บ้าไปแล้ว มันจะเป็นไปได้อย่างไร ทรงไม่เคยแม้แต่จะชายตามองข้าด้วยซ้ำ
“แต่พักหลังมานี้ ข้าว่าไท่จื่อก็ดูสนใจเจ้าอยู่ไม่น้อย ดูอย่างของที่ประทานให้เจ้าสิ ไหนจะบ่าวไพร่อีก นี่ยังไม่นับเรื่องที่มาหาเจ้าถึงตำหนักน่ะ หากไม่สนใจคงไม่ทุ่มเทถึงเพียงนี้หรอก”
บ้าสิ้นดี! อ้ายฉิง ท่านนี่เพ้อเจ้อใหญ่แล้ว อยากให้ข้าช่วยพวกท่านพี่น้องมากถึงขนาดต้องเอาลูกไม้แบบนี้มากล่อมกันเชียวหรือ เชื่อก็โง่แล้ว
“ว่าที่พระชายา ฟังข้าอยู่รึเปล่า” เมื่อเห็นคนตรงหน้าดูเหม่อลอย ไม่ได้ตั้งใจฟังสิ่งที่ตนสอน แม่นมจางจึงเริ่มเกิดอาการไม่พอใจ คิดว่าอวี้เม่ยแกล้งทำเป็นเมิน ไม่สนใจนาง
“อ่า ฟังๆ ข้าฟังอยู่”
“นั่งเหม่อแบบนี้ ไม่ทราบว่าคิดถึงองค์ชายท่านไหนอยู่หรือ ไท่จื่อ องค์ชายห้า เอ๊ะ! หรือจะเป็นองค์ชายสิบสี่” กำแพงมีหู หน้าต่างมีช่องจริงๆ เรื่องที่เกิดขึ้นในวังไม่มีทางเล็ดลอดไปจากสายตาของผู้สอดรู้สอดเห็นไปได้ โดยเฉพาะกับแม่นมเฒ่าที่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นไปทั่ว
อวี้เม่ยไม่ตอบโต้ หันไปจดจ่อกับการคลุกก้อนแป้งหมี่ในมือต่อ
วันนี้กุ้ยเฟยรับสั่งให้อวี้เม่ยมาเรียนรู้งานในห้องเครื่อง สถานที่จัดเตรียมพระกระยาหารของบรรดาราชวงศ์ชั้นสูง ฮองไทเฮาผู้ให้ความสำคัญกับอาหารการกินเป็นพิเศษจึงกระชับให้เรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่อวี้เม่ยต้องเรียนรู้
การจัดเตรียมพระกระยาหารในแต่ล่ะมื้อนั้นนับได้ว่าเป็นเรื่องใหญ่ มีระเบียบแบบแผน พิถีพิถัน มีส่วนประกอบของห้าธัญพืช ห้ารสชาติ เปรี้ยว หวาน ขม เค็ม และเผ็ด อีกทั้งเนื้อเห็ดเป็ดไก่ปลา ก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ยังมีอาหารว่างและเครื่องดื่มที่ต้องตรวจดูให้เรียบร้อย
ทุกครั้งก่อนจะประกอบอาหาร จะมีการบันทึกรายการพระกระยาหารโดยละเอียด ยื่นให้ขุนนางชั้นสูงในกรมวังอนุมัติ จะมีผู้คอยตรวจสอบความถูกต้องโดยละเอียดอีกครั้งก่อนนำไปถวาย
อวี้เม่ยที่ตอนแรกเดินดูการทำงานของเหล่าคนครัวอยู่ดีๆ ก็ถูกหัวหน้าพ่อครัวเรียกเข้าไปช่วยคลุกแป้งซะอย่างงั้น ไม่ต้องบอกก็รู้ ฝีมือยัยแม่มดเฒ่าแน่ๆ
“เสน่ห์ปลายจวักก็เป็นสิ่งหนึ่งที่จะมัดใจสามีได้ เพราะฉะนั้นว่าที่พระชายาคงจะไม่ปฏิเสธที่จะเรียนรู้เรื่องการปรุงอาหารใช่หรือไม่”
เล่นลิ้นเก่งนักนะ จะหลอกใช้งานข้าก็บอกมาดีๆ เถิด
อวี้เม่ยคลุกแป้งพลางคิดว่าวันนี้นางจะพบเจอกับอะไรบ้าง อืม...แม่นมจางจะให้ข้าทำขนมไปให้ไท่จื่อ เพราะไท่จื่อนั้นเกลียดของหวาน ซึ่งเป็นสิ่งที่คนทั่วทั้งวังต่างก็รู้ดี คงอยากสร้างความประทับใจให้ข้าสินะ ซึ่งแน่นอนว่าได้ผล ข้าถูกไล่ตะเพิด
พวกนางร้ายหัวเราะคิกคักในความเชื่อคนง่าย..อ่อนต่อโลก...โง่ หรืออะไรก็ตามที่ใช้เรียกคนซื่อบื้ออย่างข้า เจ็บใจตัวเองชะมัด ตอนนั้นข้าไปหลงเชื่อคำนางได้อย่างไร
“เมื่อทำเสร็จก็นำไปถวายให้ไท่จื่อเสียหน่อยสิ”
นั่นไง เริ่มแล้ว
“ถึงไท่จื่อจะมิทรงโปรดของหวาน หากแต่เป็นสิ่งที่ว่าที่พระชายาทำให้ ต้องดีพระทัยมากเป็นแน่”
ข้าหลงเชื่อคำพูดแบบนี้นี่เอง
ว่าแล้วก็เล่นตามน้ำไปละกัน
“จริงหรือ งั้นข้าจะทำให้สุดฝีมือเลยเชียว” อวี้เม่ยกล่าวพลางฉีกยิ้มกว้าง รอยยิ้มแห่งการเสแสร้ง
เฉียนกั่ว ขนมที่ทำจากงาเป็นหลัก มีส่วนประกอบหลักๆ คือแป้งข้าวสาลี น้ำตาลทรายขาว น้ำตาลข้าวมอลล์ และเม็ดงา นำส่วนผสมทั้งหมดมาคลุกเคล้าเข้าด้วยกัน หมักไปสักครู่ก่อนจะลงกระทะทอดจนเเป้งเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง
“ว่าที่พระชายาช่างมีพรสวรรค์ยิ่งนัก”
หัวหน้าพ่อครัวเดินเข้ามาชื่นชมผลงานด้วยความตื่นเต้น ไม่เว้นแม้แต่แม่นมจางยังแอบลอบกลืนน้ำลาย
“ถ้าไม่รังเกียจ ท่านทั้งสองจะลองชิมดูไหม”
ไม่ต้องเชิญซ้ำสอง ขนมเฉียนกั่วก็ถูกยัดใส่ปากเป็นที่เรียบร้อย หากแต่สีหน้าของผู้กินกลับดูบิดๆ เบี้ยวๆ อวี้เม่ยกลั้นขำแทบไม่ไหว เพราะนางได้แกล้งใส่เกลือลงไปในขนมเฉียนกั่วแทนน้ำตาลทรายขาว
“ข้าว่ามันแปลก...”
“ไม่ๆ ข้าว่าอร่อยแล้วล่ะ” แม่นมจางร้องห้ามหัวหน้าพ่อครัว บอกให้เขาหุบปากเงียบไว้ “ไท่จื่อต้องโปรดมากเป็นแน่ ข้าจะจัดใส่จานให้นะ”
โกหกหน้าตาย ปากเบี้ยวตาหยีขนาดนี้ยังกล้าบอกว่าอร่อยอีก
“ท่านล่วงหน้าไปก่อน ข้าจะไปตาม...เอ่อ เอาเป็นว่าข้าจะตามไปทีหลัง ท่านรีบไปเถอะ”
แม่นมจางยื่นถาดขนมให้อวี้เม่ย ก่อนจะวิ่งขลุกๆ ออกไปทันที
คงจะรีบไปรายงานนายของตนสิท่า คงอยากเห็นข้าถูกไท่จื่อด่าทอเสียมาก เอาเถอะ เอาที่สบายใจเลยละกัน
อวี้เม่ยบอกลาเหล่าคนครัวที่ส่งสายตาให้กำลังใจมาให้ อ่า...อย่าคิดมากกันเลยนะทุกคน ข้ารับมือได้
เวลาบ่ายเป็นเวลาเหมาะที่จะนั่งดื่มชาพลางชมดอกเหมยเสียจริง ในอุทยานดอกไม้บานสะพรั่งเป็นภาพที่ชวนมอง อวี้เม่ยเดินไปได้สักพัก ฝีเท้าของนางก็เริ่มช้าลง เสียงคุยของใครสักคนดังมาจากทางเบื้องหน้า
“เจ้าว่าเวลาไหนเหมาะจะลงมือ”
องค์ชายแปด!?
“ไม่ใช่ตอนนี้ ในวังมีหูมีตามากเกินไป เราจะเสี่ยงไม่ได้”
องค์ชายแปดกับองค์ชายสิบสี่ คุยอะไรกันอยู่...
“ก็จริงอย่างเจ้าว่า แต่จะต้องรออีกนานแค่ไหน ยิ่งปล่อยให้นานวัน เหล่าขุนนางก็จะยิ่งหมดความเชื่อมั่นในพวกเรานะ”
“ข้ารู้ แต่เรายังมีเสด็จอา เสด็จอาน่าจะโน้มน้าวพวกเขา ไม่ให้เห็นดีเห็นงามไปกับเสด็จพ่อได้”
เสด็จอา...ท่านอ๋อง
ฉู่อ๋อง เฉินกง!?
พระอนุชาเพียงคนเดียวของฮ่องเต้ ผู้ซึ่งมีความดีความชอบจนได้รับการอวยยศเป็นอ๋องขั้นหนึ่งชั้นเอก มีอำนาจและเป็นที่เกรงขามของบบรรดาเหล่าขุนนางในวัง
แม้แต่ท่านอ๋องเองก็...มีส่วนรู้เห็นด้วยงั้นเหรอ แต่ทรงเป็นที่รักของฮ่องเต้ ไม่ว่าจะเอ่ยขอสิ่งใดก็มักจะได้รับตามที่ปรารถนา กระทั่งได้รับความไว้ใจให้ยกทัพไปปราบกบฏทางเหนืออยู่บ่อยครั้ง เป็นถึงท่านอ๋อง เป็นแม่ทัพใหญ่ เป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง เหตุใดถึงคิดจะโค่นราชบัลลังก์ของพี่ชายตนเอง
ไม่มีเหตุผลเสียเลย
“เจ้ามาทำอะไรอยู่ตรงนี้”
อวี้เม่ยที่ยืนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยไม่ทันรู้ตัวเลยว่าองค์ชายรองเดินมายืนอยู่ด้านหลังของตนตั้งแต่เมื่อไร นางลนลานรีบย่อตัวถวายพระพร
“หม่อมฉันกำลังจะไปที่ตำหนักของไท่จื่อเพคะ พอดีผ่านมา ไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟัง”
องค์ชายรองหรี่ตามองคล้ายจะจับผิด “ขนมในมือเจ้า น่ากินดีนะ ของไท่จื่อเหรอ”
“เพคะ”
“เจ้ารู้ใช่ไหมว่าไท่จื่อไม่ชอบของหวาน”
“รู้เพคะ”
องค์ชายรองขมวดคิ้ว “งั้นแล้วทำไม”
“แม่นมจางบอกไว้เพคะ หม่อมฉันไม่อยากขัดก็เลย...”
นี่ข้าคิดมากไปเองหรือนี่ ครั้งก่อนที่นางตะโกนใส่หน้าข้าปาวๆ ยังคิดอยู่เลยว่าสตรีนางนี้ต้องมีอะไรบางอย่างเป็นแน่ แววตาขึงขัง น้ำเสียงโกรธเกรี้ยว นางอาจจะล่วงรู้ถึงแผนการของข้าหรือไม่ ถึงแสดงกิริยาต่อต้านเช่นนั้นออกมา
น่าสนใจ ต้องจับตาดูเอาไว้ให้ดี
แต่พอมาวันนี้กลับไม่รู้ตัวเองเลยว่ากำลังโดนแม่นมจางหลอก น่าผิดหวัง ที่แท้นางก็เป็นเพียงหญิงโง่ๆ คนหนึ่งเท่านั้นเองสินะ
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว หม่อมฉันขอตัวก่อนนะเพคะ”
อวี้เม่ยรีบผละตัวออกมาจากองค์ชายรอง ก่อนจะรีบเดินจ้ำอ้าวไปทางวังตะวันออกโดยเร็ว
องค์ชายแปดกับองค์ชายสิบสี่ที่เพิ่งจะสังเกตเห็นอวี้เม่ยเดินผ่านไป ต่างก็หันมองหน้ากัน ในใจคิดกังวลว่านางจะได้ยินอะไรไปบ้าง แต่แล้วองค์ชายรองก็เดินเข้ามาบอกให้ทั้งสองคลายความกังวล
“นางแค่ผ่านมาน่ะ”
“แน่ใจนะพี่รอง ว่านางไม่ได้มาแอบฟังเรา” องค์ชายแปดเอ่ยถาม
“ไม่รู้สิ แต่ถึงจะแอบฟังจริง ก็คงไม่รู้อะไรหรอก คงสอดรู้สอดเห็นตามประสา”
องค์ชายสิบสี่ส่ายหน้า “พี่รองอย่าประมาทนางเชียว เห็นนางซื่อๆ แบบนั้น ใครจะรู้ว่านางคิดอะไรอยู่”
“น้องสิบสี่พูดถึงอวี้เม่ยหรือพูดถึงใครกันแน่”
คำพูดกระแหนะกระแหนขององค์ชายแปด ทำองค์ชายสิบสี่รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที ทำไมทุกครั้งที่เห็นอวี้เม่ย เขาจำต้องเห็นเป็นภาพซ้อนทับของซูเฟย เสด็จแม่ของเขาทุกครั้งไป
เบื้องหน้าเป็นถึงพระชายาชั้นเอก มีอำนาจอยู่ในมือแต่ก็แกล้งทำเป็นตามเกมคนอื่นไม่ทัน ยอมให้มีคนจูงจมูก แสร้งเป็นสตรีอ่อนแอไม่มีพิษภัย หากภายในนั้นเยือกเย็นเต็มไปด้วยความริษยา สั่งฆ่าได้แม้กระทั่งคนที่มีบุญคุณแก่นาง
“ซูเฟยไม่อนุญาตให้เจ้าเข้าเฝ้างั้นเหรอ”
“ข้าไม่อยากไปเอง ไม่อยากไปฟังคำตัดพ้อของนาง”
“เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้วนะ เจ้าก็ปล่อยวางเสียบ้างเถอะ”
“ถึงจะผ่านมานาน แต่ก็ไม่เคยจางหายไปจากวังหลวง ทุกย่างก้าวของข้าเต็มไปด้วยคำติฉินนินทา โอรสของสตรีใจทราม น่าสงสาร มีบุญแต่กรรมบัง”
องค์ชายรองถอนหายใจ ได้แต่ตบไหล่น้องชายเบาๆ หากไม่ใช่เรื่องของตนก็พูดง่าย องค์ชายรองผู้เข้าใจคำนี้ดี เพราะตนเองนั่นก็เป็นที่ครหาไม่ต่างกัน
มีบุญแต่กรรมบัง ได้เป็นถึงโอรสสวรรค์ แต่ก็มิอาจเอื้อมถึงตำแหน่งองค์รัชทายาท ไม่แม้แต่จะได้รับความรักจากฮ่องเต้ ด้วยชาติกำเนิดที่ไม่เป็นที่ยอมรับ ผู้เป็นแม่ที่มีประวัติมัวหมอง แค่มีที่ให้ยืนอยู่ในวังก็ถือว่าดีหนักหนาแล้ว
“ไม่ต้องห่วง หากข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้เมื่อไร ข้าจะลากคอไอ้พวกปากบอนทั้งหลายมาตัดลิ้นเสียให้หมด รอวันนั้นมาถึงก่อนเถอะ พวกมันทุกคนต้องได้ชดใช้แน่ โดยเฉพาะเสด็จพ่อ”