บทที่ 3: แก๊งป่วนก๊วนสวนสัตว์

1462 คำ
เพราะไม่รู้จะทำอย่างไรกับคนเมาข้างบ้านที่อยู่ดีๆ ก็มานอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่ภายในบ้านของเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว เตมินทร์จึงได้แต่ปล่อยให้เธอนอนแบ็บอยู่บนโซฟาอย่างนั้น เขาทำได้เพียงแสดงความเป็นสุภาพบุรุษที่ดีด้วยการไปหยิบผ้าห่มในห้องนอนออกมาคลุมตัวให้เธอกันหนาว แต่ก็ถูกลูกถีบน้อยๆ ยันโครมเข้ามาให้ที่กลางอก “อย่ามายุ่ง!” ตามมาด้วยเสียงโวยวายปนรำคาญใจอีกต่างหาก ดีที่ลูกถีบนั้นไม่แรงมาก เขาถึงได้ไม่ตัดสินใจจับเธอโยนออกไปนอนข้างนอกเสียให้รู้แล้วรู้รอดตั้งแต่วินาทีนั้น อดทนเอาหน่อยแล้วกัน ก็ต่อให้ปลุกเธอขึ้นมาตอนนี้ก็คงจะคุยไม่รู้เรื่อง เมาหมดสภาพอย่างนี้ เป็นลูก เป็นหลาน เป็นน้องสาวเขา เขาจะเทศนาให้หูชาเลยทีเดียว เตมินทร์กลับเข้าไปนอนในห้อง ทิ้งตัวลงบนเตียงแล้วก็นึกอะไรออกขึ้นมาได้ ก่อนจะผุดลุกไปยังประตู ล็อคกลอนทั้งหมดที่มีอยู่ทุกบาน แล้วกลับขึ้นไปบนเตียงอีกครั้งด้วยความเบาใจ ถึงอีกฝ่ายจะเป็นผู้หญิง แต่อย่างน้อยป้องกันตัวเองไว้สักหน่อยก็ดี มีเธอเป็นผู้หญิงที่บ้าๆ บอๆ อยู่แล้วด้วย ไม่มีอะไรน่าไว้ใจทั้งนั้น ส่วนเรื่องของพรุ่งนี้ก็ค่อยว่ากันใหม่อีกที คิดได้ดังนั้นก็ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว มารู้สึกตัวตื่นอีกทีก็เกือบฟ้าสางแล้ว ปกติในเวลานี้เขาจะต้องลุกขึ้นมาจัดการธุระส่วนตัว ออกกำลังกายเบาๆ แล้วก็ทำอาหารเช้า พักผ่อนสูดกลิ่นธรรมชาติตามที่ตั้งใจไว้ก่อนจะมาที่พะเยา แต่เมื่อเปิดประตูออกมาจากห้องนอนแล้วพบกับเงาตะคุ่มๆ ของใครบางคนที่นอนคุดคู้อยู่บนโซฟา หัวสมองพลันประมวลผลทันทีว่าเมื่อคืนนี้มีแขกไม่ได้รับเชิญมาเยี่ยมบ้าน “นี่คุณ…สร่างเมาหรือยังเนี่ย” เขาเดินไปหยุดยืนตรงข้าง ถามออกมาโดยไม่หวังจะได้คำตอบ เพราะถ้าหวัง เขาก็คงได้คำตอบแค่… “อืม…” เสียงครางในลำคอพร้อมกับการพลิกตัวหนี แสดงออกอย่างชัดเจนว่ารำคาญที่เขาไปรบกวนเวลานอนของเจ้าหล่อนเท่านั้น จะทำคุณบูชาโทษ โปรดสัตว์ได้บาปหรือเปล่านะ อันที่จริงเขาก็ไม่ใช่คนชอบทวงบุญคุณคนอะไรหรอกนะ เพียงแต่ว่าคนที่เขาดันไปช่วยเอาไว้ตั้งหลายครั้งหลายคราดันเป็นผู้หญิงคนนี้เอาน่ะสิ มันทำให้อดคิดไม่ได้ว่าความซวยจะมาบังเกิดกับเขาหรือเปล่านะ คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจอยู่คนเดียว ไม่รู้ว่าเขาถอนหายใจดังเกินไปหรือเปล่า ทำให้หญิงสาวที่หลับตาพริ้มอยู่เมื่อครู่เริ่มย่นคิ้วอยู่ ก่อนจะค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น กะพริบตาถี่ๆ จ้องมองภาพตรงหน้าด้วยความฉงนเมื่อปรับสายตาให้เข้ากับแสงที่สาดเข้ามาภายในตัวบ้านได้แล้ว “คิงเป๋นไผ เข้ามาได้จะใดวะ!” นั่นไง ความซวยที่เขากลัวมันเริ่มบังเกิดแล้ว นกยูงกระเด้งตัวขึ้นนั่ง ถอยหลังโกรธไปจนติดกับที่วางแขนของโซฟาซึ่งเธอใช้เป็นหมอนหนุนนอนมาตลอดทั้งคืน อีกทั้งยังดึงผ้าห่มมาคลุมกาย ทำราวกับว่าตัวเองโป๊เปลือยและกำลังโดนสายตาของผู้ชายตรงหน้าแทะโลมอยู่อย่างไรอย่างนั้นแหละ “คุณต้องถามผมว่าคุณเข้ามาในบ้านผมได้ยังไงมากกว่า ลองมองดูดีๆ สิ ที่นี่มันบ้านคุณแน่เหรอ” น้ำเสียงของเตมินทร์ระอาใจอย่างชัดเจน เขาเพิ่งตื่นนอนมา อยากจะหาความสดชื่นใส่ตัวเองสักหน่อย เมื่อคืนก็เจอเรื่องวุ่นวายมากพออยู่แล้ว ตอนเช้ายังจะต้องมาเจอเรื่องหน้าปวดหัวอีกเหรอ คงจะหนีไม่พ้นหรอก ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับเรื่องชวนปวดกะโหลกกะลาอย่างนี้อีกหลายนาที เพราะทันทีที่นกยูงกวาดสายตามองไปรอบๆ สีหน้าตื่นตระหนกเมื่อครู่นี้ก็แปรเปลี่ยนเป็นความงุนงง ตอนดวงตากลมคู่สวยจะมาหยุดที่เขาอย่างมีคำถาม “อัน…นี่บ้านปี้กา?” ถึงจะฟังภาษาเหนือออกบ้างไม่ออกบ้าง แต่เขาก็พอจะเดาได้ว่าหญิงสาวพูดอะไร เขาพยักหน้ารับช้าๆ ถึงจะไม่ใช่บ้านเขาโดยตรง เป็นบ้านเพื่อนของเขา แต่การที่เขามาอยู่ก็ถือเอาว่าเป็นบ้านของเขาแล้วกัน “อ้าว แล้วเยียะใดน้องถึง…” ยัง…ยังจะทำเป็นงงอยู่อีก เตมินทร์ถอนหายใจออกมาอีกคำรบ ยกมือขึ้นกอดอก “ก็เมาแล้วปีนรั้วเข้ามาในบ้านของผมน่ะสิ” เท่านั้นสีหน้าของหญิงสาวก็ดูตกใจไม่น้อย แล้วตกใจมากขึ้นไปอีกเมื่อเขาชูสองนิ้วขึ้นมา “ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว” “หา!?” “ครั้งแรกเมื่อวานซืน แต่วันนั้นคุณปีนไม่ผ่านเพราะเพื่อนๆ ของคุณมาพาตัวกลับไปซะก่อน อีกครั้งก็เมื่อคืน คุณเกือบร่วงจากรั้วผมก็เลยรับเอาไว้ จะพาไปส่งบ้านก็คุยไม่รู้เรื่อง เลยพาเข้ามานอนข้างในบ้านก่อน” “...” “แต่ไม่ต้องห่วงนะ ผมไม่ได้ทำอะไร ผมบริสุทธิ์ใจ ถ้าไม่เชื่อก็ดูกล้องวงจรปิดได้ ที่บ้านหลังนี้มีกล้องวงจรปิดอยู่ทั้งด้านนอกแล้วก็ที่ห้องนี้ด้วย” พูดพลางชี้นิ้วไปที่กล้องวงจรปิดที่มีเซ็นเซอร์สีแดงสว่างเป็นจุดเล็กๆ ให้เห็น นกยูงมองตามแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า “บ่เป็นหยังเจ้า” คงจะรู้ตัวสักทีแล้วล่ะว่าตัวเองทำให้คนอื่นเดือดร้อน ถึงได้ไม่กล้าดูวีรกรรมวีรเวรของตัวเองว่าก่อเอาไว้มากมายแค่ไหน “ผมไม่ถือสาหรอกนะ เอาเป็นว่าถ้าวันหลังจะเมาก็ช่วยระวังตัวหน่อยก็พอ วันแรกก็โวยวายจนผมคิดว่าคุณคือมนุษย์ป้าอย่างที่พวกเพื่อนๆ ของคุณเรียกกันจริงๆ ซะแล้ว ที่ไหนได้ยังสาวยังแส้ และอีกอย่างนะ เป็นผู้หญิงคนเดียวกินเหล้ากับพวกผู้ชาย มันอันตรายรู้ไหมคุณ” ถึงวิสาสะสั่งสอนเสียเลย ดูท่าทางเธอก็น่าจะอายุนามน้อยกว่าเขาอยู่พอสมควร ดูหน้าตาก็น่าจะอยู่ในช่วงอายุยี่สิบกว่าๆ สอนสักหน่อยคงจะไม่เป็นไร แต่ใครจะไปคิดว่าคำว่า ‘มนุษย์ป้า’ จะทำให้เธออ่อนไหวจนต้องเถียงออกมา “ฉันแค่เป็นคนขี้โวยวาย แล้วคนที่ชื่อโวยวายก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นมนุษย์ป้าสักหน่อย ส่วนเรื่องกินเหล้ากับพวกผู้ชาย พวกนั้นก็เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ กันทั้งนั้น ไม่มีใครคิดอะไรเกินเลยหรอก” “แต่ถึงยังไงคุณก็เป็นผู้หญิงตัวคนเดียวอยู่ดี คุณไม่รู้หรอกว่าวันดีคืนดีมันจะเกิดอะไรขึ้น” “โอ๊ย ถ้าไอ้พวกนั้นมันจะทำ มันคงทำไปนานแล้วล่ะค่ะ” กลับมาเป็นภาษากลางแล้ว แต่ความหน้าหมั่นไส้ยังเหมือนเดิม “พวกนั้นไม่ทำเพราะคุณไม่น่าทำหรือเปล่า” เขาเลยอดไม่ได้ที่จะสวนกลับ เรียกหน้างอๆ จากคนฟังได้เป็นอย่างดี “ปากป้อจายเมืองกรุงนี่นะ ร้ายแต๊ร้ายว่า” แก้มป่องๆ ปรากฏให้เห็น ท่าทางของเธอดูเหมือนเด็กตัวเล็กๆ ที่กำลังโดนขัดใจอย่างไรไม่รู้ ยิ่งเธอมีขนาดตัวที่กะทัดรัดเหมือนกับหมาชิวาวาแล้วด้วย ก็ยิ่งทำให้เตมินทร์อดไม่ได้ว่าเขากำลังยืนเถียงอยู่กับเด็กอนุบาล “ผมพูดความจริง ไม่ได้ปากร้ายสักหน่อย” “ปากร้ายขนาด” ยังจะเถียงอีก เตมินทร์หัวเราะออกมาอยากช่วยไม่ได้ ท่าทางของเธอน่ารักเสียจนเขาลืมไปหมดสิ้นว่าก่อนหน้านี้เธอรุงรังเลอะเทอะแค่ไหน แต่เอาเถอะ ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องที่พอยอมกันได้ตราบใดที่เธอไม่ก่อความเดือดร้อนให้จนเขาไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข เป็นเพื่อนบ้านกันก็ต้องอะลุ่มอล่วยให้กันและกันอย่างนี้แหละถึงจะอยู่ร่วมกันได้ สำคัญไปกว่านั้นคือ ถ้าหากว่าเขาไปมีเรื่องกับเพื่อนบ้าน คนที่จะซวยมากกว่าเขาก็คือเพื่อนของเขาที่เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ เพราะเขาอยู่เพียงแป๊บเดียว เดี๋ยวก็ไปแล้ว แต่เพื่อนของเขายังจะต้องเป็นเจ้าของที่แห่งนี้อีกนาน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม