นี่ก็เวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว มณีธาราคิดว่า ‘เวลาดึกขนาดนี้ น่าจะหลับกันหมดแล้ว’ โดยเฉพาะศศิธรที่ตื่นตั้งแต่เช้ามาเตรียมข้าวต้มให้ทุกคนทาน แต่พอเธอก้าวเท้าเข้าไปในบ้านก็ต้องแปลกใจที่เห็นดวงไฟในบ้านยังเปิดสว่าง โดยมีพ่อและแม่ของเธอกำลังนั่งบนโซฟาดูทีวีรอเธออยู่ในห้องรับแขกของครอบครัว
“สวัสดีค่ะ คุณพ่อคุณแม่ น้ำนึกว่าเข้านอนกันหมดแล้วซะอีก” เธอเข้าไปกอดมารดาอย่างออดอ้อนเอาอกเอาใจ ขณะที่เอกตะวันนั่งลงไม่ไกลนัก
“พ่อกับแม่กำลังรอหนูอยู่น่ะลูก มีเรื่องจะคุยด้วย” ศศิธรกอดลูกสาวไว้ในอ้อมแขน ขณะที่สุริยะเริ่มพูดคุยอย่างใจเย็น
“คืออย่างนี้นะลูก เมื่อกลางวันพ่อไปเจอคุณอาธนิกมา เราพูดคุยกันรายละเอียดเรื่องการหมั้นของลูกกับเจ้ากานต์...” ยังไม่ทันที่สุริยะจะพูดจบมณีธารารีบพูดสวนขึ้นทันทีด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง ศีรษะตั้งตรงด้วยรู้แน่ว่าเมื่อพ่อของเธอเริ่มคุยเรื่องนี้แล้ว เธอก็ต้องกล้าที่จะพูดในจุดยืนของตัวเองเช่นกัน
“ไม่หมั้นค่ะ น้ำไม่หมั้น”
“น้ำลูก ทำไมไม่หมั้นล่ะลูก” ศศิธรพยายามพูดอย่างใจเย็นเมื่อเห็นว่ามณีธารามีทีท่าที่แข็งขืนและทำท่าจะปฏิเสธการหมั้นหมายนี้
“คุณพ่อคุณแม่จะให้น้ำหมั้นกับคนที่น้ำไม่รู้จักได้อย่างไรกันคะ?”
“น้ำลูก แค่การหมั้นหมาย ยังไม่ได้แต่งงาน ในเมื่อตอนนี้น้ำยังโสด ไม่มีแฟน การหมั้นก็เหมือนการจับจองไว้ก่อน เพื่อทำความรู้จักศึกษาเรียนรู้กันไปก่อน” สุริยะพยายามพูดโน้มน้าวอย่างใจเย็น เขาต้องการพูดคุยกับลูกให้เข้าใจมากกว่าจะบังคับเพื่อเอาชนะ
“คุณพ่อพูดเหมือนกับว่า การที่น้ำเป็นโสดไม่มีแฟนเป็นความผิดของน้ำ ทำให้คุณพ่อคุณแม่จะต้องรีบหาแฟนให้อย่างนั้นแหละค่ะ” ความไม่พอใจแสดงออกชัดเจนในน้ำเสียงและสีหน้าของหญิงสาว ทำให้บรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้น
“น้ำลูก การที่น้ำเป็นโสดไม่ใช่ความผิดนะลูก พ่อกับแม่แค่อยากให้หนูลองเปิดใจ ลองทำความรู้จักพี่กานต์ดูเพราะผู้ชายคนนี้พ่อกับแม่เชื่อว่าเขาเป็นคนดี และถ้าได้แต่งงานกันไป เขาน่าจะดูแลลูกได้ดีไม่ต่างจากพ่อแม่” ศศิธรพยายามใช้น้ำเย็นปลอบประโลมลูกสาวสุดที่รัก
“พี่ตะวันเข้าข้างน้ำใช่ไหมคะ”
เมื่อรู้ตัวดีว่าไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรไปคัดค้าน มณีธาราจึงหันไปหาเอกตะวันเพื่อหาตัวช่วย
ในสถานการณ์เช่นนี้ทำให้เอกตะวันขยับตัวอย่างอึดอัด ฝ่ายหนึ่งก็พ่อแม่ อีกฝ่ายก็น้องสาว สำหรับเขาแล้ว เขาเข้าใจความคิดของทั้งสองฝ่าย เขาเองก็ไม่ต้องการเห็นการทะเลาะกันภายในครอบครัว และเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง เขาจึงเลือกใช้คำพูดที่ประนีประนอมเป็นผลดีกับทุกฝ่าย ทำให้บัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น
“พี่คิดว่า การที่น้ำโสดไม่มีแฟนไม่ใช่ความผิด และการที่คุณพ่อคุณแม่เลือกคู่หมั้นให้ก็ไม่ผิดเช่นกัน...”
เขาเงียบไปอึดใจก่อนจะพูดต่อหลังจากคิดใคร่ครวญดีแล้ว
“แต่ผมกลับคิดว่าสุดท้ายแล้วน้ำควรจะมีโอกาสได้เรียนรู้หรือทำความรู้จักนายกานต์นั่นก่อนที่จะตัดสินใจหมั้นกัน แล้วหลังจากทำความรู้จักกันดีแล้ว ถ้าน้ำโอเคค่อยหมั้นกันก็ยังไม่สาย จริงไหมครับ?”
คำพูดของเอกตะวันไม่เชิงว่าเข้าข้างมณีธาราและก็ไม่เชิงว่าเข้าข้างพ่อแม่ แต่ทำให้สถานการณ์ตรงหน้าที่กำลังตึงเครียดเบาลง สุริยะและศศิธรเริ่มใจอ่อนเห็นด้วย แต่สำหรับมณีธาราแล้วนั้นกลับคิดว่าเอกตะวันพยายามจะยืดเวลาการหมั้นออกไปเสียมากกว่าเพราะสุดท้ายแล้ว ผลลัพธ์ก็คือ เธอก็ต้องหมั้นอยู่นั่นเอง และนั่นทำให้หญิงสาวกัดริมฝีปากล่างด้วยความรู้สึกไม่พอใจที่พี่ชายดูเหมือนไม่เข้าข้างตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์
“ตะวันพูดก็ดูมีเหตุผลนะแม่ ถ้าอย่างนั้นพ่อก็จะให้ทั้งสองคนทำความรู้จักกันไปก่อนสักระยะค่อยจัดงานหมั้นกันก็ได้เนอะแม่เนอะ”
“นั่นสิพ่อ แม่ก็ว่าวิธีนี้ดีนะ น้ำก็จะได้ทำความรู้จักพี่เขาด้วยยังไงล่ะ ดีไหมลูก” ประโยคสุดท้ายของศศิธรหันมาถามหญิงสาว ขณะที่เจ้าตัวตอบรับส่ง ๆ ให้ผ่านพ้นสถานการณ์ช่วงนี้ไปก่อน
“ก็ได้ค่ะ”
‘แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อนแล้วกัน ขืนดื้อรั้นไปมีแต่จะต้องทะเลาะกัน แล้วถ้าถึงวันนั้นเกิดเจอหน้านายอันธการอะไรนั่นแล้วไม่ชอบขึ้นมา แม่จะอาละวาดให้บ้านแตก รีบเปลี่ยนใจไม่อยากจะหมั้นกับเราเลย’ มณีธาราหมายมั่นปั้นมือกับตัวเอง
“อ่อ... น้ำเกือบลืมบอกทุกคนค่ะ มะรืนนี้น้ำจะต้องเดินทางไปทำงานที่เชียงรายนะคะ ที่ทำงานส่งน้ำไปทำงานที่นั่นเป็นเวลา 1 เดือน”
“ห๊ะ! อะไรนะ!” เสียงอุทานดังของทั้ง 3 ดังขึ้นพร้อมกันด้วยความตกใจ
“ตั้ง 1 เดือน ไปตั้งนาน” ผู้เป็นแม่บ่นด้วยความเป็นห่วงกับข่าวที่เพิ่งรู้กะทันหัน
“แล้วก็ไปมะรืนนี้เสียด้วย ทำไมด่วนจัง นี่เจ้ากานต์จะกลับจากไปดูงานที่ต่างประเทศมะรืนนี้พอดี พ่อกะว่าจะให้นัดเจอกันเสียหน่อย จะได้ทำความรู้จักกันไปด้วย ทำอย่างไรดีล่ะเนี่ย?” สุริยะบ่นด้วยความเสียดายที่ลูกสาวจะพลาดโอกาสได้พบกับอันธการอย่างที่เขาวางแผนไว้
“นี่ถ้ามาทำงานกับพี่ ก็ไม่โดนให้ไปทำงานไกลบ้านตั้ง 1 เดือนหรอก ลาออกเลยดีไหม แล้วมาทำงานกับพี่แทน” เอกตะวันบ่นอย่างไม่พอใจ
“ทุกคนคะ น้ำแค่ไปทำงานนะคะ แค่ 1 เดือนเอง ไม่ได้นานเลยเดี๋ยวน้ำก็กลับมาแล้วค่ะ คุณพ่อคะ...พอน้ำกลับมาค่อยไปเจอพี่กานต์ก็ได้ค่ะ ส่วนพี่ตะวันจะให้น้ำลาออกยังไงน้ำไม่ลาออกเด็ดขาดค่ะ คุณแม่คะ...เดี๋ยวน้ำก็กลับมาแล้ว ไปทำงานแค่ 1 เดือนเองนะ ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ” หญิงสาวพยายามพูดโน้มน้าวอ้อนวอนให้ทุกคนคลายความกังวลและเป็นห่วงเธอ
“ถ้าอย่างนั้นน้ำรับปากกับแม่นะลูก หนูจะต้องโทรมาหาแม่บ่อย ๆ นะลูก”
“ค่ะ น้ำรับปากว่าจะโทรมาหาบ่อย ๆ นะคะ” ศศิธรรั้งร่างบางของบุตรสาวมากอดด้วยความรักระคนเป็นห่วง ขณะที่ผู้เป็นพ่อกับพี่ชายนั้นมีความไม่พอใจฉายชัดบนสีหน้าและแววตาแต่ก็ทำอะไรไม่ได้จำต้องยอมรับโดยดุษณี