“องค์ชายห้า ถ้าท่านพาเทาจินออกนอกวังเมื่อไร ท่านต้องเรียกข้าไปด้วยนะ ข้าอยากเห็นตอนมันวิ่ง” อวี้เม่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงร่าเริงต่างจากอารมณ์เมื่อตอนสายอย่างสิ้นเชิง ทำให้องค์ชายห้ารู้สึกโล่งใจเเละเผลอยิ้มไปกับนางด้วย
“ไม่แทนตัวเองว่า...หม่อมฉันแล้วเหรอ”
เหมือนอวี้เม่ยจะเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอใช้คำพูดครั้นตอนยังเด็กไปเสียแล้ว นางเหลือบมององค์ชายห้า “ท่านคงจะไม่ไปเอาไปฟ้อง...”
“ไม่รับปาก”
อวี้เม่ยกะพริบตาปริบๆ ต้องโดนกงกงบ่นหูชาแน่ แต่เดี๋ยวก่อน...ข้าไม่ได้อยากอยู่วังหลวงอยู่แล้ว ไม่ได้อยากแต่งกับหวงไท่จื่อ แล้วทำไมข้าจะต้องรักษากฎด้วยล่ะ ทำตัวดีอยู่แต่ในกรอบระเบียบ ไม่เคยคิดร้ายต่อใคร ยังถูกใส่ความเสียได้ เป็นเด็กดีจะมีประโยชน์อะไรเล่า
“งั้นต่อไปนี้ จะไม่มีคำว่าหม่อมฉัน มีแต่ข้ากับองค์ชายห้า” อวี้เม่ยเดินเข้ามาใกล้ พลางยื่นหน้าเข้ามา “หรือจะให้เรียกอ้ายฉิง”
องค์ชายห้าหัวเราะลั่น ตลกกับท่าทางของนางที่พยายามแกล้งให้เขาเขิน ถึงทั้งคู่จะสนิทและตัวติดกันมาแต่ไหนแต่ไร ทว่าในใจของทั้งสองก็ยังห่างไกลคำว่าคู่รักมากนัก พวกเขาไม่เคยคิดเกินเลยไปจากคำว่าเพื่อนหรือพี่น้อง
“ถ้าไม่กลัวกงกงดุ ก็เรียกได้นะ ข้าไม่ถือ”
“งั้นข้าจะเรียกตอนที่ไม่อยู่ต่อหน้ากงกงละกัน”
องค์ชายห้ายิ้ม “ตามใจเจ้า แต่ตอนนี้รีบเข้าไปข้างในเถอะ ดึกแล้ว” ทั้งคู่กล่าวลากันก่อนที่อวี้เม่ยจะเดินกลับเข้าตำหนักของตน และทันทีที่ก้าวพ้นประตูมา หัวใจของนางก็ถึงกลับหล่นวูบ
ฮุยอินนั่งคุกเข่าตัวสั่นอยู่ เบื้องหน้านั้นร่างสูงของชายหนุ่มน่าเกรงขามกำลังนั่งหน้าบึ้งจ้องเขม็งมาทางอวี้เม่ย
องค์ชายสาม หวังลู่เฉิน หรือก็คือ หวงไท่จื่อ!!!
“เอ่อ…ข้า…หม่อมฉัน…ถวายพระพรไท่จื่อ”
“ท่าทางขาจะหายดีแล้วสินะ ถึงได้กลับซะมืดค่ำ รู้ทั้งรู้ว่าข้าจะมา… ไหนบอกสิว่าเจ้าไปไหนมา!!”
อวี้เม่ยสะดุ้งโหยง พยายามคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่น “ปะ…ไปดูเทาจิน เอ่อ…หมายถึงม้ากับองค์ชายห้าเพคะ”
“ไปดูม้า? ทั้งที่ขายังเจ็บอยู่แบบนี้ ยังจะออกไปดูม้า ไหนเลยยังจะไปกับเจ้าห้า ทั้งที่พวกเจ้าทั้งสองเพิ่งจะมีข่าวลือไม่ดีเกิดขึ้นเนี่ยนะ”
อ่า…หน้าบางสินะ กลัวว่าตัวเองจะเสื่อมเสียไปด้วย ไท่จื่อ คนอย่างท่านช่างน่ารังเกียจไม่ต่างไปจากองค์ชายสอง องค์ชายแปด องค์ชายสิบสี่ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกท่านถึงสู้กันเองเพื่อบัลลังก์มังกร เห็นแก่ตัว คิดถึงแต่ตัวเอง บ้าอำนาจ
“เจ้าฟังที่ข้าพูดอยู่ไหม ต่อไปนี้ให้อยู่แต่ในตำหนัก สำรวมกิริยาเสียบ้าง”
“ทำไมหม่อมฉันต้องทำเช่นนั้นด้วยเพคะ” อวี้เม่ยถามกลับ “หม่อมฉันจะทำอะไร ที่ไหน กับใคร ก็ไม่เห็นทรงใส่พระทัยอยู่แล้ว ตอนนี้ยังจะมาห้ามนั้นนี่ เวลาเกิดปัญหาก็มิทรงอยู่เคียงข้างหม่อมฉัน”
หวงไท่จื่อถึงกลับหยุดชะงักด้วยความงุนงง นางพูดอะไรของนาง ฟังไม่เห็นเข้าใจ
“ทำไมถึงคิดว่าข้าไม่สนใจ ข้าเพิ่งจะกลับมาจากการล่าสัตว์ไม่กี่วัน และยังต้องเตรียมพิธีต้อนรับเสด็จย่ากับเสด็จพ่ออีก ข้ายุ่งมากแต่ก็ยังสละเวลามาหาเจ้า ยังหาว่าข้าไม่สนใจอีก”
“ทรงตามคำสั่งฮ่องเต้มิใช่หรือเพคะ”
หวงไท่จื่อนิ่งไป
อวี้เม่ยแข็งใจกล่าวต่อ “ไท่จื่อมาหาหม่อมฉันหรือทำดีกับหม่อมฉันเพียงเพราะมิอาจขัดคำสั่งฝ่าบาทได้ ทรงมิได้เป็นห่วงจากใจจริง หากมิทรงรักหรือเมตตาหม่อมฉัน ก็ขอให้ไท่จื่อทูลบอกฮ่องเต้ไปตรงๆ ขอให้หม่อมฉันได้กลับบ้าน…”
เสียงของอวี้เม่ยสั่นเครือ หวนนึกถึงวันคืนอันแล้วร้าย เป็นว่าที่พระชายาผู้โดดเดี่ยวท่ามกลางวังหลวงอันโหดร้าย ผู้ไม่เคยได้รับความเอาใจใส่จากว่าที่พระสวามี เป็นเพียงแค่ไม้ประดับภายในตำหนัก อีกทั้งหวงไท่จื่อยังเป็นชายมากรัก คารมเป็นต่อรูปหล่อเป็นหนึ่ง สตรีทุกนางล้วนเต็มใจถวายกายใจให้พระองค์
ซึ่งอวี้เม่ยเองก็เป็นหนึ่งในสตรีเหล่านั้น
“นี่เจ้า…ร้องไห้เหรอ”
อวี้เม่ยไม่ทันรู้ตัวเลยว่าน้ำตาเจ้ากรรมไหลออกมาตั้งแต่เมื่อไร นางรีบเช็ดน้ำตาลวกๆ ก่อนจะเงยหน้ามองหวงไท่จื่อ ทั้งคู่มองตากันอยู่นาน จนสุดท้ายหวงไท่จื่อก็ทนความอึดอัดนี่ไม่ไหวจึงกล่าวขึ้น
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นอะไร หรือทำอะไรให้เจ้าโกรธ…”
“หม่อมฉันไม่ได้โกรธ แค่น้อยใจในโชคชะตา”
“น้อยใจ? เรื่องใด ข้ารึเปล่าที่ควรคิดมาก ข้าไปนอนค้างอ้างแรมอยู่ในป่าเป็นเดือน พอกลับถึงวังก็นึกว่าเจ้าจะมาหา แต่กลับไร้วี่แวว วันพิธีต้อนรับก็ไม่เห็นเจ้าไป พอเสด็จพ่อบอกว่าเจ้าบาดเจ็บ ข้าก็รีบสะสางงานให้เสร็จจะได้มาเยี่ยมเจ้า แต่เจ้า...ก็ไปดูม้า…กับเจ้าห้า”
“ข้าจะไปหาไท่จื่ออยู่แล้ว หากแต่กุ้ยเฟยทำชุดข้าเปื้อน นางจงใจแกล้งข้า ในงานพิธีนั่นก็ด้วย นางตั้งใจขัดขาข้า หวังให้ข้าอับอาย ข้าจึงเลี่ยงไม่ไป แล้ววันนี้…ไท่จื่อก็คงมาเยี่ยมข้าตามหน้าที่ ข้าไม่อยากเห็นสายตาเย็นชาของท่านจึงเลือกที่จะไปหาเทาจิน…”
ยิ่งพูดยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่ หวงไท่จื่อยกมือขึ้นกุมขมับ อาการปวดหัวที่มีมาตั้งแต่เด็กเริ่มกำเริบ
อวี้เม่ยเห็นท่าไม่ได้ดีจึงรีบรุดไปดึงมือหวงไท่จื่อออก ก่อนจะเสนอตัวที่จะนวดคลายเส้นให้
“ไม่ต้อง เดี๋ยวข้าจะกลับตำหนักแล้ว”
“กลับตำหนักทั้งแบบนี้ เดี๋ยวก็ทรงหน้ามืดหรอกเพคะ ให้หม่อมฉันช่วยดีกว่า” ว่าแล้วนางก็บรรจงนวดไปที่บริเวณศีรษะและต้นคอของบุรุษตรงหน้าอย่างชำนาญ
เพราะเนื่องด้วยต้องเตรียมตัวเป็นพระชายาขององค์รัชทายาท วิถีทางการแพทย์จึงเป็นเรื่องที่อวี้เม่ยได้รับการสอนมาบ้างแล้วเหมือนกัน โดยเฉพาะการนวดคลายเส้นหรือกดจุดจะต้องเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ เพราะหวงไท่จื่อคนนี้มีโรคประหลาดติดตัวมาตั้งแต่เกิด เมื่อเกิดอาการเครียด วิตกกังวล กดดัน จะรู้สึกปวดหัว ต้นคอ มือเท้าชาและเหงื่อออกมาก ถ้าเป็นหนักๆ ก็ถึงขั้นเป็นลมหมดสติได้
ซึ่งโรคนี้ก็เป็นข้อกังขาอย่างหนึ่งที่เหล่าขุนนางมักหยิบยกขึ้นมาเป็นเหตุผลและแสดงความไม่สบายใจที่หวงไท่จื่อจะได้ขึ้นครองราชย์ เป็นอุปสรรคใหญ่หลวงในการรับช่วงต่อเป็นฮ่องเต้
“ข้ารู้สึกดีขึ้นแล้ว ขอบใจมาก”
“เพคะ”
ครู่ก่อนรู้สึกคับแค้นใจแทบตาย ข้าถูกใส่ร้าย ท่านก็ไม่เคยยื่นมือเข้ามาช่วย หนำซ้ำยังอยากให้ข้าตายเสียอีก แต่ไฉนเลยถึงทนเห็นท่านเจ็บปวดไม่ได้ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าทำดีไปก็เท่านั้น… ฉางอวี้เม่ยเจ้านี่มันโง่เง่าเสียจริง
“ข้าขอตัวกลับก่อน เจ้าก็พักผ่อนซะ ตื่นมาจะได้เลิกพูดจาเหลวไหลเสียที”
“เหลวไหล?”
“เพ้อเจ้อ”
“เพ้อเจ้อ?”
“เพี้ยน”
“หม่อมฉันไม่ได้พูดจาเหลวไหล เพ้อเจ้อหรือเพี้ยนนะเพคะ!!”
เป็นเวลายามสองแล้วที่หวงไท่จื่อมิอาจข่มตาให้หลับลงได้ ยังคงนั่งครุ่นคิด นึกถึงคำพูดที่ฟังดูไร้สาระของอวี้เม่ย พยายามจะทำความเข้าใจในสิ่งที่อวี้เม่ยพูด แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ
“ไท่จื่อพ่ะย่ะค่ะ ดึกแล้วยังไม่บรรทมเดี๋ยวจะทรงป่วย…”
“ข้ามีเรื่องอยากถาม”
เมื่อคิดด้วยตัวเองไม่ได้ ลองถามความเห็นองครักษ์คนสนิทอย่าง อาฟงดูดีกว่า
“พ่ะย่ะค่ะ ทรงถามกระหม่อมได้ทุกเรื่องพ่ะย่ะค่ะ”
“วันนี้ข้าไปหาอวี้เม่ย ไปดูนางว่าได้รับบาดเจ็บมากน้อยแค่ไหน แต่นางกลับไม่รอพบข้า เลือกที่จะไปดูม้ากับเจ้าห้า แล้วพอกลับมาก็เถียงข้าอีก พูดจาวกวนฟังไม่ได้ความ และก็…ร้องไห้” หวงไท่จื่อถอนหายใจพลางเงยหน้ามองอาฟง “เจ้าคิดว่านางเป็นอะไร”
องครักษ์หนุ่มถึงกลับทำหน้าอึน ไม่รู้จะตอบอย่างไรดีเพราะสิ่งที่หวงไท่จื่อเล่ามาข้างต้นนั้น ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง
“ข้าผิดเหรอ แต่ผิดอะไร นางพูดเหมือนข้าผิด เหมือนข้าละเลยนาง ทั้งๆ ที่นางเพิ่งจะเข้ามาอยู่ในวังเพียงหนึ่งอาทิตย์ ข้าก็เพิ่งกลับจากล่าสัตว์เมื่อไม่กี่วัน… พูดเหมือนกับว่าตัวเองอยู่ในวังมานานแล้วไม่ได้รับความใส่ใจจากข้า”
“ในความคิดกระหม่อม อาจเพราะว่าที่พระชายาเป็นกังวลในหลายๆ เรื่องก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“กังวล? นางควรจะดีใจสิถึงจะถูก ได้แต่งกับข้าเชียวนะ ไหนเลยจะเสด็จย่าเสด็จพ่อก็รักนางจะตาย มีเรื่องใดให้กังวล”
“จริงอยู่ที่ว่าการอภิเษกกับไท่จื่อเป็นเรื่องน่ายินดี แต่กว่าจะถึงวันนั้น นางจะต้องผ่านอุปสรรคอีกมาก ทั้งแรงกดดันจากสตรีวังหลัง ความคาดหวังจากฮ่องเต้”
อาฟงกล่าวพร้อมยกเหตุผลที่น่าเชื่อถือขึ้นมาประกอบ ซึ่งไม่ได้เสริมเติมแต่งแต่มาจากสิ่งที่เขาเคยพบเห็นมาจริง วังหลวงไม่ใช่สถานที่พักผ่อนหรือสถานที่หรูหราอยู่สบาย หากแต่เป็นดังสนามรบที่เหล่าราชวงศ์รวมไปถึงบรรดาท่านอ๋อง เหล่าขุนนาง ช่วงชิงอำนาจซึ่งกันและกัน
“ว่าที่พระชายา… นางน่าสงสารนะพ่ะย่ะค่ะ อายุก็ยังน้อย ต้องจากครอบครัว ต้องแบกรับความรับผิดชอบใหญ่หลวง มีเพียงท่านเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งให้กับนางได้”
ฟังดูแล้วก็มีเหตุผล แต่ไหนแต่ไรก็มีเพียงหวงไท่จื่อที่พยายามปกป้องและดูเเลนางมาตลอด เป็นพี่ชายที่ดี เป็นคู่หมั้นที่ดี
แม้แต่ตอนนี้ก็อยากที่จะปกป้องนางต่อไป
“ที่พูดไปในวันนี้อาจจะแค่พูดไปด้วยอารมณ์น้อยใจ เพราะถึงจะแค่อาทิตย์เดียว แต่ใครจะรู้ว่านางต้องเจออะไรมาบ้าง เพราะฉะนั้น อย่าทรงโกรธนางเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วต้องทำยังไง”
“ทำ? ทำอะไรพ่ะย่ะค่ะ”
“ให้นางรู้สึกดี หายกังวล”