“เจ้าเลิกทำหน้าบูดบึ้งเสียทีเถิด” ความเบื่อหน่ายถูกถ่ายทอดผ่านน้ำเสียงนั้น บุรุษมองหน้าสหายของตนพลางส่ายหน้า “จากที่ฟังเจ้าเล่า ข้าไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องร้ายแรงตรงไหน”
“ขัดขวางการพบรักของชายหญิง ไม่ร้ายแรงงั้นหรือ” อวี้เม่ยกล่าวเสียงอ่อย “ข้าไม่น่าทำอย่างนั้นลงไปเลย”
“แต่ก็ทำไปแล้ว”
“ฮือออออ ข้ามันบ้าๆๆๆๆ”
ฮุยอินและสองสาวใช้ จินฝูกับจิ้นอิ๋ง ซึ่งกำลังเตรียมขนมและน้ำชาอยู่อีกห้อง ต่างได้ยินเสียงร้องโวยวายของอวี้เม่ยก็รีบผละมือจากงานที่ทำอยู่ วิ่งกรูเข้ามาดูนายของตนด้วยความตื่นตระหนัก
“คุณหนู!! คุณหนูของข้าเกิดอะไรขึ้น!!”
“ว่าที่พระชายาเพคะ!!”
เหล่าขันทีทั้งสี่ที่ยืนเฝ้าประจำอยู่หน้าประตูตำหนักจินเยว่ รับรู้ได้ถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ต่างคนต่างกระโจนเข้ามาภายใน ตั้งท่าเตรียมคุ้มภัยให้นายหญิง
องค์ชายห้าจ้องมองบรรดาข้าทาสนางกำนัลพลางนึกขัน ตำหนักนี้มันอะไรกันเนี่ย รวมพลคนเพี้ยนหรืออย่างไร
“ฮุยอิน จินฝู จิ้นอิ๋ง ขันทีน้อยทั้งสี่”
“เจ้าคะคุณหนู/เพคะ/พ่ะย่ะค่ะ”
คนทั้งเจ็ดคุกเข่าอย่างพร้อมเพรียง เตรียมพร้อมรับคำสั่ง
“พวกเจ้าว่าข้าใจร้ายไหม”
ทั้งหมดหันหน้ามองกันอย่างไม่เข้าใจ อวี้เม่ยจึงถามย้ำอีก “ข้ามันไม่ดี ข้ามันเห็นแก่ตัวใช่ไหม” เมื่อเห็นว่าสตรีผู้ตั้งคำถามเริ่มทำท่าจะร้องไห้ บรรดาคนทั้งหมดก็พากันส่ายหน้าจนคอแทบเคล็ด ก่อนจะร้องบอก “ไม่เลยๆ ว่าที่พระชายาของเราดีที่หนึ่ง!!!”
ฮุยอินคลานเข้ามาใกล้ จับมือของอวี้เม่ยแน่น “คุณหนู… คุณหนูแสนดี เหตุใดถึงได้กล่าวโทษตัวเองเช่นนี้ แต่เล็กจนโต คุณหนูของข้าทั้งงดงาม ใจดี และเป็นมิตรกับทุกคน แม้แต่มดสักตัวยังไม่เคยทำร้าย”
“น้ำใจประเสริฐแท้” จินฝูพูดเสริม
“สมกับเป็นยอดหญิงงามที่ฮ่องเต้ทรงเลือก” จิ้นอิ๋งพูดต่อ
“ดี! เหมาะสม! สวยสง่าดุจเทพธิดาลงมาจุติ!!” ขันทีทั้งสี่ตะโกนเสียงดังทิ้งท้าย
แม้คำพูดเยินยอดูจะเกินจริงคล้ายจะเป็นคำหลอกเพื่อเอาใจก็ตามที แต่สายตาที่สื่อออกมาของแต่ละคนหาได้เสแสร้งแกล้งทำ พวกเขาล้วนพูดออกมาจากความรู้สึกของตนโดยแท้ อวี้เม่ยต่างจากสตรีอื่นที่ชอบพูดจาถากถาง ดุด่าพวกเขาไม่เว้นวัน แม้ทำความผิดเพียงเล็กน้อยก็โดนสั่งโบยหลายสิบไม้ ไข้ขึ้นไปหลายวัน บางคนโชคร้ายทนพิษบาดแผลไม่ไหวก็ล้มหายตายจากกันไปหลายคน
อวี้เม่ยเป็นสตรีที่เกิดในตระกูลสูงส่ง แต่กลับถูกเลี้ยงดูมาเฉกเช่นเด็กสาวทั่วไป ไม่ได้ตามใจหรือประคบประหงมจนเคยตัว บิดาสอนให้นางเห็นค่ากับทุกชีวิตบนโลก มารดาสอนนางให้มีใจเมตตา ทุกคนเลือกเกิดไม่ได้ แต่มีสิทธิ์ความเป็นคนเท่าเทียมกัน
แต่ไฉนเลย วังหลวงแห่งนี้กลับบ่มเพาะนิสัยที่เห็นแก่ตัว หน้าไหว้หลังหลอก เจ้าคิดเจ้าแค้นแก่นางทีล่ะนิด ที่แม้แต่เจ้าตัวก็ไม่ทันได้รู้สึก
“พอแล้วๆ ว่าที่พระชายาซึ้งจนน้ำตาไหลเป็นสายธารแล้ว กลับไปทำงานของตนเร็วเข้า” องค์ชายห้าเอ่ยปากไล่ขันทีทั้งสี่ รวมไปถึงสาวใช้ทั้งสองให้กลับไปทำหน้าที่ของตนต่อ อนุญาตเพียงฮุยอิน พี่เลี้ยงคนสนิทของอวี้เม่ยเท่านั้นที่สามารถอยู่ร่วมฟังบทสนทนาได้
“ก็ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว เจ้าก็ต้องเดินหน้าต่อ”
“ยังไงเล่า”
ข้าเผลอเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์การพบรักของพวกเขาเพราะอารมณ์ชั่ววูบ ทำให้แทนที่หวงไท่จื่อจะขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ทูลของซูลี่จากฝ่าบาท และเป็นข่าวฉาวพูดกันสนุกปากไปทั่วทั้งวัน
กลับกลายเป็นมีเรื่องชกต่อยกับองค์ชายรอง กระทั่งถูกฮ่องเต้เรียกเข้าพบจนเกือบโดนลงโทษหนัก ข่าวฉาวกลายเป็นข่าวเสียหาย ทำลายชื่อเสียงของไท่จื่อ… น้องชายผู้ทะนงตนถือว่าตัวเองเป็นผู้สืบทอด ไม่เห็นถึงความเป็นพี่น้อง ทำร้ายพี่ชายของตนจนได้รับบาดเจ็บหนัก
จะว่าไป…ถึงข้าจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนอะไร ก็ล้วนแต่ส่งผลเสียแก่ไท่จื่อทั้งนั้น
“ข้าว่ามันอาจจะดีก็ได้นะ” องค์ชายห้าทำหน้าครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยต่อ “ถ้าเป็นไปตามเหตุการณ์เดิมที่เจ้าฝันเห็น มันก็เท่ากับว่าเจ้าจะไม่มีบทบาทอะไรเลย แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในคราวนี้สร้างความดีความชอบแก่เจ้านะ”
อวี้เม่ยพยักหน้าพลางคิดตามคำพูดนั้น
“ตอนนี้เจ้าเป็นทั้งที่รักของเสด็จย่า เป็นสตรีแสนปราดเปรื่องสำหรับเสด็จพ่อ ไม่แน่ว่า…”
“ข้าอาจจะรอดตายก็ได้!!!” อวี้เม่ยร้องออกมาด้วยความดีใจ หากข้าเป็นที่โปรดปราดของฮ่องเต้ ข้าก็อาจจะไม่โดนสั่งประหารชีวิต!?
“แต่นั้นก็เป็นเพียงแค่ทางรอดเดียว ถ้าอยากให้มั่นใจ มีอีกสิ่งที่ต้องทำ”
“อะไรหรือ”
“เจ้าต้องมัดใจไท่จื่อให้ได้”
อวี้เม่ยขมวดคิ้ว “ทำไมต้องทำเช่นนั้นด้วย”
“เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนรอบตัวเจ้าจะเป็นมิตรหาใช่ศัตรูที่จะมาแว้งกัดในภายหลัง... เจ้าต้องหาพวกพ้องให้ได้มากที่สุด”
“ไม่เด็ดขาด ข้าเกลียดไท่จื่อ”
องค์ชายห้าหรี่ตามอง “ไม่เอาน่าอวี้เม่ย ปากตรงกับใจหน่อยสิ ข้าโตมากับเจ้า ข้ารู้ดีว่าลึกๆ แล้วเจ้ารู้สึกอย่างไร รักก็บอกว่ารัก หึงก็บอกว่าหึง ไม่เห็นจะยากตรงไหน”
“นั่นก็เพราะท่านยังไม่เคยมีนะสิ ถึงได้พูดง่าย” อวี้เม่ยบ่นอุบอิบ “แต่ไท่จื่อ…เป็นคนบังคับให้ข้าต้องฆ่าตัวตาย”
ฮุยอินที่ได้ยินเช่นนั้นก็เผลอโพล่งออกมา “นั่นมันความฝันนะเจ้าคะคุณหนู ไม่แน่ว่าอาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้” ฮุยอินยังคงยืนกรานในความคิดของตนว่าอวี้เม่ยนั้นแค่คิดไปเอง ไม่มีความฝันอนาคตอะไรทั้งนั้น
“มันเป็นความฝันที่จะเกิดขึ้นจริงนะฮุยอิน!!” อวี้เม่ยเถียง
“งั้นเจ้าก็อย่าทำให้มันเกิดขึ้นสิ” องค์ชายห้าเอนหัวไปทางฮุยอินเหมือนอยากจะเสริมคำพูดของนาง “มันอาจจะเกิดหรือไม่ก็ได้ แต่ถ้าเจ้าไม่ทำอะไรเลย มันจะได้เกิดขึ้นแน่”
อวี้เม่ยมีท่าทีลังเล องค์ชายห้าจึงอธิบายเหตุผลให้ฟังต่อ “เจ้าฝันเห็นอนาคตนะอวี้เม่ย เป็นสิ่งที่วิเศษมากที่ฟ้าประทานให้เจ้า ทำไมเจ้าถึงไม่เห็นค่ามันล่ะ ใช้มันให้เกิดประโยชน์ให้สมกับเป็นโอกาสครั้งที่สองของเจ้าสิ”
ก็นะ…พรจากฟ้า ของขวัญจากสวรรค์ ช่างฉลาดในการพูดนัก หลอกล่อข้าให้มาตำหนักของไท่จื่อจนได้
อวี้เม่ยใจจดๆ จ้องๆ ไม่กล้าเข้าไปภายในตำหนัก ได้แต่ถือถาดที่มีถ้วยซุปเดินไปมาอยู่หน้าสวนดอกไม้
เข้า ไม่เข้า เข้า ไม่เข้า
โธ่! จะกลัวอะไรล่ะ ไท่จื่อไม่ใช่เสือสักหน่อย ถ้าเขาไม่พอใจก็คงไล่ตะเพิดข้าออกมาเองแหละ
แต่ยังไม่ทันได้ก้าวเท้า องครักษ์หนุ่มหน้าตาคมเข้มแต่เป็นมิตรก็มายืนขวางหน้านางไว้ พร้อมถ่ายทอดข้อความของหวงไท่จื่อที่ฝากไว้ให้อวี้เม่ย
“ถ้าจะมาเอาป่านนี้ สู้อย่ามาเสียดีกว่า… ไท่จื่อสั่งให้กระหม่อมมาบอกพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้เม่ยได้แต่ยืนงง “ไท่จื่อรู้ได้อย่างไรว่าข้ามาหา”
“แหม…ก็ท่านเล่นเดินลับๆ ล่อๆ อยู่หน้าตำหนักแบบนี้ เป็นใครก็รู้ทั้งนั้น”
อวี้เม่ยทำหน้าเศร้า ไม่เห็นต้องหักหาญน้ำใจกันขนาดนี้เลย ข้าเองก็ไม่ได้มาช้าเสียหน่อย เรื่องเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวานเองแท้ๆ นางยื่นถาดถ้วยซุปให้อาฟง “น้ำซุปกระดูกหมู ข้าใส่สมุนไพรเจ็ดชนิดร่วมด้วยจะได้ช่วยสมานแผล ฝากเจ้าให้ไท่จื่อด้วยนะ”
ว่าแล้วก็หมุนตัวกลับโดยไว น่าโมโหชะมัด อวี้เม่ยเดินจ้ำอ้าว พลางคิดเรื่องซูลี่ไปด้วย แม้ว่าครั้งนี้จะขัดขว้างการเจอกันของพวกเขาได้ แต่จะได้นานแค่ไหนกัน ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าพวกเขาทั้งคู่จะไม่มีโอกาสวนกลับมาพบเจอกันอีก
เจ้าต้องรีบมัดใจไท่จื่อ คำพูดองค์ชายดังก้องขึ้นมาในหัว
มัดใจอะไรล่ะ ตอนนี้แค่เข้าไปหายังไม่ได้เลย…
อวี้เม่ยที่จนปัญญาเหลือบไปเห็นนางกำนัลสองคนเดินหัวเราะคิกคักมาแต่ไกล ด้วยความอยากรู้หรือสัญชาตญาณบางอย่าง ที่รู้สึกได้ว่าเรื่องที่พวกนางคุยกันต้องไม่ใช่เรื่องดี
อวี้เม่ยจึงย่องช้าๆ ไปแอบอยู่หลังพุ่มไม้ รอนางกำนัลทั้งสองเดินมาใกล้
“นี่ๆ เจ้าว่าระหว่างไท่จื่อกับองค์ชายรอง นางจะเลือกใคร”
“ของมันก็แน่อยู่แล้ว องค์ชายรองหรือจะมาสู้องค์รัชทายาท”
“นั่นสินะ น่าอิจฉาจัง มีเสน่ห์แพรวพราวถึงขนาดให้องค์ชายสู้กันเพื่อนาง เป็นปีศาจสาวเเปลงกายมาหรือเปล่า”
“ไม่รู้สิ แต่ที่แน่ๆ หากไท่จื่อเป็นอะไรขึ้นมา นางก็มีที่ให้เกาะเยอะแยะไป ทั้งองค์ชายรอง องค์ชายห้า ใช้เต้าไต่ไง”
พวกโสโครก!!! ไปเอาความคิดต่ำๆ อย่างงี้มาจากไหนกัน หากวันนี้ข้าไม่ได้ตบสั่งสอนพวกนาง อย่ามาเรียกข้าฉางอวี้เม่ย!!!