สัญญาแลกเปลี่ยน (1)

1645 คำ
แปะๆๆๆๆๆ เสียงปรบมือดังก้องทันทีที่ร่างบางในชุดราตรีสีขาวปุกปุยเหมือนนางฟ้าเดินออกมาโค้งตัวอย่างสง่างามบนเวที เธอไม่พูดอะไรออกมานอกจากส่งยิ้มละไมหว่านเสน่ห์ไปทั่วงานแล้วเดินไปนั่งบนเก้าอี้บุนวมชั้นดีหน้าเปียโนราคาแพง เพียงชั่วอึดใจท่วงทำนองเพลงที่เพราะจับใจก็ถูกบรรเลงออกมาจากปลายนิ้วเรียวยาวที่กรีดกรายอย่างช่ำชองบนคีย์บอร์ดสีขาวสลับดำ ใบหน้ากลมไข่สวยหวานที่กำลังดื่มด่ำอยู่กับเสียงเพลงของเปียโนราวกับจะจมดิ่งลงไปในโลกที่ไม่มีใครรู้จัก และด้วยอารมณ์นั้นกลับส่งผลให้เธอดูงดงามจนยากที่จะถอนสายตาออกไปได้ บลายธ์ไม่เคยรู้ตัวเลยว่าเวลาที่เธอปลดปล่อยอารมณ์ไปกับเสียงของเมโลดี้นั้นสะกดสายตาคนดูได้ขนาดไหน ราวกับว่ากำลังมีนางฟ้ามาเล่นดนตรีให้ฟังจริงๆ แบบนี้หรือเปล่านะที่เรียกว่ามนตร์สะกด ครืด! ครืด! ติ้ด! กดวางสาย... ครืด! ครืด! “บ้าเอ๊ย! อะไรนักหนาวะ” ฉันคิดว่าคงจะไม่มีทางถอนสายตาและละความสนใจไปจากร่างบางบนเวทีได้เลย แต่ท่าทางยุกยิกๆ แกมฟึดฟัดของเมฆก็ทำให้ฉันหลุดออกจากเวทมนตร์นั้น และพอมองไปรอบๆ ผู้คนทั่วทั้งงานต่างก็ตกอยู่ในภวังค์กันทั้งสิ้น พวกเขาอมยิ้มอย่างมีความสุขเพราะเสียงเปียโนของบลายธ์ ฉันยอมรับว่าพรสวรรค์ในด้านเปียโนของเธอนั้นสูงจริงๆ ทว่า... เมฆสบถลมหายใจอย่างหงุดหงิดก่อนจะเดินเลี่ยงออกไปจากงานเงียบๆ หมอนั่นไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่าฉันมองอยู่ ท่าทางเขาจะมีปัญหาอะไรสักอย่าง จู่ๆ ฉันก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา แม้ว่าฉันจะไม่ได้อยากรู้อยากเห็นเรื่องของเมฆแต่ว่าพอรู้ตัวอีกสองเท้าก็ก้าวเดินตามหลังหมอนั่นออกมาแล้ว ฉันเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้จริงๆ ทุกครั้งที่สังเกตได้ถึงความผิดปกติรอบๆ ตัวแม้ว่าจะไม่อยากรู้แต่ฉันก็ไม่สามารถหยุดร่างกายตัวเองได้ และเกือบทุกครั้งที่ฉันได้รู้ได้เห็นเรื่องต้องห้ามเหล่านั้นมันก็มักจะนำพาความทุกข์ใจมาให้เสมอ! เมฆเดินออกมาที่หน้าโรงแรม หมอนั่นเลือกที่จะเรียกแท็กซี่แทนที่จะขับรถของที่บ้านไป ท่าทางรีบร้อนแบบนั้นต้องเป็นเรื่องสำคัญแน่ และเหมือนโชคร้ายจะชอบวิ่งเข้าใส่ฉันเพราะทันทีที่แท็กซี่ของเมฆขับออกไป แท็กซี่อีกคันก็วิ่งผ่านมาติดๆ แล้วมือไม่รักดีก็เอื้อมไปโบกอย่างไม่ทันคิด ก่อนจะก้าวขึ้นมาแล้วออกปากสั่งเสียงหนักแน่นให้ตามรถคันหน้าไป! สาบานเลยว่าฉันไม่ได้อยากรู้เรื่องของเมฆเลยสักนิด แต่มันก็อดสงสัยไม่ได้ว่าอะไรทำให้ใบหน้านิ่งขรึมของหมอนั่นสะทกสะท้านได้... เมฆเป็นคนขับรถระดับปลายแถวประจำบ้านธาราพิลักษณ์ หมอนั่นอายุมากกว่าฉันกับบลายธ์ห้าปี และน่าจะกำลังเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย เพราะอยู่ในวัยเรียนผู้นำตระกูลจึงมอบหมายงานให้เมฆคอยขับรถอำนวยความสะดวกให้กับลูกสาวและญาติๆ ที่ไม่ได้มีตำแหน่งใหญ่โตภายในเครือบริษัท ฉันไม่ค่อยสนิทกับเมฆ แม้จะอยู่ในฐานะลูกบ้านเดียวกันแต่ท่าทีเย็นชาที่เขาแสดงออกมาตลอดเวลาก็ทำให้ฉันไม่อยากเข้าใกล้ อีกอย่างเวลาอยู่ด้วยกันเขาก็มักจะทำเหมือนไม่ชอบฉันด้วย เลยทำให้ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องของเขามากเท่าไหร่ แต่ที่แน่ๆ ก็คือเมฆอาศัยอยู่ในบ้านธาราพิลักษณ์ก่อนที่ฉันจะจำความได้ ฉันมั่นใจ ฉันรู้อยู่อย่างเดียวว่าเขาไม่มีครอบครัว... ไม่มีแม่... ไม่มีพ่อ... แต่หน้าตาผิวพรรณที่ดีเกินกว่าจะเป็นลูกชาวบ้านทั่วไปของเมฆมันก็ทำให้ฉันอดคิดไม่ได้ว่าบางทีเขาอาจจะเป็น... เอี๊ยด!!! “ว้าย!” ฉันคะมำหน้าคว่ำจนเกือบจะชนเบาะข้างหน้าเมื่ออยู่ดีๆ คนขับรถก็เบรกอย่างไม่บอกกล่าว “ขอโทษทีครับ แต่ว่ารถคันหน้าเล่นเบรกกะทันหันผมก็เลยต้องเบรกตาม” “อะ...” เมื่อได้ยินเหตุผลของคนขับฉันก็ใจเย็นลง กลับมานั่งตามปกติอย่างไม่คิดใส่ใจกับเรื่องนั้น แล้วกวาดสายตามองออกไปนอกกระจกรถ เมฆลงจากรถแล้วมุ่งหน้าเข้าไปในอาคารเก่าๆ หลังหนึ่ง ฉันรีบส่งเงินให้คนขับแท็กซี่แล้วแอบตามหมอนั่นเข้าไปข้างในเงียบๆ ระหว่างนั้นก็สังเกตทางหนีทีไล่เอาไว้ด้วย “เมฆ!” เสียงผู้หญิงเรียกชื่อของเมฆดังขึ้นมาจากใจกลางของห้อง ฉันแอบอยู่ข้างๆ ประตูอย่างใจสั่น นานๆ ทีจะโผล่หน้าเข้าไปส่องดูภาพข้างในสักครั้ง ผู้หญิงคนนั้นถูกจับมัดมือมัดเท้าแน่นอยู่บนโซฟาเก่าๆ ถึงใบหน้าจะดูซีดเซียวไปบ้างแต่โครงหน้าก็ยังดูสวย การแต่งตัวก็โฉบเฉี่ยวเปรี้ยวจี๊ดทันสมัย แต่ถึงจะดูดียังไงเธอก็เป็นผู้หญิงที่น่าจะมีอายุมากกว่าสามสิบ แต่ว่าฉันเดาไม่ออกเลยแฮะว่าเธออายุเท่าไหร่ ที่สำคัญเมฆเกี่ยวข้องยังไงกับผู้หญิงคนนั้น! ? “ก่อเรื่องอะไรเอาไว้อีกล่ะ” เมฆเอ่ยออกไปด้วยท่าทางหัวเสีย แววตาที่เขาจ้องมองผู้หญิงตรงหน้าก็ยังคงเย็นชาต่างจากปกติ “แม่มึงติดหนี้กูอยู่ก้อนหนึ่ง และมันก็เกินกำหนดชำระหนี้มาแล้วหนึ่งเดือน หรือพูดง่ายๆ ก็คือเลยเส้นตายมาแล้ว” ผู้ชายที่นั่งแสยะยิ้มเลือดเย็นตลอดเวลาอยู่บนพนักพิงด้านข้างของโซฟาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่คำว่าแม่ที่หลุดออกจากปากของหมอนั่นก็ทำเอาฉันช็อกแทบสติหลุด ผู้หญิงคนนั้นคือแม่ของเมฆงั้นเหรอ หัวใจฉันเต้นรัวอย่างไม่เป็นจังหวะ เมื่อได้ล่วงรู้ความจริงข้อนี้... “เมฆ... แกต้องช่วยฉันนะ ไม่อย่างนั้นฉันต้องโดนฆ่าแน่ๆ” “เป็นหนี้เท่าไหร่” สีหน้าของเมฆยังคงเย็นชาไม่ต่างจากเดิม แทนคำตอบ กระดาษที่น่าจะเป็นสัญญากู้หนี้ก็ถูกส่งให้เมฆดู... “...!!!” ฉันแอบเห็นเมฆกัดฟันกรอด นัยน์ตาลุกวาวด้วยความโกรธ แต่ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยอะไรออกไปเสียงของผู้ชายคนเดิมก็ดังขึ้นมาซะก่อน “กูให้เวลาหนึ่งอาทิตย์หาเงินมาคืนให้ได้ อย่างน้อยๆ ก็หนึ่งในสามของเงินที่ยืมไป” “กูไม่มี!” เมฆตอบออกไปทันที ทำเอาแม่ของเขาเบิกตากว้างด้วยความตกใจ “เมฆ! แกจะทิ้งให้ฉันถูกฆ่าหรือไง” “ใครก่อปัญหาเอาไว้ก็ต้องแก้เองสิ!” “เป็นลูกชายที่เย็นชาจังเลยนะ” เจ้าหนี้คนเดิมแสยะยิ้มหยัน “ไอ้เมฆ!” แม่ของเมฆตะโกนออกมาอย่างเกรี้ยวกราด ทำเอาฉันสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ ฉันไม่น่ามารู้เห็นเรื่องแบบนี้เลยให้ตายเถอะ “เงินมากขนาดนี้ต่อให้เป็นแค่หนึ่งในสามก็ไม่มีให้” เมฆไม่มีท่าทีว่าจะใจอ่อนเลยสักนิด หมอนั่นไม่คิดจะช่วยแม่ตัวเองเลยเหรอไง เลือดเย็นชะมัด “ถ้าอย่างนั้นจะให้ทำยังไงกับแม่ของมึงดีหืม” “มันเรื่องของนายสิ” เมฆกำลังจะหมุนตัวเดินออกมาจากห้อง เสียงแม่ของเขาก็แว้ดขึ้นมาทันที “ฉันไม่เชื่อหรอกนะว่าแกไม่มีเงิน พ่อแกออกจะรวยล้นฟ้าขนาดนั้น เงินแค่นี้ขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอก” พ่อเมฆรวยเหรอ... ฉันยืนฟังด้วยความงุนงง ถ้าพ่อรวยแล้วจะมาทำงานเป็นคนขับรถให้เหนื่อยทำไม เมฆหันขวับไปมองหน้าแม่ตัวเองตาขวาง “ลืมไปแล้วเหรอว่าผมอยู่ที่นั่นในฐานะอะไร” แม่ของเมฆนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ รูปหน้าสวยดูอึกอักพูดไม่ออกไปพักใหญ่เหมือนว่าเธอรู้ดีอยู่แก่ใจ แต่ไม่นานเธอก็หลับหูหลับตาเถียงออกมา “ตะแต่แกก็ทำงานอยู่ที่นั่นมาตั้งแต่เด็กไม่ใช่เหรอ ต้องมีเงินเก็บสักก้อนให้แม่ยืมบ้างสิ” “แค่นี้ผมก็รู้สึกอายจะแย่อยู่แล้ว เลิกพูดอะไรที่ทำให้ผมรู้สึกสมเพชตัวเองไปมากกว่านี้ได้ไหม” “นี่แกคิดจะเนรคุณฉันเหรอห๊ะ” คุณแม่ตะโกนออกมาอย่างสุดทน “เฮ้ นี่ไม่ใช่ที่ๆ แม่ลูกจะมาทะเลาะกันนะ กูไม่ใช่คนที่มีความอดทนสูงจำเอาไว้ มึงเมฆใช่ไหม กูไม่สนหรอกนะว่ามึงจะเป็นลูกใครหรือมีปัญหาอะไร แต่ถ้ามึงเกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนนี้ ถึงกูจะฆ่ามันไปแล้วก็อย่าคิดว่ามึงจะรอด” “หมายความว่ายังไง” เมฆถามเสียงแข็ง “หึ กูจะไม่หยุดจนกว่าจะได้เงินคืนครบทุกบาท” “หึๆ ก็สมกับเป็นคำพูดของพวกเจ้าหนี้หน้าเลือดดีนี่ แต่บอกไว้เลย ต่อให้มึงฆ่ากูตาย มึงก็จะไม่ได้สักบาท” “อย่าปากดีให้มากไอ้เวร กูมีวิธีที่จะฆ่ามึงให้ตายช้าๆ จนทำให้มึงรู้สึกว่าตายไปซะยังจะดีกว่า เพราะงั้นถ้ายังอยากดีก็อย่าริอาจมาท้าทายกับกู” คำพูดที่ชวนเสียวไส้นั่น... ฉันกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ หนาวสั่นไปทั้งตัว น่ากลัวอะไรอย่างนี้ “ไงสาวน้อย... มายืนทำลับๆ ล่อๆ อะไรอยู่ตรงนี้หืม” เฮือก!!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม