เข้าหา

1872 คำ
วันนี้อวี้เม่ยตื่นแต่เช้าเป็นพิเศษ เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเผชิญหน้าครั้งใหม่ นางเลือกชุดที่เรียบร้อยกว่าปกติ ไม่หรูหราแต่สง่าไปในตัว ปิ่นปักเป็นรูปดอกเหมยสีชมพูดูสดใส ด้วยความที่อยากให้คนที่เห็นรู้สึกเอ็นดูยิ่งขึ้น จึงไม่แต่งเติมสีสันบนใบหน้าจนเกินไป แต่เลือกสีอ่อนดูเป็นธรรมชาติและสบายตา อีกทั้งอวี้เม่ยยังไม่ลืมที่จะนำของฝากติดไม้ติดมือมาด้วย นางสูดหายใจลึก ก่อนก้าวเข้าไปยังตำหนักที่ไม่คุ้นเคย ที่ซึ่งเงียบสงบไม่ต่างจากตำหนักต๋าเฉิงของห่วงไท่จื่อ ไร้ผู้เฝ้าประตูและเวรยามอย่างที่ควรจะมี ซึ่งเหตุผลก็มีอยู่สองประการ ประการแรก เจ้าของตำหนักเป็นคนรักสันโดษ รักความสงบ ไม่ชอบความวุ่นวาย ประการสอง เจ้าของตำหนักไม่ได้สำคัญ ถึงขนาดต้องให้คนมาคอยคุ้มกัน มีเพียงสาวรับใช้ไม่กี่คนที่อวี้เม่ยสังเกตเห็น ซึ่งแต่ละนางก็ดูสงบเสงี่ยมและพูดน้อยกันทั้งนั้น ตรงกลางห้องรับรอง บุรุษสูงโปร่งหน้าตาหล่อเหลายืนตั้งมั่น ใบหน้าเรียบเฉย นัยน์ตาดำขลับลึกลับคมกริบ ทันทีที่เขาเห็นอวี้เม่ยเดินเข้ามาก็หันมองด้วยท่าทีตกตะลึงเล็กน้อย อวี้เม่ยเดินเข้าไปใกล้ก่อนเอ่ย “ถวายพระพรองค์ชายสิบสี่” ในบรรดาองค์ชายทั้งหมด มีเพียงเขาเนี่ยแหละที่เข้าหายากที่สุด เย็นชาและระวังตัวเองอย่างมาก ว่าหวงไท่จื่อน่ากลัวแล้ว องค์ชายสิบสี่กลับน่ากลัวยิ่งกว่า เขามักจะอารมณ์เดือดดาลอย่างไม่มีเหตุผลอยู่บ่อยครั้งคล้ายกับคนมีปัญหาบางอย่างในใจ โดยเฉพาะเรื่องแม่ผู้ให้กำเนิด ที่มีเบื้องหน้าเบื้องหลังบางอย่างที่ห้ามใครเอ่ยถามอย่างเด็ดขาด “เจ้ามาทำอะไรที่นี่” “ต่อจากวันนี้หม่อมฉันจะมาเรียนเรื่องมารยาทกับซูเฟยเพคะ” อวี้เม่ยตอบฉะฉาน องค์ชายสิบสี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เหตุใดถึงต้องมาเรียนกับนาง เจ้าเรียนอยู่กับกุ้ยเฟยมิใช่หรือ” “เมื่อก่อนใช่ แต่ตอนนี้ไม่แล้วเพคะ” ย้อนกลับไปหลายวันก่อน อวี้เม่ยขอเข้าเฝ้าฮองไทเฮา ทูลขอเรื่องเปลี่ยนอาจารย์ผู้สอนคนใหม่ โดยนางให้เหตุผลว่าซูเฟยเป็นสตรีที่ทั้งน่าดึงดูดและเรียบร้อยยิ่ง จิตใจงดงามไม่แพ้ใบหน้าของนางที่ถึงแม้จะนิ่งเฉยก็เปล่งประกายถึงบุญบารมีที่กระทำตลอดมา หากได้เรียนรู้บางอย่างจากซูเฟย อาจทำให้จิตใจสงบมากกว่ากุ้ยเฟยที่เถรตรงและเคร่งครัดในกฎระเบียบ หรือก็คือกุ้ยเฟยทำให้อวี้เม่ยอึดอัดนั่นเอง ซึ่งแน่นอนว่าฮองไทเฮาที่โปรดอวี้เม่ยก็เห็นดีเห็นงาม ตามใจอวี้เม่ยทุกอย่างตามปรารถนา จนกล่าวได้ว่าชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้เลยก็ว่าได้ อวี้เม่ยเห็นความสับสนในแววตานั้น หากแต่องค์ชายสิบสี่ไม่ยอมเอ่ยถาม เขายืนนิ่งพร้อมกับเบือนหน้าไปอีกทาง อวี้เม่ยก็ทำทีไม่สนใจเขากลับ ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นสตรีผู้หนึ่งเดินออกมาจากห้องด้านใน ใบหน้างามสง่าละม้ายคล้ายบุตรชาย แต่อ่อนหวานและดูเป็นมิตรกว่ามาก นางเชิญอวี้เม่ยนั่งลงก่อนทักทายพอเป็นพิธีแล้วจึงหันไปกล่าวกับบุตรของตน “วันนี้ข้าแปลกใจที่เห็นเจ้าอยู่ที่ตำหนัก ไม่ออกไปหาพรรคพวกเจ้าหรือไง” เสียงพูดนั้นดูเย็นชาต่างจากที่คุยกับอวี้เม่ยเมื่อครู่ องค์ชายสิบสี่นั่งลงข้างอวี้เม่ยพร้อมปรายตามองซูเฟย “ทำไม ข้าอยู่ที่นี่ขัดหูขัดตาท่านหรือ ถ้าเช่นก็ต้องขออภัยเพราะข้าคงจะยังนั่งอยู่ที่นี่สักพักใหญ่” อวี้เม่ยรู้ดีว่าทั้งสองเป็นแม่ลูกที่ไม่กินเส้นกันเท่าไหร่ ตั้งแต่จำความได้ซูเฟยมักจะดุด่าและตีองค์ชายสิบสี่อยู่บ่อยครั้งราวคนเสียสติก็ไม่ปาน แต่แล้วเมื่อผ่านไปชั่วครู่นางก็จะกลับมาทำท่านิ่งสงบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ต่างจากรูปปั้นหินประดับสวน ส่วนองค์ชายสิบสี่นั้นแน่นอนว่าตอนเด็กเป็นคนร่าเริง เป็นเพื่อนที่น่ารักอีกคนของอวี้เม่ย แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างเมื่อเติบโตขึ้นเขาก็เริ่มตีตัวออกหากและไปเข้าข้างฝ่ายองค์ชายรอง บุรุษผู้นี้เป็นคนเดาใจยาก อีกทั้งวาจาร้ายกาจ บางครั้งก็พูดเป็นปริศนาหลอกด่าผู้อื่นโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวได้ด้วย “ซูเฟยเพคะ วันนี้หม่อมฉันรบกวนแล้ว จึงนำขนมเล็กๆ น้อยมาฝากท่านด้วย ขอทรงโปรดรับไว้ด้วยเพคะ” อวี้เม่ยย่อตัวพลางยื่นถาดขนมให้สตรีตรงหน้า พร้อมพูดประจบประแจง “เป็นขนมที่หม่อมฉันทำเอง อาจสู้รสมือของซูเฟยไม่ได้ แต่ก็อยากให้ลองทานดูเพคะ” ซูเฟยเงยหน้ามองอวี้เม่ยด้วยความประหลาด “เจ้ารู้ด้วยหรือว่าข้าเคยทำขนมพวกนี้ด้วย” “เพคะ หม่อมฉันทราบมาจากท่านแม่ว่าทรงทำขนมอร่อยมาก ไม่ใช่แค่ขนมหากแต่เป็นของคาว ซุปหรือของทอดก็ทรงมีวิธีทำต่างจากสูตรเดิม ทำให้ผู้ได้ทานพากันติดอกติดใจ น่าเสียดายที่หม่อมฉันไม่โอกาสได้ชิมเพคะ” เมื่อได้รับคำชมเช่นนี้ ซูเฟยก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ ใบหน้าที่ประดับไปด้วยยิ้มของนางช่างดูตรึงตาตรึงใจยิ่งนัก เข้าใจแล้วว่าทำไมนางถึงเคยเป็นสตรีคนโปรดของฮ่องเต้ “เอาไว้ว่างๆ ข้าจะสอนเจ้าทำก็แล้วกัน ว่ากันว่าอาหารอร่อยมักจะช่วยมัดใจสามี ไท่จื่อเป็นคนทานอะไรยากอีกทั้งสุขภาพไม่แข็งแรง เรื่องอาหารการกินเจ้าต้องรอบคอบให้มากนะ” อวี้เม่ยตอบรับพร้อมรอยยิ้มกว้าง “เพคะ หม่อมฉันโชคดีเสียจริงที่ได้รับความเมตตาจากซูเฟย” ซูเฟยได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มชอบใจ รู้สึกชอบอวี้เม่ยขึ้นมาเป็นเท่าตัว ยิ่งเห็นใบหน้าที่น่ารักน่าเอ็นดู นางก็ยิ่งมีใจเมตตาหญิงสาวตรงหน้ามากขึ้น บทเรียนแรกยังคงเป็นมารยาทพื้นฐานทั่วไป การนั่ง ลุก เดิน รินชา ซึ่งทั้งหมดนี้อวี้เม่ยได้เรียนรู้มาก่อนแล้วจึงทำได้ดีไร้ที่ติ แต่ถึงกระนั้นก็ยังถ่อมตัว เอ่ยชมว่าที่ทำได้ดีเป็นเพราะซูเฟยเป็นผู้สอนให้ แต่ทุกครั้งที่คำชมออกจากปาก องค์ชายสิบสี่ก็มักจะมองมาทางอวี้เม่ยด้วยสายตาเย็นชาจนนางรู้สึกได้ การที่องค์ชายสิบสี่ยังคงนั่งอยู่ภายในตำหนักนับเป็นเรื่องที่หญิงสาวไม่ได้นึกถึง เนื่องด้วยความไม่ชอบหน้ากันระหว่างแม่กับลูก ตำหนักจึงเป็น เพียงที่ซุกหัวนอนขององค์ชายสิบสี่แต่เพียงเท่านั้น รุ่งเช้าก็จะไปหมกตัวอยู่ที่ตำหนักองค์ชายรอง พลบค่ำจึงค่อยกลับมานอน เป็นเช่นนี้อยู่ร่ำไป ส่วนซูเฟยเองก็ไม่ได้ใส่ใจลูกของตนเท่าไหร่นัก อยากไปไหนก็ให้ไป ไม่ดุด่าเหมือนตอนเด็กทว่าจะพูดจาเย็นชาราวกับไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขกัน แต่ถึงอย่างนั้นซูเฟยก็ไม่ใช่คนช่างพูดจึงเลี่ยงจะไม่พบหน้าลูกชายดีกว่าต้องพบเจอแล้วจำต้องพูดจาแย่ๆ ใส่กัน ซึ่งอวี้เม่ยนั้นคิดว่าซูเฟยคงอยากถนอมน้ำใจของอีกฝ่ายมากกว่าจึงเลี่ยงที่จะพบหน้า แล้วเหตุผลอะไรถึงทำให้ทั้งสองหมางใจกัน ข้าต้องสืบรู้ให้ได้ เมื่อเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ซูเฟยก็เอ่ยปากขอตัวไปสวดมนต์ที่ห้องพระ อวี้เม่ยจึงคารวะขอบคุณนาง ครั้นจะเดินออกไป หางตาอวี้เม่ยก็เหลือบไปเห็นองค์ชายสิบสี่ที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม แววตาจ้องเขม็งมาที่นาง อวี้เม่ยทนไม่ไหวจึงเอ่ยถาม “องค์ชายสิบสี่มีเรื่องข้องใจอะไรหรือไม่เพคะ” บุรุษยังคงนิ่งเฉย แต่เมื่อเห็นอวี้เม่ยกำลังจะหมุนตัวกลับ เขาก็รีบเอ่ยโดยไว “ปกติเจ้าเป็นคนช่างพูดเช่นนี้ด้วยหรือ ประจบประแจงเช่นนี้หวังสิ่งใดกันแน่” “มิกล้าเพคะ หม่อมฉันไม่ได้หวังสิ่งใด แค่อยากผูกมิตรด้วยก็เพียงเท่านั้น” “โบราณว่าเก็บมิตรไว้ใกล้ตัว แต่จงเก็บศัตรูไว้ใกล้ตัวยิ่งกว่า เจ้าคงไม่ได้หวังเช่นนั้นใช่หรือไม่” อวี้เม่ยตะลึงไปชั่วครู่ ไม่คิดว่าองค์ชายสิบสี่จะรู้ตัวไวถึงเพียงนี้ ถูกของเขา องค์ชายสิบสี่เป็นคนอันตรายแต่อ่อนไหวง่ายกว่าองค์ชายรองและองค์ชายแปดที่เลือดเย็นและเห็นแก่ตัว แต่การจะเข้าหานั้นยากยิ่ง มีทางเดียวคือเข้าทางซูเฟย แม้ว่าอวี้เม่ยจะทูลบอกฮองไทเฮาว่าซูเฟยเป็นสตรีที่น่าคบหา หากแท้จริงแล้วเป็นเพียงข้ออ้างที่อยากหนีห่างจากกุ้ยเฟย อีกทั้งถ้ากุ้ยเฟยรู้ว่าซูเฟยเป็นอาจารย์คนใหม่ของอวี้เม่ย ก็คงโกรธจนเลือดขึ้นหน้าเพราะเดิมทีกุ้ยเฟยนั้นเหยียดและดูแคลนซูเฟยมาแต่ไหนแต่ไร ถ้าหากรู้ว่าอวี้เม่ยให้ความสำคัญกับสตรีที่นางชิงชัง ไม่แคล้วต้องอกแตกตายเป็นแน่ นับเป็นการแก้แค้นที่สาแก่ใจอวี้เม่ยเสียจริง ส่วนประโยชน์อีกข้อก็ตามที่องค์ชายสิบสี่เพิ่งพูดไป เก็บศัตรูไว้ใกล้ตัว “มันจะเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไร” อวี้เม่ยยิ้มด้วยดวงตาใสซื่อ แต่ก็ไม่สามารถตบตาชายผู้นี้ เขาลุกเดินเข้ามาใกล้จ้องนางด้วยดวงตาดุดันก่อนจะเค้นเสียงขึ้นจมูก “บอกความจริงข้ามา เจ้ามีแผนอะไรหรือใครส่งเจ้ามา” เมื่อถูกต้อนจนจนมุม อวี้เม่ยก็ไม่มีทางเลือก นางยกมือเรียวงามขึ้นคล้ายจะเช็ดบางอย่างออกจากใบหน้าพร้อมเงยหน้ามององค์ชายสิบสี่ พูดตัดพ้อเขาด้วยเสียงสั่นเครือ “เหตุใดท่านถึงมองข้าเป็นคนเช่นนั้นไปได้ ไหนเลยท่านจึงไม่เชื่อข้า” เมื่อประสานเข้ากับดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตา องค์ชายสิบสี่ก็ชะงักไปชั่วขณะ เขาถอยหลังไปสองก้าวก้มหน้าลงเหมือนจะรู้สึกผิดที่พูดกดดันจนอวี้เม่ยร้องไห้ อวี้เม่ยแอบยิ้มบางๆ พอใจที่เห็นหน้าตาตื่นของอีกฝ่าย แต่ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะหันหลังหนี องค์ชายสิบสี่ก็เงยหน้าขึ้นจ้องด้วยสายตาเย็นชาอีกครั้งพร้อมกับทวงถามถึงสัญญา “พนันครั้งก่อน ข้ารู้สึกว่าข้าชนะใช่หรือไม่”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม