หลังจากนั่งคิดนอนคิดมาทั้งคืน มีทางเดียวที่อวี้เม่ยทำได้ หนีดีกว่า... เพราะไม่ว่าจะพูดหรืออธิบายยังไง ฮุยอินก็ไม่มีทีท่าว่าจะเชื่อในสิ่งที่บอกเลยแม้แต่น้อย ขืนปล่อยให้เป็นอย่างงี้ต่อไป ไม่แคล้วข้าต้องตายเหมือนที่ฝันเห็นเป็นแน่
“คุณหนูจะสวมชุดไหนดีเจ้าคะ ชุดผ้าไหมสีน้ำเงินปักลายดอกเหม่ย หรือชุดสีชมพูเลื่อมลายทอง”
“ไม่ทั้งสอง”
“งั้นเป็นสีเหลืองหรือเอ่อ...เขียวใบไม้”
“ไม่ฮุยอิน ข้าจะไม่ไปเข้าเฝ้าฮองไทเฮา ข้าจะกลับบ้านและเจ้าต้องช่วยข้าด้วย”
ฮุยอินหน้าซีด คุณหนูของข้ายังไม่เลิกเพ้ออีกหรือนี่
“คุณหนูพูดจาแปลกๆ อีกแล้ว หากใครมาได้ยินเข้าจะเอาไปลือกันในทางไม่ดีได้” ฮุยอินพยายามพูดเตือน ก่อนกงกงและเหล่าสาวใช้จะเดินเข้ามาภายในห้อง
“นี่อะไรกัน!! ทำไมเจ้ายังไม่แต่งตัวให้นางอีก” กงกงแผดเสียง
“คือคุณหนูเกิดเป็นกังวลขึ้นมาเจ้าค่ะกงกง” ฮุยอินแก้ตัว
“จะกังวลไปทำไมกัน นางเข้านอกออกในวังหลวงตั้งแต่วัยเตาะแตะ ทั้งฮองไทเฮา ทั้งฮ่องเต้ ต่างก็รักและเอ็นดู ไม่ต้องพูดถึงเหล่าองค์ชายองค์หญิง โตมาด้วยกันทั้งนั้น”
กงกงพูดด้วยรอยยิ้มพลางเดินไปดูชุดที่จะให้อวี้เม่ยใส่
วันนี้ฮองไทเฮากับฮ่องเต้กลับมาจากไปถือศีลที่วัดแซ่ซาน อวี้เม่ยกับบรรดาองค์ชายองค์หญิง พระชายา สนมทุกคนต้องไปต้อนรับที่หน้าประตูวัง แต่แท้จริงแล้ว ใครๆ ต่างก็รู้ว่ามันเป็นเพียงแค่ฉากหน้าที่ถูกสร้างขึ้นมาเพียงเท่านั้น
จุดประสงค์ที่แท้จริงของฮ่องเต้นั่นคือการต้อนรับอวี้เม่ยเข้าสู่วังหลวงอย่างเป็นทางการ ประกาศให้คนทั่วทั้งวังรับรู้สถานะที่แท้จริงของนาง
หรืออีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญคือการสยบข่าวลือที่ไม่ดีของหวงไท่จื่อ ผู้ไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมจะได้ขึ้นครองราชย์หากแต่มีสตรีผู้เพียบพร้อมอย่าง อวี้เม่ยอยู่เคียงข้าง คำครหาต่างๆ ก็น่าจะเบาบางลงไม่มากก็น้อย
พูดง่ายๆ คือการอภิเษกสมรสที่กำลังจะถูกจัดขึ้นนี้ ล้วนแต่มีจุดประสงค์แอบแฝงไว้ทั้งสิ้น
ชุดที่ข้าจะได้ใส่คือสีน้ำเงิน...
“มีแต่ชุดงามๆ สีไหนดีนะ”
“สีเขียว! ข้าจะสวมชุดสีเขียว” อวี้เม่ยวิ่งเข้าไปคว้าชุดสีเขียวอ่อนลายดอกโบตั๋นให้กงกงดู “ข้าว่ามันสวย ดูสุภาพเรียบร้อย”
กงกงพยักหน้าตามใจ ก่อนจะหันไปสั่งบรรดาสาวใช้ช่วยกันแต่งตัวให้อวี้เม่ย
ในฝันข้าใส่ชุดน้ำเงินเด่นสะดุดตา ซ้ำกับชุดของกุ้ยเฟย แน่ล่ะว่านางไม่พอใจแกล้งขัดขาจนข้าล้มกลิ้ง ทุกคนหัวเราะ ซุบซิบนินทากันอยู่หลายวัน สร้างความน่าอับอายให้แก่ข้ายิ่งหนัก
ข้าจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีก
“ตายแล้วกงกง ชุดนี้มีรอยขาด” นางกำนัลคนหนึ่งร้องโวยวาย ชี้ให้กงกงดูรอยขาดเล็กๆ ตรงชายผ้า
“ก็แค่รอยเล็กๆ”
“ไม่ได้ๆ งานนี้เป็นงานเปิดตัวเจ้าเชียวนะ จะให้มีข้อบกพร่องไม่ได้ พวกเจ้าเอาชุดน้ำเงินตรงนั้นมาสิ”
อะไรนะ ชุดน้ำเงินนั่นไม่ได้นะ!!!
ไม่ทันที่อวี้เม่ยจะร้องห้าม ชุดผ้าไหมสีน้ำเงินปักลายดอกเหม่ยดูสง่าก็ถูกสวมลงที่ร่างของนางเสียแล้ว ทั้งปิ่นปัก อีกทั้งเครื่องประดับราคาแพง ช่วยขับให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่ง ฮุยอินช่วยแต่งเติมให้ใบหน้างามดูมีสีสันแต่ไม่จัดจานจนเกินงาม
“สวยงามมากเลยคุณหนู ไม่สิๆ ต้องเรียกว่าที่พระชายา” ฮุยอินมองนายหญิงของตนด้วยสายตายินดีระคนปลาบปลื้ม “ถ้าฮูหยินได้มาเห็นคุณหนู...คงจะดีใจมากๆ”
“สวยสง่า ราศีพระชายาจับเหลือเกิน” กงกงกล่าว
จับ...จับเข้าคุกน่ะสิ นี่ขนาดว่าข้าพยายามจะเปลี่ยนสีชุดแล้ว ยังทำไม่ได้ งั้นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น... มันก็ต้องเกิดงั้นเหรอ?!
“พวกเจ้าพานางออกไปก่อน เร็วๆ เข้านะ เดี๋ยวจะไม่ทัน”
ฮุยอินกับสาวใช้สองคนพาอวี้เม่ยเดินออกไปจากตำหนักจินเยว่ ขณะนั้นอวี้เม่ยเริ่มคุมสติไม่อยู่ นางเดินไปพลางบ่นพึมพำจนฮุยอินอดกังวลใจไม่ได้ว่านายของตนอาจจะฟุ้งซ่านจนสติเลอะเลือนไปแล้ว
“คุณหนูของข้าต้องทำได้แน่ อย่าได้กังวล”
ฮุยอินกระซิบ ทำอวี้เม่ยน้ำตาคลอ “ข้าไม่อยากล้มกลิ้ง”
“หา?! ล้ม...กลิ้ง”
“ข้าจะไม่ให้นางทำให้ข้าขายหน้า...” ว่าแล้วอวี้เม่ยก็ตั้งท่ารวบกระโปรงยาวของตน ก่อนจะวิ่งหนีเข้าไปในอุทยานหลวง ทั้งฮุยอินและสาวใช้ทั้งสองตกใจจนร้องเสียงหลง รีบวิ่งวุ่นตามอวี้เม่ยไปทันที
“ว่าที่พระชายา!!!!!”
อวี้เม่ยใช้พุ่มไม้เป็นที่กำบังตัว ถึงยังไงนางก็ยังคงเชื่อสนิทใจว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นแล้วหรืออาจจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในอนาคต
ข้าจะรอจนพิธีต้อนรับฮองไทเฮากับฮ่องเต้จบลง แล้วค่อยเข้าไปเข้าเฝ้าทีหลัง แน่นอนว่าเป็นการเสียมารยาทอย่างมากที่ไม่ได้ออกไปต้อนรับทั้งสองพระองค์ ไม่แน่ว่าฮ่องเต้อาจจะส่งข้ากลับบ้านเลยก็ได้!!
“ข้าจะไปดูตรงนู้นก่อนนะ”
“ไปๆ รีบเลย เร็วๆ”
อวี้เม่ยนั่งรอสักพักจนเสียงทุกอย่างเงียบลง เป็นเวลาเนิ่นนานที่นางไม่กล้าขยับตัวจนขาเริ่มล้าและรู้สึกชาไปทั่วร่างกาย ขณะนั้นเองที่มีเสียงของใครบางคนเข้ามาใกล้ เสียงร้องเพลงเล็กๆ กับเสียงตกกระทบของลูกบอล
อวี้เม่ยโผล่หน้าออกมาเห็นองค์ชายน้อยคนหนึ่งกำลังโยนลูกบอลเล่นอยู่แถวนั้น
ลูกชายคนเล็กของเต๋อเฟย น้องชายขององค์ชายห้า... เหตุการณ์แบบนี้ ไม่ยักเจอในความฝัน แต่คลับคล้ายคลับคลาว่า ระหว่างพิธีต้อนรับ มีใครบางคนวิ่งเข้ามาแจ้งข่าวอะไรสักอย่าง... ซึ่งอวี้เม่ยได้ขอตัวกลับตำหนักก่อนเพราะอับอายที่ตนล้มต่อหน้าทุกคน ณ ที่นั้น เลยไม่ทันได้รู้เรื่องอะไร
องค์ชายน้อยเล่นลูกบอลไปมาสักพักก็พลันสะดุดล้ม อวี้เม่ยรีบวิ่งเข้ามารับตัวได้ทันก่อนองค์ชายจะหัวฟาดก้อนหินที่อยู่ใกล้ แต่ด้วยความที่ขานั่นรู้สึกชาอยู่เป็นทุนเดิม ทำให้นางเสียหลักไถลล้มไปกับพื้น
สุดท้าย...ก็ล้มกลิ้งจนได้
“ฮืออออออ เจ็บจังเลย”
“โอ๋ๆ ไม่เป็นไรนะองค์ชาย เจ็บตรงไหนเดี๋ยวพี่สาวเป่าให้นะ”
ความจริงข้าต่างหากที่เจ็บ
“อ้ายเสิน!!!!”
องค์ชายห้าวิ่งเข้ามาหาน้องชาย ก่อนจะหันมาทางอวี้เม่ยและช่วยพยุงนางให้ลุกขึ้น “เกิดอะไรขึ้น เจ้ามาทำอะไรที่นี่ ทำไมไม่อยู่ในพิธีต้อนรับ”
“แล้วองค์ชายห้ามาทำอะไรที่นี่เพคะ ทรงต้องอยู่ขบวนแถวหน้า...”
เดี๋ยวนะ? หรือไม่อยู่ ในฝัน ข้าก็ไม่ได้สังเกตด้วยสิว่าองค์ชายห้าอยู่ที่พิธีด้วยไหม
“อ้ายเสินไม่ค่อยสบาย แม่นมก็ไม่อยู่ ข้าเลยขอท่านแม่อยู่ดูแลอ้ายเสินด้วยตัวเอง เผลอครู่เดียวแอบออกมาเล่นเสียได้ สงสัยจะป่วยไม่จริง”
อ้ายเสินหรือองค์ชายน้อยกระตุกแขนเสื้อองค์ชายห้า “พี่สาวช่วยข้าตอนล้ม”
“งั้นเหรอ ขอบใจนะอวี้เม่ย”
อวี้เม่ยยิ้มน้อมรับ แต่แล้วก็เกิดเจ็บแปลบที่บริเวณขาซ้าย นางเซจะล้ม องค์ชายห้ารีบเข้ามาพยุงตัว “เจ็บขาเหรอ”
อวี้เม่ยส่ายหน้า “ไม่เป็นไรเพคะ”
แต่เมื่อพยายามจะยืนทรงตัวก็เซจะล้มอีก องค์ชายห้าเห็นท่าไม่ดีจึงช้อนตัวนางขึ้น
“องค์ชายห้า!! ทรงทำอะไร”
“ก็เจ้าเจ็บขา ข้าจะอุ้มไปส่งที่ตำหนัก”
“มะ...ไม่รบกวนองค์ชายห้าดีกว่าเพคะ หม่อมฉัน...”
“รบกวนอะไร ก่อนหน้านี้เจ้าก็พูดเอง พี่ชายน้องสาว อีกอย่างเจ้าต้องมาเจ็บตัวเพราะช่วยอ้ายเสิน ข้าก็ต้องรับผิดชอบ” องค์ชายห้ายิ้ม “ไปกันอ้ายเสิน เราไปส่งพี่สาวกัน”
ถึงอวี้เม่ยจะพยายามบอกปัดในความหวังดีหรือพยายามดิ้นให้หลุดจากอ้อมแขนขององค์ชายห้ามากแค่ไหน ก็ล้วนแต่ไม่เป็นผล จึงทำใจปล่อยเลยตามเลยจนมาถึงตำหนักจินเยว่
“คุณหนู!!!!!”
“ว่าที่พระชายา!!!”
เสียงโหวกเหวกดังมาแต่ไกล ฮุยอินรีบวิ่งเข้ามาช่วยพยุงอวี้เม่ยเข้าไปนั่งพักในตำหนัก ก่อนจะรัวคำถามใส่นางไม่หยุด
“คุณหนูหนีไปแบบนั้นทำไม ข้าตกใจมากเลยนะ แล้วนี่เกิดอะไรขึ้น คุณหนูบาดเจ็บตรงไหน งานพิธีวุ่นวายมากทั้งฮองไทเฮากับฮ่องเต้สั่งคนออกตามตัวคุณหนูยกใหญ่”
“หนีเหรอ?!” องค์ชายห้าถามฮุยอิน
“เพคะองค์ชาย อยู่ๆ คุณหนูก็สติแตกวิ่งเตลิดเข้าไปในสวน ไม่รู้ว่าเป็นอะไร แปลกตั้งแต่เมื่อวาน”
อวี้เม่ยกระซิบบอกฮุยอินให้เงียบไว้ แต่เหมือนสาวใช้จะไม่ได้สนใจฟัง ยังคงพูดปาวๆ ประกาศความเพี้ยนสุดโต่งของนายหญิง
“ก่อนหน้านี้เฝ้ารอว่าเมื่อไรจะได้เข้าวังแท้ๆ แต่มาอยู่ได้แค่อาทิตย์เดียวก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ บ่นพึมพำ ความฝัน…อะไรนะ…ที่กลายเป็นจริง อนาคต…แต่ที่แน่ๆ นี่เป็นงานแรกที่คุณหนูจะได้ออกไปเฉิดฉายเคียงคู่กับไท่จื่อแท้ๆ น่าเสียดาย”
“ฮุยอิน!!” อวี้เม่ยเรียกเสียงดัง “พอแล้วไหม”
ฮุยอินอ้าปากค้าง เหมือนจะเพิ่งรู้ตัวว่าพูดมากเกินไป นางยิ้มแหยๆ ก่อนจะถอยไปยืนอยู่ทางด้านหลังของอวี้เม่ย
“ขอบพระทัยองค์ชายห้า หม่อมฉันไม่กวนเวลาของพระองค์แล้ว”
องค์ชายห้าพยักหน้า อมยิ้มเล็กๆ ก่อนจะพาน้องชายอ้ายเสินเดินออกจากตำหนักไป
“เจ้านี่พูดมากเสียจริง”
อวี้เม่ยหันไปตำหนิฮุยอิน ซึ่งนางก็ได้แต่ยืนทำหน้าหงอ
“คุณหนูเจ็บขาใช่ไหมเจ้าคะ เดี๋ยวข้าจะไปเรียกหมอหลวงมาดูอาการให้”
อวี้เม่ยพยักหน้า แต่ก่อนที่ฮุยอินจะไป หญิงสาวก็เอ่ยถามขึ้นมาว่า “ในพิธีต้อนรับ...กุ้ยเฟยใส่ชุดเหมือนข้าใช่ไหม”
และคำตอบที่ได้ก็ตรงตามที่นางคิดไว้
“คุณหนูรู้ได้อย่างไรเจ้าคะ?”
อวี้เม่ยถอนหายใจก่อนจะตอบประชด “อย่างที่เจ้าพูด…ความฝันเป็นจริง อนาคต...ที่ถึงแม้ข้าจะล่วงรู้แต่ก็มิอาจเปลี่ยนได้”