บทนำ (1)

1945 คำ
ภายในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศเย็นเฉียบตกลงมากระทบกับผิวหนัง ร่างหนึ่งกำลังนอนแผ่หราอยู่บนเตียงแคบ ๆ พร้อมผ้ากั้นไว้ตั้งแต่อกไปถึงปลายเท้า เข็มปลายแหลมถูกจิ้มลงบนแผ่นหลังจนรู้สึกปวดจี๊ด ทำให้เธอต้องบีบมือหนาที่กำลังนั่งให้กำลังใจอยู่ข้าง ๆ ไว้แน่นด้วยความเจ็บปวด “ไม่เป็นไรนะ ฉันอยู่ตรงนี้ ไม่ต้องกลัว” เสียงนุ่มทุ้มกล่าวให้กำลังใจในขณะที่เขาประคองโอบศีรษะของเธอไว้ เวลาหลังจากนั้นไม่กี่นาที ความรู้สึกตั้งแต่เอวลงไปก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง เหลือแค่ดวงตากลมโตเท่านั้นที่ยังกลอกไปมาได้ วินาทีที่หางตาเหลือบไปเห็นหมอและพยาบาลกำลังประจำตำแหน่ง ความกลัวก็แล่นปราดเข้ามาอีกครั้งจนเธอต้องหันไปบอกหน้าคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ฉันกลัว...” “ไม่ต้องกลัวนะ ฉันจะอยู่เคียงข้างเธอตรงนี้เสมอ อดทนหน่อยนะ อีกแค่อึดใจเดียว” พูดจบเขาก็ประทับจูบลงบนหน้าผากกลมกลึงเพื่อให้กำลังใจ เธอไม่รู้เลยว่า ณ ตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเธอบ้าง หัวสมองเริ่มเบลอ ตาทั้งสองข้างเริ่มหนักอึ้งลง แต่มีอย่างหนึ่งที่ยังเหมือนเดิมคือเจ้าของฝ่ามือใหญ่ที่ยังจับมือเธอไว้แน่นไม่หายไปไหนเหมือนที่เขาสัญญาเอาไว้จริง ๆ “คลอดแล้วค่ะ น้องเป็นผู้ชายนะคะ” “อุแว้ อุแว้” เสียงหมอดังขึ้นตามมาด้วยเสียงทารกน้อยที่เพิ่งหลุดพ้นออกมาจากท้องของเธอก่อนที่หมอจะนำร่างเล็กมาวางไว้บนอก เป็นวินาทีแรกที่เธอได้เห็นหน้าเขา คนแปลกหน้าที่ซุกซ่อนอยู่ภายในท้องของเธอมาเก้าเดือน “ลูกแม่...” ตอนนั้นเองที่ดวงตาหนักมีน้ำหยดใสไหลล้นออกมา “ลูกคลอดแล้ว...ลูกของเราแข็งแรงดีโมนา...” เสียงนุ่มทุ้มยังดังกึกก้องอยู่ในหัวใจ ถึงแม้ว่าเราสองคนจะไม่ใช่คนรักกัน แต่เขาก็คือพ่อของลูกและคนที่ต้องรับผิดชอบกับความผิดพลาดครั้งนั้นตลอดไป ย้อนกลับไปเมื่อปีก่อน วันที่เธอตัดสินใจบินกลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ประเทศไทย จนทำให้เธอต้องกลายเป็นแม่คนตั้งแต่อายุเพียงยี่สิบปี กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ หิมะแรกของปีตกลงมาอย่างหนักทำให้การจราจรบนท้องถนนค่อนข้างล่าช้า เจ้าของดวงตาคู่สวยชะเง้อมองจากเบาะหลังเห็นว่ารถยังไม่ขยับไปไหน เธอจึงทิ้งตัวพิงเบาะอีกครั้งด้วยใบหน้าที่แสนจะเบื่อหน่าย “อีกนานไหมคะพ่อ มินนี่ปวดฉี่” น้องสาวต่างพ่อที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เอ่ยถาม ใบหน้าที่ขาวจัดตามแบบฉบับลูกครึ่งยุโรปเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเชอร์รี่ในขณะที่เจ้าตัวเริ่มนั่งไม่ติดเพราะปวดจนแทบทนไม่ไหว “แม่ว่าน่าจะอีกนานเลยล่ะจ่ะ” เมษา ผู้เป็นแม่หันมาตอบ สีหน้าเธอดูกังวลอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเห็นมินนี่เริ่มนั่งไม่ติด “โมนา ช่วยน้องหน่อยสิลูก” “จะให้หนูช่วยยังไงคะแม่” มติมนต์ ลูกติดจากสามีคนไทยเอ่ยถาม สีหน้าของเธอดูไม่ค่อยชอบใจน้องสาวคนนี้เสียเท่าไหร่ “แถวนี้ไม่มีห้องน้ำนะคะ” “เอานี่ไปแทนก็แล้วกัน” ไมเคิลตะคอกเสียงดังแล้วโยนกล่องข้าวที่เพิ่งจะทานหมดไปวางแหมะลงบนตักเธอ “จะให้มินนี่ฉี่ในนี้เหรอคะพ่อ” มินนี่ถามกลับไปเป็นภาษาอังกฤษทำให้ไมเคิลที่กำลังหงุดหงิดต้องหันมาตะคอกเสียงดังอีกครั้ง “แค่วางก้นของเธอลงบนกล่องนี่ มันจะยากอะไร” “โมนาจัดการให้น้องหน่อยสิ” เมษาหันมาสั่งอีกครั้งทำให้มติมนต์ต้องช่วยน้องสาวถอดกางเกงแล้วขยับก้นเธอให้ตรงกับกล่องก่อนจะรีบปิดฝาเพื่อปกปิดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ “อ่ะนี่ ของของเธอ เก็บไว้ให้ดี ถึงบ้านแล้วรีบจัดการซะด้วย” หญิงสาวส่งกล่องนั้นกลับคืนให้มินนี่เป็นคนเก็บ จากนั้นเธอจึงขยับไปนั่งพิงประตูรถ ทอดสายตามองออกไปยังทิวทัศน์ข้างนอกด้วยสีหน้าที่แสนจะเบื่อหน่าย นับตั้งแต่วันที่เมษาตัดสินใจหย่าร้างกับภากรผู้เป็นพ่อ เธอกับเมธัส พี่ชายก็ต้องแยกจากกันไปอยู่คนละที่โดยที่เมธัสเลือกที่จะแยกไปอยู่กับพ่อ ส่วนเธอก็ถูกผู้เป็นแม่ลากมาใช้ชีวิตต่างแดนตั้งแต่อายุเก้าขวบจนแต่งงานใหม่กับไมเคิลและมีน้องสาวตาน้ำข้าวอย่างมินนี่มาอีกคน การใช้ชีวิตในต่างแดนก็ถือว่าไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แต่ดูเหมือนว่าพักหลังมานี้ทุกอย่างกลับยิ่งแย่ลงเพราะไมเคิลดันตกงาน จนต้องประกาศขายบ้านแล้วย้ายมาอยู่ชานเมืองแทน พอทุกอย่างเริ่มแย่ลง ในสายตาพ่อเลี้ยง มติมนต์จึงรู้สึกว่าเธอเป็นแค่ส่วนเกินที่เขาไม่ต้องการเท่านั้น “ฉันว่าเราต้องคุยเรื่องมหาวิทยาลัยของเธอใหม่แล้วล่ะโมนา” ไมเคิลเปิดประเด็นสนทนาขึ้นหลังจากที่กลับมาถึงบ้านทำให้มติมนต์ต้องหยุดชะงัก ถึงจะรู้คำตอบอยู่แล้วเธอก็ยังจะเอ่ยถามออกไป “ทำไมล่ะคะ” “ฉันว่าเธอหยุดเรียนก่อนเถอะ ค่าเทอมที่นั่นแพงเกินไป” “แต่หนูสอบติดแล้วนะคะ” หญิงสาวโอดครวญ เมื่อคุยกับพ่อเลี้ยงไม่สำเร็จ เธอจึงหันไปขอร้องเมษาแทน “แม่คะ แม่ก็รู้ว่าหนูอยากเรียนออกแบบ...” “โมนาต้องเข้าใจนะลูกว่าบ้านเราไม่เหมือนแต่ก่อน ข้อนี้แม่เห็นด้วยกับพ่อเขานะ หยุดเรียนก่อนสักปีแล้วเราค่อยว่ากันใหม่เผื่ออะไรมันจะดีขึ้น” “แล้วมินนี่ล่ะคะ โรงเรียนของมินนี่แพงกว่าของหนูอีกทำไมแม่ไม่ให้มินนี่ลาออกหรือย้ายโรงเรียนบ้าง” มติมนต์บุ้ยปากไปทางน้องสาว เห็นได้ชัดว่าความรักจากผู้เป็นแม่ที่มีต่อเธอเริ่มลดน้อยลงนับตั้งแต่วันที่มินนี่เกิดมา “ก็น้องยังเด็ก ลาออกตอนนี้จะไปเรียนทันเพื่อนได้ยังไง” “แล้วทำไมแม่ไม่ส่งหนูกลับไปอยู่กับพ่อกับพี่หมอกล่ะคะ” เธอเอ่ยถามพร้อมกับน้ำตาที่ไหลรื้นออกมา “แม่ให้โมนาไปไม่ได้ แม่ตกลงกับพ่อ...” “ถ้าแกหาเงินค่าตั๋วเครื่องบินได้ แกก็ไปเลย ฉันจะได้ไม่ต้องมารับผิดชอบเห็บหมัดอย่างแกอีก” ยังไม่ทันที่เมษาจะพูดจบ ไมเคิลก็สวนขึ้นมา คำพูดที่เขาใช้เรียกเธอทำให้มติมนต์จุกจนพูดอะไรไม่ออก “หนูเข้าใจแล้วล่ะค่ะ หนูเข้าใจแล้ว” หญิงสาวพักหน้าหงึกเหมือนเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่าง เมื่อไม่มีเงินในสายตาของพ่อเลี้ยงเธอมันก็แค่ส่วนเกินเหมือนที่คิดไว้ไม่มีผิด “จะไปไหน โมนา...” เมษาเอ่ยเรียกแต่ลูกสาวกลับหยิบข้าวของของตัวเองแล้ววิ่งขึ้นไปยังห้องใต้หลังคา ซึ่งเป็นห้องนอนแคบ ๆ ที่ไมเคิลดัดแปลงเอาไว้ในเธอใช้ซุกหัวนอน “ฮึก...ฮือ...” ดวงตาคู่เศร้าเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย ตอนนี้หิมะตกจนมองอะไรแทบไม่เห็น ไม่ต่างไปจากอนาคตของเธอเลยสักนิด ครืด... เสียงสมาร์ตโฟนรุ่นเก่าดังขึ้นทำให้มือเรียวรีบปาดเช็ดน้ำตาออก พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติมากที่สุดเมื่อเห็นว่าเมธัสวิดีโอคอลเข้ามา “พี่หมอก” (ไงโมนา สบายดีหรือเปล่า หายหน้าไปเลย) คนที่อยู่ในจอโบกไม้โบกมือด้วยความดีใจ “พอดีโมนาต้องย้ายบ้านน่ะค่ะ ก็เลยไม่ได้ติดต่อพี่หมอกไป” (ย้ายบ้านอีกแล้วเหรอ ทำไมแม่ถึงย้ายบ่อยนักล่ะ) เมธัสเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “ย้ายหนีเจ้าหนี้น่ะค่ะ ถังแตกก็แบบนี้แหละ ว่าแต่พี่หมอกล่ะคะ สบายดีไหม ทำไมที่บ้านคนเยอะจัง” มติมนต์เอ่ยถามเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นผู้คนมากมายกำลังนั่งอยู่เต็มบ้าน (ญาติ ๆ น่ะ เขามาทำบุญให้พ่อ) “ทำไมต้องทำบุญให้ล่ะคะ พ่อเป็นอะไร” คำถามของคนที่เติบโตมาต่างวัฒนธรรมอย่างน้องสาวทำให้เมธัสนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจก่อนจะบอกความจริงออกมา (พ่อเสียแล้วโมนา) “ว่ายังไงนะคะ เสียแล้วเหรอ เมื่อไหร่คะ ทำไมพี่หมอกไม่บอกโมนาเลย ฮือ...” มติมนต์สะอื้นหนัก น้ำตาที่แห้งเหือดไปไหลรื้นขึ้นมาอีกครั้ง ถึงจะไม่ได้เติบโตมาด้วยกันแต่สายเลือดมันก็ต้องผูกพันเป็นธรรมดาอยู่แล้ว (เสียอาทิตย์ก่อนน่ะ พี่ไม่ได้โทรบอกกลัวโมนาทำใจไม่ได้) “พ่อ...ฮือ...โมนายังไม่ได้กลับไปไหว้พ่อสักครั้งเลย ทำไมพ่อมาด่วนจากไปแบบนี้” (ไม่เป็นไรหรอก เอาไว้โมนากลับมาพี่จะพาไปไหว้พ่อที่วัดนะ) เมธัสพยายามปลอบใจน้องสาวซึ่งประโยคนั้นเองที่ทำให้มติมนต์นึกบางอย่างขึ้นมาได้ “จริงด้วยพี่หมอก...โมนาอยากกลับบ้าน พี่หมอกช่วยโมนาหน่อยได้ไหม โมนาไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว” (ทำไมล่ะโมนา เห็นว่ากำลังเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้วนี่) “ไมเคิลให้โมนาหยุดเรียนค่ะ เขาบอกไม่มีเงิน โมนาอยากกลับไปเรียนที่ไทย พี่หมอกช่วยโมนาหน่อยนะคะ” (ทำไมจะช่วยไม่ได้ล่ะ ถ้าโมนาอยากมาพี่ก็ยินดี แต่เอาให้แน่ใจนะว่าแม่จะยอมหรือเปล่า) “ต้องยอมอยู่แล้วค่ะ” สีหน้าของเธอแปรเปลี่ยนไปจากเดิมทันทีเมื่อนึกถึงผู้เป็นแม่ ไมเคิลว่ายังไงเมษาก็ว่าตามไปหมดทุกเรื่อง (แล้วโมนาจะเอายังไงต่อ ให้พี่ช่วยอะไรหรือเปล่า) “โมนาคิดว่าจะย้ายออกจากบ้านค่ะ โมนาจะไปทำงานเก็บเงินสักระยะเอาไว้เป็นค่าตั๋วแล้วก็ค่าเทอม จะได้รีบบินกลับไปไทย” มติมนต์ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวด้วยสายตามุ่งมั่น (ถ้าโมนาคิดดีแล้วพี่ก็เอาใจช่วยนะ ขาดเหลืออะไรก็โทรมา อย่าเงียบหายไปเด็ดขาด พี่เป็นห่วง) เมธัสปลอบใจด้วยความรู้สึกเป็นห่วงน้องสาวด้วยใจจริง “ขอบคุณมากนะพี่หมอก ส่วนเรื่องพ่อ โมนาเสียใจจริง ๆ ที่ไม่ทันกลับไปบอกลาเป็นครั้งสุดท้าย” (ไม่เป็นไรหรอก เอาไว้โมนากลับมา พี่จะพาไปหานะ) (พี่หมอกคะ คุณแม่ให้มาตามค่ะ) เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมาทำให้เมธัสต้องรีบขอตัววางสายไป (พี่ไปช่วยงานก่อนนะโมนา) “ค่ะพี่หมอก” มติมนต์กดวางสายไป เมื่อตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวแล้วเธอจึงรีบถลาลงจากเตียงเพื่อเก็บเสื้อผ้ายัดใส่ในกระเป๋าทันทีเพื่อต้องการออกไปเริ่มต้นชีวิตใหม่เพียงลำพัง มาแล้วค่าา เห็นยอดกดติดตามแล้วทนไม่ไหว ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทุกการติดตามเลยนะคะ ออกตัวก่อนว่านี่เป็นเรื่องแรกที่เขียนแนววิศวะ ผิดพลาดตรงไหน คอมเมนต์ติชม เป็นกำลังใจได้นะคะ จะพยายามทำให้ดีที่สุด ฮึบบบบ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม