อ่านหนังสือเตรียมสอบจนเบื่อ บุปผาสวรรค์ก็โทรศัพท์ไปเรียกลูกน้องให้มาปรึกษาหารือเรื่องการแข่งขันประกวดม้างามประจำปีที่จะจัดขึ้นในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า ซึ่งมีการจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ทุกปี ส่วนมากก็จะเป็นฟาร์มใหญ่ๆ ที่ส่งม้างามเข้าประกวด
แชมป์ในปีที่แล้วก็คือเจ้าเดวิลจอมหยิ่งของพ่อเลี้ยงบัลลังก์เมฆ เธอชวดได้มันไปเป็นพ่อพันธุ์เพราะไม่กล้าเข้าไปเจรจากับอีกฝ่าย ด้วยกลัวว่าถ้ามีโอกาสได้เผชิญหน้ากันอีกครั้งเขาจะล่อลวงและทำอะไรบ้าๆ กับเธอเช่นเมื่อหลายวันก่อน ฉะนั้นเธอจึงตัดสินใจเอาม้าหนุ่มที่ดีที่สุดในคอกตัวเองเป็นคู่ตุนาหงันให้นังแองจี้แทน แต่บุปผาสวรรค์จะไม่ยอมให้ม้าของตนแพ้เจ้าเดวิลเป็นอันขาด เธอจะหาทางเอาชนะม้าของบัลลังก์เมฆให้จงได้ มันต้องมีสักทางสิน่าที่จะกำชัยในศึกแห่งศักดิ์ศรีครั้งนี้ เพียงแต่เธอยังคิดไม่ออกเท่านั้นเอง
คุยกันไปคุยกันมาแม่สาวแสบก็ชักชวนลูกสมุนลักลอบเข้าไปยังคอกม้าของไร่แดนสรวง ซึ่งไม่ว่าสองแฝดจะห้ามปรามยังไงคนหัวรั้นก็ไม่ฟังท่าเดียว
คอกม้าของไร่แดนสรวงมีลักษณะการจัดสรรพื้นที่คล้ายกับคอกม้าของไร่หวานใจ คือมีการจัดโซนม้าแต่ละสายพันธุ์และแต่ละรุ่นไว้อย่างชัดเจน โดยจะแบ่งซอยพื้นที่ให้ม้าแต่ละตัวอยู่แยกกัน ยกเว้นม้าแม่ลูกอ่อน ซึ่งม้าตัวเมียจะถูกแบ่งออกจากม้าตัวผู้ เพื่อป้องกันเวลาเกิดอาการติดสัด เพราะม้าจะควบคุมอารมณ์ไม่ได้ บางทีฝ่ายหนึ่งก็อยากจะวิ่งเข้าใส่ในขณะที่อีกฝ่ายไม่พร้อมที่จะเล่นด้วย นำมาซึ่งการทำร้ายกันจนได้รับบาดเจ็บ ฉะนั้นนอกจากจะแบ่งโซนอย่างชัดเจนก็ยังมีการกั้นบริเวณอย่างแน่นหนากันม้าหลุดออกจากคอก ผนังกั้นระหว่างคอกม้าจะมีลักษณะทึบเพื่อป้องกันไม่ให้ม้าที่อยู่ใกล้เคียงกันทำร้ายกันเอง แต่มีการระบายถ่ายเทอากาศได้อย่างสะดวก หลังคามุงด้วยสังกะสีซึ่งเป็นวัสดุที่ใช้งานได้ยาวนานและทนทาน มีการจัดสรรพื้นที่สำหรับเก็บหญ้าแห้งและฟาง และมีร่องน้ำท้ายคอกม้าเพื่อระบายน้ำออกสู่บ่อพักน้ำเสีย เรียกได้ว่าทุกอย่างถูกสุขลักษณะและได้มาตรฐาน
ม้าของที่นี่มีหลากหลายสายพันธุ์ ซึ่งล้วนเป็นสายพันธุ์ที่ติดอันดับม้าสวยที่สุดในโลกสิบอันดับแรก ไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์แอนดาลูเซียจากประเทศสเปน ฟรีเชียนจากประเทศฮอนแลนด์ อาระเบียนและร็อกกี้เมาน์เทนจากสหรัฐอเมริกา และยิปซีแวนเนอร์จากประเทศอังกฤษ
ม้าเป้าหมายอย่างเจ้าเดวิลจอมหยิ่งเป็นม้าในสายพันธุ์ฟรีเชียน ซึ่งทางไร่หวานใจนั้นก็มี เพียงแต่ความสวยงามเทียบไม่ติดกับเจ้าเดวิล
บรรยากาศในคอกม้าในยามเย็นช่างวังเวงยิ่งนัก ทำเอาคนที่เดินย่องอย่างระมัดระวังไปตามทางคอนกรีตซึ่งลาดยาวระหว่างคอกม้าสองฝั่งถึงกับหายใจไม่ทั่วท้อง
“ลูกพี่ แน่ใจนะว่าเราจะไม่ถูกจับได้อีก” มะดันเอียงหน้ามากระซิบถามด้วยท่าทางขลาดๆ เพราะใครๆ ก็รู้ว่าพ่อเลี้ยงบัลลังก์เมฆขึ้นชื่อในความโหด ดิบ เถื่อน เป็นที่สุด แถมเขายังรักและหวงม้าคู่ใจยิ่งกว่าอะไรดี ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าอีกฝ่ายจับได้มันจะเป็นเช่นไร
“ไม่หรอกน่า เรามาจนจะมืดขนาดนี้ คนแถวๆ คอกม้าคงไม่มีแล้วล่ะ” บุปผาสวรรค์เอ่ยเป็นเชิงยืนยันให้ลูกสมุนได้มั่นใจด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แต่ใจดวงน้อยก็อดเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ไม่ได้
“มะเดี่ยวว่าเรากลับตอนนี้ก็ยังทันนะลูกพี่ เจ้าเดวิลมันเป็นม้าตัวโปรดของพ่อเลี้ยงเมฆ ถ้าเขารู้ว่าเรามายุ่งกับม้าของเขาล่ะก็ เราตายแน่ๆ”
“ฮึ่ย…ไม่ตายหรอกน่า ฉันเห็นอีตาลุงนั่นขับรถออกจากไร่ตั้งแต่ตอนบ่ายแล้ว” หัวโจกตัวแม่เอ่ยคล้ายรำคาญกับอาการกลัวเกินเหตุของสองพี่น้อง
“ถ้าอย่างนั้นก็ค่อยยังชั่วหน่อย งั้นเรารีบไปจัดการแล้วกลับกันเถอะลูกพี่” หลังจากถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอกมะเดี่ยวก็เอ่ยเร่งเร้า
จากนั้นทั้งสามก็แยกย้ายกันสอดส่ายสายตาหาเจ้าเดวิลจอมหยิ่ง ม้าตัวโปรดของเจ้าของไร่แดนสรวง พากันเดินผ่านม้าเกือบร้อยตัวด้วยหัวใจระทึก ม้าบางตัวที่นอนอยู่ผงกหัวขึ้นมามองผู้บุกรุกอย่างเกียจคร้านก่อนจะลดหัวลงนอนดังเดิม บางตัวก็เคี้ยวฟางในปากช้าๆ คล้ายละเลียดรสชาติไปเรื่อยๆ บ้างเอาหางตวัดไปมาไล่แมลงอย่างไม่สนใจว่าจะมีใครมาเยือน ส่วนม้าน้อยก็นอนหลับปุ๋ยซุกอกแม่
ทั้งสามแยกย้ายกันตามหาเจ้าเดวิลแบบทำเวลาสุดๆ แต่ไม่ถึงกับทำให้ม้าแตกตื่น โดยไม่รู้ว่าทุกการกระทำได้ตกอยู่ในสายตาของใครบางคน
“เจอแล้วลูกพี่ ทางนี้ลูกพี่” มะเดี่ยวเอ่ยอย่างตื่นเต้นเมื่อได้เห็นม้างามเบอร์หนึ่งของไร่แดนสรวงเต็มๆ สองลูกตา แน่ใจว่าไม่ผิดตัวแน่เพราะเขาเคยเห็นมันในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นมาแล้วหลายครั้ง
จากนั้นไม่นานทั้งสามทโมนก็มายืนจ้องม้าหนุ่มอย่างอึ้งๆ อยู่ห่างๆ เพราะไม่คิดว่าตัวจริงของมันจะสวยงามขนาดนี้ เจ้าเดวิลเป็นม้าหนุ่มรูปร่างสง่างาม มีขนสีดำที่เป็นประกายมันวาว ร่างกายกำยำล่ำสันทำให้มันดูทรงพลังผสานน่าเกรงขาม มีกล้ามเนื้อที่เห็นเด่นชัด และแผงคอยาวหยักศกสลวยสวยเก๋ ส่งผลให้มันเป็นม้าที่ดูเท่ สมาร์ท และหล่อกระชากใจไม่แพ้ม้าหนุ่มตัวใดในโลก
“จะทำยังไงถึงจะเอาชนะเจ้าเดวิลได้นะ” สาวน้อยเอ่ยออกมาพร้อมขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะขยับออกมายืนมองเจ้าเดวิลอยู่ห่างกว่าเดิม ด้วยเกรงว่าเจ้าม้าจอมหยิ่งจะส่งเสียงเพราะเจอคนแปลกหน้า
“ก็คงยากหน่อยแหละลูกพี่ เจ้าเดวิลมันออกจะหล่อเหลาและสง่างามไปทุกกระเบียดนิ้วขนาดนี้ ม้าเราคงแพ้ราบคาบ” มะเดี่ยวเอ่ยไปตามเนื้อผ้า แต่ทำเอาอีกฝ่ายค้อนจนตาคว่ำ
“ใช่ๆ ยิ่งมองใกล้ๆ ยิ่งสมบูรณ์แบบไปหมด” มะดันเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
เจ้าม้าจอมหยิ่งเหมือนจะรู้ว่าทั้งสามกำลังพูดถึงมัน เพราะมันจ้องทุกคนตาไม่กะพริบ ก่อนจะทำเสียงฮึดฮัดขึ้นจมูกข่มขู่ แต่ดีหน่อยที่มันยังไม่ร้องออกมา
“ยังไงฉันก็จะต้องชนะ” บุปผาสวรรค์เอ่ยอย่างมุ่งมั่นสุดๆ นั่นเป็นเพราะว่าเมื่อวันก่อนพ่อมาเล่าให้ฟังว่าเงินรางวัลสำหรับคนชนะการประกวดม้าในครั้งนี้มีมูลค่าสูงถึงหนึ่งแสนบาท ซึ่งถ้าเธอกลายเป็นผู้ชนะเงินจำนวนนี้จะทำให้เธอสามารถเอาไปทำทุนเปิดร้านซ่อมเล็กๆ ได้อย่างสบายแบบไม่ต้องพึ่งพ่อ
“อยากรู้ไหมล่ะ ว่าจะเอาชนะเจ้าเดวิลได้ยังไง” น้ำเสียงกระด้างที่ดังแทรกขึ้นทำให้สามทโมนต่างพากับตัวแข็งทื่อ กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ก่อนจะค่อยๆ หันกลับมาหาผู้มาใหม่ด้วยใบหน้าเผือดสี
“เอ่อ…เราแค่เข้ามาดูมันเฉยๆ นะน้า สาบานว่าไม่ได้ทำอะไรมันเลยจริงๆ” หัวหน้าแก๊งเป็นคนเอ่ยละล่ำละลักถึงความบริสุทธิ์ใจของทั้งสาม เพราะเธอไม่ได้คิดจะทำอะไรเจ้าเดวิล ก็แค่อยากจะเข้ามาดูใกล้ๆ ว่ามันมีลักษณะงดงามตรงส่วนไหนบ้างผู้คนถึงได้ล่ำลือนัก
“ข้าก็ยังไม่ได้ว่าอะไรนี่ ว่าแต่เอ็งอยากจะเอาชนะเจ้าเดวิลจริงๆ หรือเปล่านังหนู” ท้ายประโยคชายรูปร่างสันทัดผิวดำใส่หมวกบดบังใบหน้ากว่าครึ่งเอ่ยเหมือนชวนคุย
“อยากสิน้า ไม่งั้นพวกฉันคงไม่แอบเข้ามาดูเจ้าเดวิลหรอก” สาวน้อยเอ่ยตอบอย่างกระตือรือร้น เพราะคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นคนดูแลม้า และหากเป็นเช่นนั้นผู้ชายแปลกหน้าคนนี้คงมีคำแนะนำดีๆ ให้เธออย่างแน่นอน
“งั้น…เอานี่ไป” ชายวัยกลางคนที่อยู่ในคราบของคนงานเอ่ยพลางยื่นห่ออะไรบางอย่างให้เธอ บุปผาสวรรค์รับมาก่อนจะรีบคลี่ผ้าสีเข้มออก แล้วเจอกับผงสีขาวที่ถูกบรรจุด้วยซองพลาสติกเล็กๆ
“มันจะดีเหรอลูกพี่ ไปรับของจากคนแปลกหน้าแบบนั้น”
“นั่นดิ” สองพี่น้องต่างกระซิบกระซาบเตือน
“เชื่อมือเถอะน่า” สาวน้อยพยักหน้าเบาๆ ให้สองแฝด แล้วหันไปถามคนที่เอาซองปริศนาให้ด้วยท่าทางไม่ไว้ใจ “อะไรเนี่ยน้า อย่าบอกนะว่ายาพิษ”
“เอ๊ะ…นังเด็กนี่! พูดอะไรไม่เข้าท่าวะ ข้าจะเอายาพิษให้เอ็งทำไม นั่นน่ะมันเป็นยาที่ทำให้ม้าอ่อนแรงโว้ย” เจ้าของห่อผ้าเผลอขึ้นเสียงด้วยความลืมตัว ก่อนจะรีบตีหน้านิ่ง
“แล้วม้าจะเป็นอะไรมากไหม”
“ไม่เป็นอะไรมากหรอก ก็แค่อ่อนแรง จากนั้นอีกไม่เกินสามวันก็หายเป็นปกติ” คนถูกถามเอ่ยอย่างมั่นใจ ก่อนจะลอบยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าเบิกบานของบุปผาสวรรค์
“แล้วมันใช้ยังไงน้า” เธอเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ พลางพลิกซองพลาสติกใสๆ ที่บรรจุผงสีขาวไปมา แต่ก็ไม่พบฉลากยา หรือคำบรรยายสรรพคุณใดๆ ทั้งสิ้น
“ง่ายๆ แค่เอายานี่ผสมน้ำ แล้วเอาแอปเปิ้ลมาแช่น้ำยา จากนั้นก็เอาไปให้ม้ากิน ต้องเป็นแอปเปิ้ลเท่านั้นนะเพราะเจ้าเดวิลมันชอบกินแอปเปิ้ล” คนรู้มากเอ่ยย้ำให้เธอได้จำขึ้นใจ
ครั้นได้ยินคำว่า ‘แอปเปิ้ล’ เธอก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะรู้ดีว่าม้าจะกินอาหารหยาบซึ่งก็คือหญ้าสด ฟาง หญ้าแห้ง ต้นข้าวโพด ต้นกล้วย และอาหารข้น ซึ่งก็คืออาหารเม็ดที่มีการเสริมคุณค่าทางอาหาร ก่อนจะคิดขึ้นได้ว่าเธอเคยอ่านเจอในหนังสือซึ่งตีพิมพ์งานวิจัยชาวยุโรปท่านหนึ่งว่าบรรพบุรุษของม้ากินผลไม้เป็นอาหาร เพราะลักษณะโครงสร้างฟอสซิลฟันของม้าที่ค้นพบในสมัยโบราณบ่งชี้ว่าบรรพบุรุษของม้ามีลักษณะฟันตัด ซึ่งมีพัฒนาการต่ำกว่าจะตัดหญ้าได้ นำมาสู่ข้อสรุปที่ว่าม้าน่าจะเป็นสัตว์ที่กินผลไม้เป็นหลัก ก่อนจะมีวิวัฒนาการที่ทำให้ม้าสามารถกินพืชได้ ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่เจ้าเดวิลจะกินทั้งพืชและผลไม้
“น้าแน่ใจนะว่าม้าจะไม่เป็นอะไรมากกว่าอ่อนเพลียไม่มีแรง” หญิงสาวเอ่ยถามย้ำอย่างกังขา ไม่อยากจะเชื่ออะไรคนแปลกหน้ามาก แต่ใจหนึ่งก็อยากจะลองเสี่ยงดูสักครั้ง
สาวน้อยมัวแต่เพ้อฝันถึงชัยชนะ โดยลืมเอะใจไปเสียสนิทว่าถ้าอีกฝ่ายเป็นคนดูแลม้าจริงๆ แล้วจะกล้าเอายามาทำร้ายม้าที่ตัวเองดูแลได้อย่างไร ถึงแม้ว่ายานั้นจะไม่มีผลกระทบร้ายแรงก็ตาม
“เชื่อข้าเถอะน่า ข้าดูแลม้ามาตั้งแต่ก่อตั้งไร่ใหม่ๆ ไม่พลาดแน่นอน” เสียงเข้มๆ เอ่ยย้ำอย่างหนักแน่น ทำให้สาวน้อยคลี่ยิ้มบางๆ ด้วยความสมใจ ฝันของเธอกำลังจะเป็นจริงแล้ว
“ขอบใจมากนะน้า พวกเราไปล่ะ เดี๋ยวมีคนมาเห็น” หลังจากยัดห่อยาใส่กระเป๋ากางเกง บุปผาสวรรค์ก็ส่งยิ้มสดใสให้คนที่เธอมองหน้าไม่ถนัดตลอดการสนทนา ก่อนจะชักชวนลูกสมุนย่องออกจากคอกม้า แล้วรีบแจ้นกลับไร่หวานใจ โดยไม่รู้ว่ามีใครบางคนแอบยิ้มเหี้ยมอยู่ทางเบื้องหลัง