สุดเขาก็ใจอ่อน แพ้ลูกอ้อนของเธอจนได้
เมื่อได้รับอนุญาตจากเมธัส มติมนต์ก็รีบรวบรวมเอกสารในการสมัคร คิดเอาไว้ว่าจะกลับไปสมัครด้วยตัวเองที่ร้านอีกครั้งในตอนบ่ายของอีกวัน เธอมีประสบการณ์เคยทำงานพาร์ทไทม์ที่ลอนดอนมาคงสมัครได้ไม่ยาก
“ทำไมวันนี้ไม่รอล่ะที่รัก” เสียงที่แสนคุ้นหูจนเธอไม่ต้องหันไปดูก็จำได้แล้วว่าต้องเป็นคิมหันต์ดังขึ้นในตอนที่กำลังจะขึ้นไปเรียนในตอนเช้า
“...” มติมนต์ทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงนั้น เธอเอาแต่ก้าวฉับ ๆ ขึ้นไปบนห้องทำให้คนที่เดินตามต้องคว้าแขนเธอเอาไว้ทำให้รีซูเม่และใบสมัครงานที่เธอเพิ่งจะพรินต์มาร่วงหล่นลงพื้น
“เลิฟเวอร์คาเฟ่” ร่างสูงหยิบใบสมัครขึ้นมาอ่านแล้วเงยหน้าขึ้นถามเธอ “นี่จะไปสมัครงานเหรอ”
“เรื่องของฉัน อย่ามายุ่ง”
เธอเน้นย้ำทุกคำพูดก่อนจะแย่งเอกสารจากมือเขากลับมา ตัดสินใจวิ่งขึ้นไปบนตึกก่อนจะทรุดกายนั่งลงเคียงข้างฟ้าลดาอย่างอารมณ์ดี
“ฟ้า...ฉันเอาแซนด์วิชมาฝาก พี่หมอกทำมาเผื่อน่ะ” เธอเอื้อมมือไปวางแซนด์วิชลงบนโต๊ะของฟ้าลดาแต่อีกฝ่ายกลับหยิบมันแล้วส่งคืนมาให้เธอ
“ฉันไม่หิว”
“ยัยฟ้าไม่หิว งั้นแกเอามาให้ฉันสองชิ้นเลยโมนา ฉันกินแทน” แก้วเจ้าจอมว่าพลางหยิบแซนด์วิชขึ้นมากัดกิน
ไม่รู้ว่าเธอคิดไปเองหรือเปล่าที่เห็นว่าฟ้าลดาดูเปลี่ยนไป ไม่ค่อยพูดจาตั้งแต่ตอนที่คิมหันต์มาส่งแล้วเปิดตัวเป็นแฟนกับเธอแล้ว
มติมนต์ได้แต่ครุ่นคิดอยู่ภายในใจ จะให้เอ่ยถามก็คงไม่กล้าเพราะฟ้าลดาจะมารู้สึกแบบนั้นกับเธอคงเป็นไปไม่ได้นอกจากว่าจะแอบชอบคิมหันต์เหมือนกัน
“โมนา เลิกเรียนแล้ว เธอจะไปไหนต่อหรือเปล่า ฉันว่าจะชวนแกกับยัยฟ้าไปดูหนังกันน่ะ” แก้วเจ้าจอมเอ่ยถาม แต่ยังไม่ทันจะอ้าปากตอบ ฟ้าลดาก็เอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“โมนาเขามีแฟนแล้ว เขาก็ไปกับแฟนสิ ไม่ต้องไปชวนหรอก เราไปกันสองคนก็ได้”
“เอ่อ...” คนถูกพูดถึงชะงัก พยายามอธิบายเหตุผลที่เธอไปไม่ได้ทันที “ฉันไปไม่ได้หรอก พอดีว่าฉันจะไปสมัครงานน่ะ”
“สมัครงานที่ไหนเหรอ” แก้วเจ้าจอมถามต่อ
“ก็เลิฟเวอร์คาเฟ่ไง เมื่อวานตอนฉันไปกับแก ฉันเห็นป้ายรับสมัครงานน่ะ คิดว่าจะลองไปสมัครดู”
“ดีเลย แกทำงานที่นั่น ฉันจะได้หาเรื่องไปหาพี่ภูบ่อย ๆ ” อีกฝ่ายคลี่ยิ้มอย่างดีใจต่างจากฟ้าลดาอย่างลิบลับ จากคนที่ชอบชวนคุยกลับดูเงียบผิดหูผิดตาไปอย่างเห็นได้ชัด
“อ้าวน้อง น้องคนที่มากับแก้วเมื่อวานใช่ไหม พี่จำได้” ภูเขาเอ่ยทักทายเมื่อเห็นเธอกลับมาอีกครั้ง “มีอะไรหรือเปล่า ลืมอะไรไว้เหรอ”
“เมื่อวานตอนมาหนูเห็นป้ายรับสมัครพนักงานน่ะค่ะ วันนี้หนูเลยมาสมัคร” นิ้วเรียวชี้ไปที่ป้ายด้วยความกระตือรือร้นอยากทำงาน
“อ้อ! พอดีพี่ชายของพี่เขาเพิ่งรับคนมาเมื่อเช้านี่เอง เสียใจด้วยนะน้องมาช้าไปนิดเดียว”
“ว่าไงนะคะ แล้วทำไมป้ายยังอยู่ล่ะ” มติมนต์ถามต่อทำให้ภูเขาต้องเดินไปแกะป้ายออกมาต่อหน้าเธอ
“พี่ลืมแกะน่ะ ขอโทษด้วยนะ”
“ค่ะ ไม่เป็นไร” หญิงสาวยิ้มเจื่อน ๆ แล้วจึงเดินคอตกออกจากร้านไป เข้าใจว่าเธอคงจะมาช้าไปจริง ๆ “พลาดจนได้สินะ”
มติมนต์พึมพำออกมาอย่างเซ็ง ๆ จ้องมองเอกสารที่อุตส่าห์เตรียมมาซะดิบดีก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“จริงสิ เราฝากเอกสารไว้ก่อนได้นี่ ถ้าเขาขาดคนค่อยติดต่อไปทีหลัง”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นใบหน้าอีกครั้งทำให้เธอรีบวิ่งกลับไปที่คาเฟ่แต่เมื่อมาถึงเธอกลับเห็นภูเขานำป้ายอันใหม่ขึ้นมาติดพร้อมกับร่างที่แสนคุ้นตากำลังยืนอยู่เคียงข้าง
“มึงทำให้กูต้องติดป้ายสองรอบเลยดูดิ”
“เออน่า พรินต์ติดใหม่ มันจะไปยากอะไรวะ” คิมหันต์ตบไหล่ภูเขาไว้พลางหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ “ขอบใจมากนะเว้ย ที่ช่วยหลอกยัยนั่นให้”
“ได้ข่าวว่ามึงตามจีบอยู่ ที่ไม่ให้มาทำร้านกูเพราะว่ามึงหึงเหรอวะ” ภูเขาเอ่ยถามโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่ามติมนต์กำลังแอบฟังอยู่ใกล้ ๆ และคำตอบที่ได้ยินจากปากคิมหันต์ก็ทำให้เธอถึงกับช็อกจนพูดอะไรไม่ออก
“หึงบ้าหึงบออะไร กูแค่แกล้งจีบ จะหลอกฟันยัยนั่นแล้วค่อยทิ้งต่างหาก”
“เพื่ออะไรวะ”
“ยัยนั่นมันทำน้องกูเจ็บปางตาย กูก็จะทำให้ยัยนั่นเจ็บเหมือนที่น้องกูเจ็บนั่นแหละ”
“นายหมายความว่ายังไงคิมหันต์” มติมนต์ก้าวเข้าไปในร้าน ปาเอกสารที่เตรียมมาใส่ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเต็มแรง ทำให้ภูเขาถึงกับลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่
“งานเข้าแล้วไอ้คิม มึงจัดการเองนะ กูขอตัวก่อน” ว่าแล้วเจ้าของร้านก็รีบโบกมือไล่พนักงานที่กำลังกวาดเตรียมปิดร้านเข้าไปข้างใน เมื่ออยู่กันตามลำพังมติมนต์จึงเอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้ง
“ตอบฉันมาสิ ว่าฉันไปทำอะไรให้นายไม่พอใจนักหนา นายถึงได้ตามจองล้างจองผลาญฉันแบบนี้ แล้วน้องชายนายเป็นใคร ฉันไปทำอะไรให้ ตอบฉันมาสิ”
“เธอจำไม่ได้จริง ๆ เหรอโมนา” คิมหันต์ไม่ได้ตอบคำถามนั้น แต่เขากลับยิงคำถามใส่เธอด้วยสีหน้าโกระเกรี้ยวอย่างเห็นได้ชัด
“นี่นายยังโกรธที่พี่หมอกรักษาน้องชายนายไม่ได้งั้นเหรอ”
“มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับหมอหมอกเลยโมนา ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะเธอคนเดียว!” ชายหนุ่มตวาดกร้าวก่อนจะออกแรงลากเธอตามไปที่รถที่จอดอยู่หน้าร้าน “ถ้าอยากรู้ก็ขึ้นมาสิ ไปดูให้เห็นกับตาว่าเธอทำอะไรไว้”
“ฉันไม่ไป” เธอปฏิเสธเสียงแข็ง ตอนนี้คิมหันต์กำลังเดือดจัด เธอแน่ใจได้ยังไงว่าถ้าไปกับเขาแล้วจะไม่เกิดอะไรขึ้นกับเธอ
“ถ้าไม่ไปแล้วเธอจะรู้ความจริงได้ไง ช่วยให้ความร่วมมือแบบที่ฉันไม่ต้องบังคับสักครั้งจะได้ไหม”
“แล้วถ้าฉันไป นายจะไม่ทำอะไรฉันใช่ไหม”
“เออ!” เขากระแทกเสียงใส่แบบไม่เต็มใจนัก เห็นดังนั้นมติมนต์จึงต้องขึ้นไปนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ของเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เธอเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าไปทำกรรมอะไรไว้ เขาถึงได้ตามราวีเธอไม่เลิกแบบนี้