ช่วงเช้าของการเป็นเด็กวัด(?)ขุนช้างเริ่มต้นที่การถูกปลุกโลยเณรรูปหล่ออย่างพลายแก้ว ทว่าด้วยความที่เจ้าตัวติดสบายตื่นสายเป็นประจำ ชนิดที่ว่าถ้าตะตะวันไม่ขึ้นแสกหัวก็ไม่มีใครพาเขาลงจากเตียงได้
"ช้าง ตื่นได้แล้ว ไอ่ช้าง เอ็งนอนหรือซ้อมตาย หากไม่รีบลุกข้าจักไปไม่รอแล้วหนา"
ถึงจะบอกแบบนั้นแต่พอเอาเข้าจริงสุดท้ายพลายแก้วก็ต้องรอสหายของตัวเองอยู่ดี จากการปลุกคนที่แสนยากลำบาก ตอนนี้เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาได้แต่เอามือก่ายหน้าผาก
ไม่ว่าจะเขย่า จะดึงยังไง ขุนช้างก็ไม่มีท่าทีจะขยับเขยือนเลยสักนิด ในตอนนี้คงจะเหลือเพียงวิธีเดียวแล้วสินะที่จำทำให้มนุษย์ขี้เซาตื่นได้
"เอ็งจะทำอะ-- ฮ่าๆ แก้วอย่า พอแล้ว ฮ่า อย่ามาจี้ข้า! ข้าตื่นแล้ว ข้าตื่นแล้ว!"
ขุนช้างถึงกับดิ้นพล่านเมื่อพลายแก้วงัดวิธีสุดจะคิดได้มาปลุกคนขี้เซา และดูท่ามันจะได้ผลไม่น้อย ขุนช้างคนบ้าจี้จึงได้รีบหยัดตัวลุกอย่างรวดเร็วจนหัวไปโขกกับเณรแก้วที่ปลุกตัวเองอยู่
"ไอ่ช้างนี่นอกจากเอ็งจะไม่ยอมตื่นแล้ว ยังจะคิดทำร้ายข้าอีกหรือ?"
เจ้าของดวงตาสีรัตติกาลถึงกับยืนท้าวสะเอว ทางขุนช้างที่เหมือนจะได้เอาคืนอีกคนบ้างก็ได้แต่ยิ้มแหยๆตอบกลับ
"ขอโทษๆ ข้าไม่ได้ตั้งใจเสียหน่อย"
ร่างโปร่งว่าอย่างไม่ใส่ใจนัก พลายแก้วที่เห็นว่าสหายตัวดีตื่นเต็มตา จึงได้รีบลากตัวขุนช้างไปจัดแจงอาบน้ำอาบท่า เพื่อจะไปช่วยเขาใส่บาตช่วงเช้า
หน้าที่ของเด็กวัดจำเป็นก็ไม่ได้มีอะไรมาก ตอนพวกผู้ทรงศีลไปบิณฑบาจก็คอยช่วยหาบข้าวหาบของ พอเสร็จกิจ กินข้าว สวดมนต์ ก็กลับมากวาดลานวัดต่อ
ไม่รู้ว่าอยู่บ้านดีๆมันไม่สบายเนื้อสบายตัวหรือยังไงขุนช้างถึงได้หาเรื่องให้ตัวเองมาใช้แรงงานเป็นเด็กกวาดลานวัดอยู่แบบนี้
ขุนช้างเลือกตำแหน่งหลังวัดอันห่างไกลผู้คนเป็นแลนด์มาร์กให้ตัวเองทำความสะอาด เนื่องจากหน้าวัดหมาเยอะ และเขาเองเป็นคนที่ไม่ชอบหมาเป็นอย่างมาก
ไม่ใช่ว่ากลัวหรืออะไรนะ แค่ไม่ชอบที่มันมาเลียๆแล้วน้ำลายมาเปรอะนู่นเปรอะนี่เท่านั้นเอง อีกอย่างสมัยนี้ไม่มีวัคซีน ไม่มียากันพิษสุนัขบ้า โดนกัดเข้ามีแต่ขิตกับขิต
"เป็นบุญตาแท้ที่ได้เห็นลูกเศรษฐีมากวาดลานวัดเช่นนี้"
พลายแก้วที่เห็นว่าสหายของตัวเองดูเหงาๆเปล่าเปลี่ยวกวาดลานวัดอยู่ผู้เดียวก็เดินมานั่งคุยด้วย ส่วนทางคนที่โดนแซะก็หาได้สนใจอะไรไม่
"ที่บ้านเอ็งไม่มีเศรษฐีหรืออย่างไร"
"ก็มี แต่รวยไม่เท่าขุนช้างเมืองสุพรรณเท่านั้นเอง"
พลายแก้วตอบกลับอย่างไม่คิดมาก พลางนั่งท้าวค้างมองขุนช้างที่ทำงานที่ได้รับมอบหมายมาอย่างขยันขันแข็ง
ท่ามกลางความเงียบสงบของลานวัด มีเพียงเสียงลมและเสียงกวาดใบไม้เท่านั้นที่ดังอยู่บริเวณโดยรอบ ขุนช้างเองในตอนนี้ก็ไม่รู้จะพูดอะไร ทางพลายแก้วที่ชวนใครคุยไม่เก่งก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน
"จริงสิไอ่แก้ว ข้าจำได้ว่าเมื่อครั้งยังเด็กเอ็งดูจะชอบแม่พิม แล้วตอนนี้เอ็งยังชอบพอนางอยู่หรือไม่"
ขุนช้างเริ่มเปิดถามประเด็นที่ตนสงสัยอย่างตรงไปตรงมา เรื่องของพิมพิลาไลยในความรู้สึกของพลายแก้วเขายังไม่ได้ถามให้แน่ชัด
ถึงแม้ในวรรณคดีจะบอกว่าทั้งคู่ชอบพอกันก็เถอะ แต่ก็เห็นๆอยู่ไม่ใช่หรอว่าตอนนี้พิมพิลาไลยไม่ได้สนใจในตัวพ่อพระเอกคนนี้น่ะ
คำถามของขุนช้างทำให้พลางแก้วนิ่งคิดไปสักพักหนึ่งได้ จะว่าไปแล้วเขาเองก็เคยชอบพอกับพิมพิลาไลยตั้งแต่เมื่อครั้งยังวัยเยาว์ ในตอนนี้เองนางก็งามจนสะกดใจมีหรือที่เขาจะไม่นึกชอบ
"ข้ายังคงชอบพอนางอยู่"
ขุนแผนตอบเสียงหนักแน่น ขุนช้างจึงได้พยักหน้ารับเป็นเชิงเข้าใจ ยังไงพระนางจะรักชอบกันเขาก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่แค่อย่ามาทำให้แม่พิมของเขาเสียใจก็พอ
อุส่าห์เฝ้าถนุดถนอมมานาน(รึเปล่า) มีหรอจะยอมให้แม่คนงามต้องทนทุกข์เสียใจกับนายคนเจ้าชู้น่ะ
"แล้วเอ็งเล่าชอบแม่พิมหรือ"
เมื่อได้โอกาสขุนแผนจึงลองถามกลับอีกคนดูบ้าง ทางขุนช้างที่แน่นอนว่ามีคำตอบในใจอยู่แล้วจึงได้ตอบกลับตรงไปตรงมา
"บอกแล้วอย่างไรว่าข้าเห็นแม่พิมเป็นเพียงน้องสาว มิคิดจักรักใคร่ชอบพอเชิงชู้สาวดอกหนา อีกอย่างหากเอ็งชอบนางจริง คงต้องผ่านด่านข้าไปก่อนหนาไอ่แก้ว"
ขุนช้างว่าพลางแสยะยิ้ม ร่างโปร่งค่อยๆวางไม้กวาดพิงกับต้นไม้ก่อนจะล้มตัวลงนั่งกับตกไม้อันใหญ่บริเวณนั้น
"เอ็งมิคิดจักอ่อนข้อให้ข้าบ้างหรือ"
"เพราะเป็นพลายแก้วนี่แหละข้าจึงไม่คิดอ่อนข้อให้"
หนุ่มผิวขาวตอบกลับชัดเจน พลายแก้วจึงขยับเข้ามานั่งที่นั่งข้างอีกคนบ้าง
"จริงสิไอ่แก้ว เอ็งจักสึกเมื่อใดกัน"
เนื่องจากเหมันต์จำเรื่องราวไทม์ไลน์วรรณคดีไม่ค่อยได้ เขาก็คงต้องอาศัยถามจากตัวละครเอาคร่าวๆ
ไม่รู้ว่าตอนนั้นที่ขุนแผนปีนบ้านวันทองมันก่อนสึกหลังสึกหรือตอนบวช แบบนี้คงจะเป็นปัญหาสำหรับเขาไม่น้อยที่ต้องอยู่เป็นไม้กันหมาให้พิมพิลาไลยแบบไม่รู้ไทม์ไลน์แน่ชัด
"ข้าว่าคงจักอีกนาน ยังมีอีกหลายวิชาที่ข้ายังมิได้ร่ำเรียน"
"อีกนานเลยหรือ?"
"อื่ม"
ขุนแผนตอบกลับเสียงมั่นคงขุนช้างจึงได้แต่ถอนหายใจกับตัวเองเฮือกใหญ่ นี่ถ้าหากว่าจะให้เขาลางานอีกสักแค่อาทิตย์สองอาทิตย์มันก็คงไม่มีปัญหา
แต่ดูท่าแล้วขุนแผนคงจะอยู่ฝึกวิชาไปอีกหลายเดือน แล้วเขาเองก็ไม่ได้ว่างขนาดสละเวลาชีวิตมานั่งเฝ้าพลายแก้วซะด้วย แบบนี้ปัญหาการปีนบ้านวันทองเขาคงต้องให้วันทองคนงามช่วยเซฟตัวเองด้วยแล้ว
"เหตุใดเอ็งจึงทำหน้าอมทุขก์เช่นนั้น นี่เอ็งคงจักมิได้คิดว่าจักมาเฝ้าข้าตลอดที่ข้าบวชดอกหนา?"
"ใครเฝ้าเอ็งมิทราบ จักสำคัญตัวไปแล้วหนาพลายแก้ว"
ขุนช้างว่าพลางเบ้หน้าอย่างไม่สบอารมณ์พลายแก้วที่เห็นสหายตัวเองหน้าบูดไปแล้วจึงได้โน้มหน้าไปหา แต่ไม่ทันไรก็ถูกดีดหน้าผากจนแดงกลับมาเสียแล้ว
"เอาหน้าเอ็งออกไปเลย ที่ข้าถามเพราะข้ากังวลเรื่องที่อยู่ของเอ็งต่างหาก มิใช่ว่าเอ็งไม่มีบ้านที่อยู่เมืองสุพรรณดอกหรือ เช่นนั้นแล้วเอ็งจักไปอยู่ใดล่ะ"
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ได้ ขุนช้างก็หยิบอีกประเด็นพูดทันที อันที่จริงแล้วเขาเองก็มีความคิดบางอย่างแฝงอยู่ในคำถาม
เพราะถ้าหากว่าเขาไม่สามารถอยู่วัดเพื่อจับตาดูขุนแผนไปตลอดได้ล่ะก็ ทำไมเขาไม่เอาขุนแผนมาไว้บ้านตัวเองเลยล่ะ
"ไอ่แก้ว เอ็งมานอยกับข้าดีหรือไม่"
คำถามกำกวมของขุนช้างถึงกับทำให้พลายแก้วชะงักกึก ก็พอจะรู้แหละว่าคนตรงหน้าไม่ได้คิดอะไร แต่กับคนใจบาปอย่างเขา
เขาคิดไปไกลเลยแหละ
"มันจะดีหรือ ข้าเกรงใจ"
บอกปัดพอเป็นพิธีทั้งที่จริงๆในใจก็ตอบตกลงทันทีอยู่แล้ว ส่วนขุนช้างที่เหมือนจะไม่รู้อิโหน่อิเหน่ก็ชัดชวนขายตรงซะยิ่งกว่าประกันภัย
"ดีสิ มิต้องคิดมาก เราเป็นสหายกันอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ยังเด็ก ครั้งข้าลำบากเอ็งก็ช่วยข้า เหตุใดยามที่เอ็งต้องการความช่วยเหลือข้าจักช่วยมิได้เล่า"
ดวงตาสีนิลคู่สวยโค้งลงอย่างพระจันทร์เสี้ยว พลางเจ้าของก็ตบลงบนลาดไหล่กว้างของคนข้างกายอย่างสนิทสนม เพื่อเน้นย้ำว่าเราสองคือสหายที่สามารถช่วยเหลือกันได้ทุกเรื่อง
"เช่นนั้นหลังสึกมาข้าคงต้องขอรบกวนเอ็งด้วย"
"ไม่มีปัญหาอยู่แล้วสหายรัก"
เป็นไปดั่งกลอุบาย เท่านี้เขาก็จะสามารถจับตาดูขุนแผนได้ทุกระเบียบนิ้ว ไม่มีทางที่จะหลุดรอดสายตาไปปีนบ้านนางวันทองได้เป็นอันขาด
ในขณะที่ชายหนุ่มผิวขาวกำลังเริงร่ากับแผนการอันเฉียบคมที่เป็นไปได้ดี เสียงบางที่ดังขึ้นมาก็ทำลายความสุขตลอดช่วงเช้าของเขาจนแทบไม่เหลือชิ้นดี
"โฮ่ง โฮ่ง!"
เสียงเห่าแบบนี้ เดซิเบลแบบนี้
ใบหน้าสวยหันควับตามเสียงที่คุ้นเคยทจนไปเจอเข้ากับหมาเจ้าถิ่นที่ชื่อถ่านยื่นเห่าบ๊อกๆอยู่ข้างๆ
ถึงจะบอกว่าเห่าบ๊อกๆก็เถอะแต่ตัวมันก็ใหญ่ใช่เล่นๆ ดูท่าคงจะเป็นหมาบางแก้วสายพันธุ์ดุพิเศษ ดีหน่อยที่มันเน้นเห่ากับขู่ ไม่พุ่งเข้ามากัด
ทว่าสำหรับขุนช้างคนนี้จะหมาเห่าหมากัดมันก็หมาเหมือนกัน น่ากลัวเหมือนกันทั้งนั้น
"ไม่ๆๆ อย่าเข้ามานะ!"
ร่างโปร่งรีบลุกจากที่ เดินไปหลบหลังพลายแก้วที่ก็หยัดตัวลุกขึ้นเหมือนกัน ดีหน่อยที่แถวนี้ยังมีคนอยู่ ถ้าได้หลบหลังพลายแก้วแบบนี้ หมากัดก็ไม่กัดไอ่ช้างก่อนล่ะวะ
"โฮ่ง โฮ่ง!"
ดูเหมือนว่าคำร้องขอของขุนช้างจะใช้ไม่ได้กับเจ้าถ่าน เพราะนอกจากเจ้าตัวจะไม่ถอยหนีแล้ว หมาตัวใหญ่สีเทายังจะก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นอีกเรื่อยๆ
"บอกว่าอย่าเข้ามาไง! เดี๋ยวพ่อก็โยนเณรแก้วใส่หรอก!"
ห้ะ กูหรอ?
ล่าสุดเณรแก้วกลายเป็นยันต์กันหมาของขุนช้างตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบได้ แต่ดูจากรูปการเขาคนนี้คงจะกลายเป็นเครื่องกันหมาตั้งแต่เจ้าตูบนั่นโผล่มาแล้ว
ทางขุนช้างแน่นอนว่าพูดถึงทำจริง หากเจ้าถ่านกระโจนใส่เขาก็พร้อมจะโยนเณรแก้วกลับไปอยู่แล้ว
อันที่จริงกับพวกหมาๆ ขุนช้างกลัวที่สุดคือพิษสุนัขบ้า เพราะงั้นแล้วขออยู่ห่างๆดีกว่า
ดูเหมือนว่าร่างกายที่สั่นเทาของร่างโปร่งจะส่งไปถึงคนตัวสูงที่เป็นเครื่องกันหมา เณรแก้วจึงได้มองเพ่งไปยังหมาบ้าที่ไม่ยอมหยุดเห่า
จนเมื่อมันสัมผัสได้ถึงแรงกดดันบางอย่าง เจ้าหมาตัวใหญ่จึงได้รีบวิ่งหนีไปก่อนที่ตัวเองจะโดนจับไปฆ่าโดยมนุษย์ร่างสูง
"ไปแล้วหรือ"
"ไปแล้ว" เมื่อขุนช้างถาม พลายแก้วก็ตอบไปตามตรง
จะว่าไปแล้วเครื่องกันหมายี่ห้อพลายแก้วนี่ก็ใช้ดีเหมือนกันนะ แค่มองหมาก็หนี เอาไปเลยสิบคะแนน!
"สุดยอดเลยพลายแก้ว เมื่อครู่เอ็งใช้คาถากระไรน่ะ"
"คาถา? ข้ามิได้ใช้คาถาเสียหน่อย"
พลายแก้วถึงกับถามอย่างไม่เข้าใจ เมื่อครู่เขายังไม่ทันได้อ้าปากสักคำด้วยซ้ำ จะเอาเวลาไหนไปท่องคาถา
"เช่นนั้นเหตุใดหมานั่นจึงหนีเจ้าไปได้เล่า"
"ข้าทำเพียงมองหน้ามันเท่านั้นมิได้ทำอย่างอื่นเลย"
ร่างสูงตอบไปอย่างไม่ได้คิดอะไร ทว่าคำตอบนี้ของเขาเหมือนจะสะท้องกลับมาเล่นงานตัวเขาเองเสียแล้ว
"สมกับเป็นจ่าฝูงหมา"
ขุนช้างว่าพลางผละตัวออกจากพลายแก้วไปทางอื่น
ส่วนคนที่ได้รับคำชม(?)ว่าเป็นจ่าฝูงหมาก็ได้แต่ตั้งคำถามในใจ
เมื่อครู่ เอ็งว่าข้าว่าเป็นหมา ข้าเข้าใจถูกใช่หรือไม่??
ถ้าพิ้เห่าโฮ่งๆอะใช่เลยค่ะ
หมาแท้ไม่มีตัวอื่นผสมเลย