เสียงนั้นดังมาจากบริเวณบันไดชั้นสองของคฤหาสน์ หัวหน้าแม่บ้านคนเก่าคนแก่ของตระกูล ‘วราฤทธิ์’ เห็นว่าคุณเตชัสมีแขกมาด้วย จึงจะเอาน้ำส้มและชาพีชมาเสิร์ฟให้ แต่เพราะระหว่างทางเดินขึ้นชั้นสองแกได้รับข่าวร้ายจึงทำให้ตกใจจนก้าวพลาด
เสียงที่ตะโกนเมื่อครู่ทำให้เตชัสปล่อยสาวน้อยลงกับพื้น พลันขมวดคิ้วเข้มด้วยความตกใจแล้วดึงมือขวัญดาวให้ตามเขาลงไปดูป้าอุ่น คนที่ดูแลเขามาตั้งแต่เด็ก
“ป้าอุ่น”
เตชัสหน้าตื่นแล้วสั่งการสาวใช้ที่ยืนหน้าซีดด้วยความตกใจให้รีบโทรตามรถพยาบาลมา
“ป้าอุ่นครับ ป้าอุ่นทำใจดีๆ ไว้นะครับ รถพยาบาลกำลังมา”
เด็กสาวชาวเมียนมาร์ลูกมือป้าอุ่นยังคงยืนตระหนกทำอะไรไม่ถูก ขวัญดาวจึงล้วงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ขอให้เขามารับคนเจ็บเดี๋ยวนี้
ส่วนร่างสูงนั้นรีบเข้าไปดูอาการแม่บ้านคนสนิทด้วยความเป็นห่วงอย่างไม่ถือตัวสักนิด สองมือโอบประคองแม่บ้านวัยหกสิบเจ็ดปี “ป้าอุ่นไม่เป็นไรนะครับ เตอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวรถพยาบาลจะมารับแล้ว เตจะไปโรงพยาบาลเป็นเพื่อน”
“คุณเตคะ คุณ...” เสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้นขณะน้ำตาคลอเบ้า แม้จะรู้สึกเจ็บไปทั้งตัว แต่ยังพอมีสติอยู่
“ป้าอุ่นอย่าเพิ่งพูดครับ”
เจ้าของเสียงแหบพร่าพยายามขยับริมฝีปากบอกข่าวสำคัญ “คุณเตคะ คุณฉัตรตายแล้วค่ะ”
เตชัสย่นคิ้วก่อนจะเบิกตากว้างอย่างตระหนก ฉัตรหรือฉัตรเทพ คือน้องชายของเขาที่จบปริญญาโทด้านวิศวกรรมศาสตร์ และเวลานี้กำลังไปดูงานที่เหมืองปูน ซึ่งเป็นหินปูนที่ได้จากการระเบิดหินภูเขาที่ได้รับสัมปทานอย่างถูกต้อง
“ไอ้ฉัตร”
ขวัญดาวยกมือขึ้นปิดปาก ไม่คิดว่าน้องชายของท่านประธานที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากต่างประเทศแล้วเข้ามาทำงานในบริษัทได้เพียงไม่กี่เดือนจะอายุสั้น เป็นเวลาเดียวกับที่โทรศัพท์ของเธอสั่นเป็นเจ้าเข้า คนโทรมาคือคุณเอมอร เลขานุการหลักของท่านประธาน
“ค่ะพี่” ขวัญดาวรับสายในขณะที่มือยังสั่น
“รู้หรือยังขิง คุณฉัตรเทพ น้องชายท่านประธานประสบอุบัติเหตุระหว่างดูคนงานระเบิดหินเสียชีวิตคาที่ เธอรีบช่วยพี่ติดต่อกับทางโรงพยาบาลเพื่อขอรับศพกลับกรุงเทพฯ เพื่อมาบำเพ็ญกุศลด้วย พี่กำลังติดต่อกับทางวัด”
“ได้ค่ะพี่”
“แล้วนั่นถึงหอพักหรือยัง ขอโทษที่ต้องใช้งานนอกเวลา แต่นี่งานเร่งด่วนจริงๆ” เพราะงานของเลขานุการอย่างเอมอรไม่ใช่แค่งานเอกสารเท่านั้น ด้วยค่าจ้างที่แพงลิ่ว เอมอรจึงดูแลทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเตชัสได้อย่างยอดเยี่ยม
“ยังไม่ถึงหอค่ะ” แต่ขวัญดาวไม่ได้บอกว่าเธออยู่กับเจ้านาย
“พี่เครียดมากเลยรู้ไหม แต่เราอย่าเพิ่งไปบอกใครนะ ว่าคุณฉัตรมีลูกติดกลับมาจากต่างประเทศด้วย”
“ลูก!”
“ใช่ ลูกคุณฉัตร หลานคุณเต”
ภายในงานศพที่จัดขึ้นอย่างใหญ่โต มีแขกเหรื่อหลายร้อยคนมาร่วมงาน ร่างสูงในชุดสูทเนี้ยบสีดำยืนอยู่หน้ากรอบรูปสีทองเรียบหรูล้อมด้วยดอกไม้สดสีขาว ภาพชายหนุ่มในกรอบรูปหน้าตาละม้ายคล้ายกับเขาอยู่มาก เตชัสหลับตานิ่งข่มความโมโหตัวเองลงไป เขาเป็นพี่ชายที่แย่มากสินะ นึกถึงเหตุการณ์ที่เคยมีปากมีเสียงกับน้องชายจนไม่ค่อยได้พูดจากัน เพราะเขาต้องการให้น้องชายเข้ามารับตำแหน่งรองประธาน แต่ฉัตรเทพไม่ชอบงานสายบริหาร ขอย้ายไปคุมงานที่เหมืองแร่หินปูน จนกระทั่งวันที่น้องจากไป โดยที่เขายังไม่มีโอกาสได้ลา
แม้จะเป็นพี่น้องคลานตามกันมา ทว่านิสัยของคนทั้งคู่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ฉัตรเทพเป็นคนเงียบๆ ถามคำตอบคำ ถ้าไม่ใช่คนสนิทก็แทบจะไม่ปริปากพูด ทำงานเก่ง ในขณะที่เตชัสเชี่ยวชาญด้านการบริหาร ตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่งแทนบิดาที่เสียชีวิตไปเมื่อปีที่แล้ว เขาทำให้ระบบภายในของบริษัทที่ยุ่งเหยิงมีระเบียบแบบแผนขึ้น ฝีมือการบริหารงานไม่แพ้นักธุรกิจรุ่นบุกเบิกที่ว่าเก๋าจนกลายเป็นที่ยอมรับ
เตชัสจ้องมองรูปและคำรามเสียงต่ำ “ไอ้ฉัตร แกทิ้งฉันไปแบบนี้ได้ไงวะ ไม่มีแกแล้วฉันจะทำงานหนักไปเพื่อใคร ที่ฉันคอยเคี่ยวเข็ญบังคับให้แกโยกย้ายมารับตำแหน่งในฝ่ายบริหาร ก็เพราะอยากให้แกดูแลธุรกิจที่พ่อเราสร้างมาด้วยกัน ฉันหวังดีกับแก ถ้าแกไม่ไปที่นั่น ฉันคงไม่เสียแกไป”
หัวใจของเขาเจ็บปวดแสนสาหัสที่ต้องเสียน้องชายเพียงคนเดียวไป เพียงแต่เตชัสพยายามเก็บอาการ ด้วยตำแหน่งท่านประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ เขาจึงไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้ใครเห็น ภายในงานมีทั้งญาติสนิท เพื่อนพ้อง พนักงาน คู่ค้าที่ทราบข่าวหรือตัวแทนบริษัทคู่แข่ง
“แอ้ แอ้”
ทว่าเสียงที่ไม่ควรจะอยู่ในงานศพที่มีแต่บรรยากาศเศร้าหมองก็ดังมาจากด้านหลัง ทำให้เตชัสเหลียวกลับไปมองอย่างแปลกใจ แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเข้มเข้าหากันในทันทีเมื่อพบหญิงสาวคนหนึ่งที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี
“ลียา”
ลียาเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งของฉัตรเทพน้องชายเขา และเขายังเคยแนะนำให้มันจีบลียา เพราะครอบครัวของเธอคือบริษัทคู่ค้ากับบริษัทของเขา แต่ที่น่าแปลกใจคือ เขาไม่ยักรู้มาก่อนว่าลียาแต่งงานจนมีลูกแล้ว บิดาของเธอก็รู้จักกับเขา เจอกันบ่อยๆ ทำไมถึงไม่เคยปริปากเลยว่าลียาแต่งงานไปแล้ว จะว่าแอบแต่งเงียบๆ ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้
“พี่เตคะ คือว่า...” หญิงสาวอึกอักไม่รู้จะเริ่มพูดยังไง
เตชัสออกอาการแปลกใจ “เอาเด็กที่ไหนมาด้วย” ที่จริงเขาอยากถามว่าเธอไปมีลูกตั้งแต่เมื่อไร
เตชัสเป็นคนเก็บอารมณ์เก่ง จากสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อครู่เปลี่ยนไปเป็นยิ้มให้สาวสวยตรงหน้า ทว่าสายตาของเขาไม่ได้มองหน้าเพื่อนของน้อง แต่กำลังสนใจเจ้าลูกหมูตัวอ้วน คิ้วเข้มหนา ที่แหงนคอมองหน้าเขาเหมือนจะหาเรื่องกันมากกว่า
“แอ้ แอ้”
เตชัสมองทารกชายในชุดบอดีสูทสั้นสีน้ำเงินปักรูปปลาวาฬตรงหน้าอก เลยอดถามอย่างตรงไปตรงมาไม่ได้ว่า
“อย่าบอกนะว่าเด็กนี่เป็นลูกลียา ทำไมพี่ไม่รู้มาก่อนว่าเรามีลูกแล้ว”
สาวเจ้าขวยเขินแก้มแดงระเรื่อแล้วรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ใช่ลูกลียาค่ะพี่เต ลียายังไม่ได้แต่งงาน”
“ก็นั่นน่ะสิ พี่ก็ยังแปลกใจว่าพ่อของเราไม่เคยแจกการ์ดงานแต่ง หรือว่า...” เตชัสหยุดพูด มองหน้าเด็กอีกครั้ง รู้สึกคุ้นๆ ตา แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นเด็กที่อ้วนจ้ำม่ำเหมือนแม่ขยันอัดนมให้แบบนี้ที่ไหน
“แล้วถ้างั้นไปเอาลูกใครมาอุ้ม แต่พาเด็กเล็กมางานศพแบบนี้ไม่ดีนะ พี่ว่ารีบพาเด็กกลับบ้านดีกว่า” เขาพูดด้วยความเป็นห่วงเด็ก
หญิงสาวส่ายหน้าน้อยๆ พลางหายใจยาวพรืด “ลียาเข้าใจค่ะว่าไม่ควรพาเด็กมาร่วมงานศพ แต่ลียาจำเป็นต้องพาน้องปลาวาฬมาร่วมงานศพพ่อของแก”