ขวัญดาวทอดมองเด็กชายตัวกลมจ้ำม่ำที่ถูกทาแป้งมาเสียตัวขาวผ่องราวกับพร้อมสำหรับการชุบทอด “ใครทาแป้งให้ครับหนุ่มน้อย เหมือนพร้อมลงทอดกรอบในกระทะ”
เจ้าปลาวาฬน้อย แต่เป็นพี่เบิ้มสำหรับทารกวัยเดียวกัน ส่งเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากใส่หน้าราวกับฟังรู้เรื่อง “อารมณ์ดีจังนะเรา” ขวัญดาวอดสงสารร่างจ้ำม่ำในอ้อมแขนไม่ได้ แกไม่รู้ประสีประสา ไม่รู้แม้กระทั่งว่าตอนนี้อยู่ในงานศพของพ่อตัวเอง ในขณะที่เจ้าปลาวาฬกำลังดีดดิ้น ยกมือขึ้นไขว่คว้าเพราะเห็นตุ้มหูของขวัญดาว
หญิงสาวเหลือบไปเห็นซอกคอเจ้าหนูเป็นผื่นแดงตอนที่พ่อตัวกลมแหงนคอขึ้นเพื่อมองหน้าเธอ ซึ่งภาษาชาวบ้านจะเรียกว่าเด็กคอเปื่อย เด็กจะมีอาการเจ็บและแสบ เป็นเพราะทารกน้อยอ้วนจ้ำม่ำ มีเนื้อบริเวณคอเยอะ เมื่อเหงื่อไหลซึมเข้าไปที่ซอกคอ จึงเกิดความชื้นและอักเสบเป็นผื่น
“ตายจริง เจ็บไหมครับคนดี”
ขวัญดาวเคยเลี้ยงเด็กมาก่อน รู้วิธีจัดการ จึงพาเด็กหลบออกจากศาลาพาไปที่รถยนต์บุโรทั่งของบิดาที่ให้นำมาใช้หลังรู้ว่าเธอได้งานทำในตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการ กระนั้นหญิงสาวก็ไม่ได้สนใจว่ารถยนต์รุ่นนี้มันจะตกรุ่นไปนานโข แค่มันยังใช้ขับมาทำงานได้อย่างปลอดภัย กันแดด กันฝนได้ก็พอแล้ว ขวัญดาวจัดแจงหาผ้าสะอาดมาปูที่เบาะผู้โดยสาร หาน้ำสะอาดชุบผ้าสะอาดผืนนุ่มมาเช็ดแป้งที่คอเด็กเบาๆ
เจ้าตัวกลมทำหน้าเบ้ ห่อปาก แล้วจ้องหน้าขวัญดาวตาเขม็ง
“แอ้ แอ้”
“เจ็บเหรอครับ ขอเช็ดอีกนิดเดียว เดี๋ยวน้องปลาวาฬก็จะหายเจ็บแล้ว” ขวัญดาวมีโลชันปราศจากแอลกอฮอล์ติดไว้ในรถยนต์เพราะตนเองก็เป็นคนแพ้ง่าย ก่อนที่โลชันสำหรับเด็กจะถูกเทลงบนฝ่ามือแล้วนำไปลูบไล้ให้เด็กน้อยอย่างอ่อนโยน
ครั้นหญิงสาวเห็นเจ้าปลาวาฬดิ้นขลุกขลักเหมือนไม่สบายตัว มือบางจึงเอื้อมไปแกะชุดบอดีสูทออกแล้วพบว่าผ้าอ้อมสำเร็จรูปที่สวมใส่เอาไว้ชุ่มไปด้วยน้ำปัสสาวะ นั่นก็เพราะพยาบาลที่ฉัตรเทพจ้างมาช่วยลียาดูแลน้องปลาวาฬเพิ่งลาออกไปไม่นาน และคนใหม่ยังไม่ทันถูกส่งมา ฉัตรเทพก็มาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ระหว่างนี้ลียาเลยต้องดูแลปลาวาฬคนเดียว ซึ่งตัวเธอเองก็ไม่ได้สันทัดเรื่องการเลี้ยงเด็ก
นิ้วชี้สะอาดยื่นไปเขี่ยแก้มกลมเหมือนอมซาลาเปาไว้ทั้งสองข้าง พลางมองตากลมโตที่ใสราวกับนัยน์ตากวาง ทั้งน่าเอ็นดูและน่าสงสาร หากเป็นเด็กคนอื่นป่านนี้คงร้องโยเยไปแล้ว
“โอย... น้องปลาวาฬขาต้องเจ็บแน่ๆ แต่ไม่ร้องเลย ทำไมหนูทั้งน่าสงสารทั้งน่าเอ็นดูขนาดนี้คะ”
พอชมว่าปลาวาฬเก่ง เด็กชายก็ยิ่งยิ้มแป้นแล้นให้ หญิงสาวกำลังคิดว่าจะไปตามหาคนที่พาเด็กมาส่งให้ท่านประธาน เพราะเขาคงมีของใช้เด็กติดมา แต่ก็คิดได้ว่าพวกเขาคงกำลังคุยเรื่องสำคัญกัน หากเดินสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปวุ่นวายในเวลานี้คงไม่เหมาะ ดวงตาคู่สวยครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรดี เธอปล่อยให้เจ้าปลาวาฬยักษ์เกยตื้นอยู่ในทะเลฉี่น้ำสีเหลืองอ๋อยของตัวเองไม่ได้หรอก ป่านนี้ก้นเป็นผื่นหมดแล้ว
สายตาที่สอดส่ายเหลือบไปเห็นรถยนต์คุ้นตามาจอดไม่ห่างกับรถของเธอนัก คนลงจากรถยนต์แต่งตัวเรียบร้อยด้วยเสื้อเชิ้ตสีสุภาพกับกางเกงสแล็กส์สีดำ สวมรองเท้าหนัง หวีผมเรียบแปล้
“คุณวริศคะ”
ชายหนุ่มที่อยู่ฝ่ายบุคคลที่เพิ่งเดินทางมาร่วมงานหันมาตามเสียง “อ้าว คุณขิง มายืนทำอะไรที่ลานจอดรถครับ กำลังจะเข้างานหรือครับ งั้นเข้าไปพร้อมกันไหมครับ”
ขวัญดาวส่ายหน้า “คุณวริศรีบเข้างานไหมคะ”
“มีอะไรเหรอครับคุณขิง” ชายหนุ่มก้าวยาวๆ เข้ามาหาผู้ช่วยเลขานุการที่เขาแอบเล็งไว้
“ฉันจะขอรบกวนเวลาคุณวริศสักนิด” ขวัญดาวขอร้องให้ชายหนุ่มช่วยไปซื้อผ้าอ้อมสำเร็จรูปมาให้ แล้วชี้เข้าไปในรถยนต์ที่มีเด็กน้อยตัวกลมนอนอยู่
“ไม่เป็นไรครับคุณขิง ผมเห็นปากทางเข้าวัดมีร้านสะดวกซื้อเปิดอยู่ เดี๋ยวจะขับรถออกไปซื้อมาให้”
“ขอบคุณคุณวริศมากค่ะ” เธอส่งยิ้มหวานให้เขา
ภาพขวัญดาวยิ้มหวานให้ชายหนุ่มที่อยู่ฝ่ายบุคคล มีใครบางคนไม่ถูกใจสิ่งนี้ แล้วจึงเดินตรงมาที่พนักงานกลุ่มหนึ่งซึ่งกำลังมองออกมานอกศาลาพร้อมซุบซิบกันอย่างออกรส
“ดูสิ ยัยผู้ช่วยเลขาฯ ขยันบริหารเสน่ห์น่าดูเลย”
“เด็กจบใหม่ก็เนื้อหอมเป็นธรรมดา พวกผู้ชายก็แบบนี้แหละ เห็นใหม่ๆ มาแล้วกระดี๊กระด๊า”
คนที่ยืนคุยกันบริเวณลานจอดรถยนต์ไม่รู้ว่ามีสายตาหลายคู่มองมา วริศหน้าเจื่อนไปนิดเมื่อเกิดความสงสัยว่าเด็กที่นอนอยู่บนเบาะผู้โดยสารนั้น ใช่ลูกขวัญดาวหรือเปล่า ขออย่าให้เป็นแบบที่คิดก็แล้วกัน
“เด็กคนนั้นลูกคุณขิงเหรอครับ” ไม่เห็นมีใครในบริษัทพูดว่าผู้ช่วยเลขานุการมีลูกแล้ว มีแต่ลือกันว่าเป็นเด็กจบใหม่ และยังโสด อีกทั้งหนุ่มๆ ทั้งหลายโดยเฉพาะไอ้พวกวิศวกรมันก็ซุบซิบกันว่าดูทรงสาวเจ้าแล้วน่าจะซิงซะด้วย
ขวัญดาวยิ้มแหย “ไม่ใช่ลูกของฉันหรอกค่ะ พอดีญาติของแกกำลังยุ่งอยู่ในงาน” ท่านประธานยังไม่ได้เปิดตัวเด็กน้อยเธอจึงไม่กล้าพูดอะไรมาก “ฉันเห็นว่าในศาลาบรรยากาศไม่เหมาะกับเด็กค่ะ เลยอาสาเอาเด็กมาดูแลแทน ไม่อยากให้อยู่ในนั้นนานๆ ไหนจะกลิ่นธูป และเสียงเพลงจากวงปี่พาทย์อีก”
“ท่าทางจะเลี้ยงง่ายนะครับ น่ารัก น่าชัง” วริศยิ้มให้หนุ่มน้อยที่นอนอยู่ในรถ “รอเดี๋ยวนะเจ้าหนู”
ตั้งแต่ขวัญดาวถูกเอมอรขอให้เข้าไปช่วยเตชัสรับเด็กมาดูแลแทนไปพลางๆ ก่อน เพราะเห็นว่าท่านประธานกำลังยุ่ง สายตาของหญิงสาวกลุ่มหนึ่งที่สวมชุดยูนิฟอร์มสีเทาเข้มบ่งบอกให้รู้ว่าเป็นพนักงานออฟฟิศของบริษัทปูนซีเมนต์นครไทยก็ยังไม่หยุดจับจ้องมองมาที่ขวัญดาวและซุบซิบกันอย่างสนุกปาก โดยไม่รู้ว่ามีใครบางคนอ้าปากค้างจะถามอะไรตั้งหลายครั้ง แต่ไม่ได้จังหวะพูดสักที พวกหล่อนคุยกันแทบจะไม่หยุดหายใจเลยมั้ง