วันนี้ทั้งวันเตมินทร์ใช้เวลาไปกับการท่องเที่ยวในตัวเมืองพะเยาตามใจอยาก ไม่ว่าจะเป็นกว๊านพะเยา อนุสาวรีย์พ่อขุนงำเมือง หรือสถานที่ปักหมุดไหนที่ได้รับการแนะนำว่ามาเยือนเมืองพะเยาทั้งทีต้องได้ไปเหยียบ ถึงจะเรียกว่ามาถึงเมืองพะเยา เขาไปมาหมดแล้วทั้งนั้น ด้วยความที่เป็นเมืองเล็กๆ เขาจึงใช้เวลาไม่นานนักในการไปเยี่ยมสถานที่ทั้งหมด และแน่นอนว่าเขาไม่ได้ดื่มด่ำกับสถานที่ท่องเที่ยวสักเท่าไรนะ เพราะใจเอาแต่เหม่อลอย คิดถึงเรื่องไม่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า มาสงบสติอารมณ์ได้ก็ตอนไปไหว้พระเจ้าตนหลวงที่วัดศรีโคมคำ
บรรยากาศร่มเย็นภายในวัดเสมือนดั่งน้ำมนต์ที่สาดใส่เขาเต็มแรงจนผีบ้าผีบอที่สิงเขาอยู่หลุดออกกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง เตมินทร์ฝังตัวอยู่ในวิหารนานนับชั่วโมง นั่งสมาธิ ภาวนาเจริญสติอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เขาเพิ่งเข้าใจในตอนนี้ล่ะว่าทำไมเวลามีปัญหาอะไร คนส่วนมากถึงหันหน้าเข้าหาศาสนา
มันชวนให้สงบจิตสงบใจลงอย่างนี้นี่เอง ต่อให้เขาไม่ได้เป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีสักเท่าไรก็เถอะ ออกจะค่อนไปทางคนไม่มีศาสนาเสียด้วย
กระนั้นการกระทำของเขาก็ทำให้อารมณ์แจ่มใสขึ้นไม่น้อย จวบจนเจ้าหน้าที่วัดมาบอกกล่าวกับเขาว่าได้เวลาที่พระประจำวัดจะทำวัตรกันแล้ว ให้เขาขยับออกมาเพื่อให้พื้นที่กับเหล่าพระสงฆ์ได้ปฏิบัติกิจประจำวัน เขาถึงได้ตัดสินใจออกมาจากวัดเพราะเห็นว่ามันเย็นแล้ว
โคร่ก…
พออารมณ์ดีขึ้น ร่างกายก็ทำงานได้ดีขึ้น กระเพาะส่งเสียงครวญคราง บ่งบอกว่าตอนนี้ร่างกายต้องการสารอาหารเข้าไปเพื่อประทังชีวิต บ่งบอกว่าตอนนี้ร่างกายต้องการสารอาหารเข้าไปเพื่อประทังชีวิต เตมินทร์ถึงได้ตระหนักขึ้นมาว่าวันนี้ทั้งวัน เขายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย นอกจากเบียร์กระป๋องเมื่อคืนที่ตอนนี้น่าจะย่อยไปหมดแล้ว
ชายหนุ่มยกโทรศัพท์ขึ้นมาเสิร์ชหาว่าเขาควรจะไปหาอาหารกินที่ไหนดี ก่อนพบร้านอาหารแนะนำร้านหนึ่งในเว็บไซต์ท่องเที่ยว เขาปักหมุดหมาย ตั้งใจว่าจะไปฝากท้องที่นั่นในคืนนี้
รถเก๋งคันเก่งยังคงพาเขาตระเวนไปที่นั่นที่นี่เหมือนเคย เสียงเพลงแจ๊สบรรเลงเบาๆ ดังคลออยู่ในห้องโดยสาร เตมินทร์กระดิกนิ้วมือเคาะกับพวงมาลัย ปล่อยใจให้เพลิดเพลินไปกับเสียงดนตรี สายตาก็เหลือบมองไปยังรอบข้างที่ยังคงครึกครื้นอยู่ กระทั่งขับผ่านตลาดแห่งหนึ่ง เขาก็จำต้องกระทืบเบรกชนิดหัวทิ่มหัวตำ จนยางรถส่งเสียงเอี๊ยดๆ เรียกสายตาของคนละแวกนั้นให้หันมามองด้วยความตกใจเป็นตาเดียว
โครม!
ชนเหรอวะ!?
คำถามนี้ผุดพรายขึ้นมาในหัวทันทีเมื่อสายตามองไปเห็นร่างของผู้หญิงคนหนึ่งล้มลงบริเวณหน้ารถ แต่เดชะบุญที่ไม่ใช่หน้ารถของเขา เป็นหน้ารถของรถอีกคันที่นำหน้าเขาอยู่ ซึ่งรถคันนั้นเป็นรถกระบะบรรทุกผัก ก่อนที่คนขับรถจะลงไปส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายแข่งกับเสียงคนในตลาดที่ร้องด้วยความตกใจ
“เดินข้ามถนนไม่มองซ้ายมองขวาเลย พ่อเป็นเจ้าของถนนหรือไง!”
คำผรุสวาทดังลั่นไปทั่วท้องถนน ขณะที่หญิงสาวคู่กรณีก็ไม่ยอมแต่อย่างใด
“แล้วแกขับรถยังไงวะ ถึงได้ไม่ดูตาม้าตาเรือ คนก็เยอะ รถก็เยอะ ยังจะมาตะบี้ตะบันเหยียบอีก รีบพาแม่ไปคลอดลูกเหรอ!”
ปากคอเราะร้ายมากเลยทีเดียว ขนาดไม่ได้เปิดหน้าต่างกระจกรถ เสียงแหวๆ ของเธอยังดังลอดเข้ามาให้ได้ยินได้
“ปากดีนักนะอีนี่ ถ้าไม่เห็นว่าเป็นผู้หญิง กูจะตบให้คว่ำเลย!”
“อ้าว พูดงี้ก็สวยสิ แน่จริงก็ลองดู!”
ท่าทางเรื่องราวจะบานปลายใหญ่โตเสียแล้ว รถก็ติด ไทยมุงก็มากมี ข้างหน้าก็จะมีมวย แต่ดันไม่มีใครยื่นมือเข้าไปห้ามเลยสักคนทั้งที่เป็นเรื่องระหว่างผู้ชายและผู้หญิงแปลกหน้า กลับมีแต่คนยืนดู เพื่อรอว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป
“อย่าท้านะ อย่าคิดว่ากูไม่กล้า!”
“ก็เอาซี่ มีมือมีตีนเหมือนกัน คิดว่าจะยอมง่ายๆ เหรอ!”
เตมินทร์เห็นผู้หญิงคนนั้นดันตัวขึ้นมายืน ชี้หน้าร้องเท้าคู่กรณีซึ่งเป็นชาย พลางกระโดดหญิงๆ ไปมา เขาเห็นแต่หัวของเธอ ไม่เห็นใบหน้า มีแต่หางม้าที่ถูกมาร่วมสูงไว้สะบัดไปมาเท่านั้น แค่นี้ก็รู้แล้วว่าผู้หญิงคนนี้มีขนาดตัวเล็กกว่าอีกฝ่ายแค่ไหน และมันช่างทำให้เขาหงุดหงิดใจเสียเหลือเกินที่ไม่มีใครเข้าไปห้ามปรามเสียที
คงจะอยากเห็นผู้หญิงคนนี้โดนตบสักฉาดก่อนละมั้ง
สังคมนี้มันเป็นอะไรกันไปหมดนะ?
เขาทนไม่ไหวอีกต่อไป ไม่มีใครห้าม งั้นเขาจะลงไปจัดการเอง
คิดได้ดังนั้นก็เปิดประตูลงจากรถ ตรงดิ่งเข้าไปคั่นระหว่างกลางผู้ชายและผู้หญิงคู่นั้นในทันที
“มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่าครับ”
อันที่จริงไม่ใช่เรื่องที่น่าจะถาม มีปัญหานะมีแน่อยู่แล้ว เพียงแค่ว่าเขาต้องการเปิดบทสนทนาเฉยๆ
“ก็แม่นี่น่ะสิ ข้ามถนนไม่ดูตาม้าตาเรือ ถ้าผมเบรกไม่ทันนะ ป่านนี้ชนไปแล้ว”
ชี้หน้าหญิงสาว ฟ้องปาวๆ ชวนให้เตมินทร์หันไปมองอีกฝ่าย
เธอเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ความสูงน่าจะไม่เกินหนึ่งร้อยห้าสิบห้าเซนติเมตร รูปร่างผอมบาง ผิวขาวผ่องตามฉบับสาวเหนือ แต่ท่าทางเหมือนม้าดีดกะโหลกที่หลุดออกมาจากคอกที่ไหนสักแห่ง
“มันก็ต้องชนดิ ขับห้อตะบึงมาอย่างนั้น นึกว่าตัวเองเป็นดอม โตรอนโต ในเดอะฟาสต์หรือไง!”
เตมินทร์ถึงกับหลุดหัวเราะ
พูดอะไรของเธอกันเนี่ย!
“พูดบ้าอะไรวะ!?”
ไม่ใช่แค่เขาที่คิดอย่างนั้น คู่กรณีเองก็เช่นกัน เพียงแต่อารมณ์กลับต่างกันกับเขาลิบลับ
“ก็ดอม โตรอนโตไง ไม่เคยดูเดอะฟาสต์เหรอ โห่ โคตรบ้านนอก”
“อ้าว อีนี่”
ฝ่ายชายขยับเข้ามาใกล้ ทำท่าคล้ายว่าจะทำร้ายร่างกายอีกฝ่ายให้จงได้ เตมินทร์เห็นอย่างนั้นก็ไม่ปล่อยให้มีโอกาส เข้าไปขวางมากขึ้น พร้อมกับรั้งมือของผู้ชายคนนั้นเอาไว้ด้วย
“ถ้าไม่ได้เกิดอุบัติเหตุอะไร ก็แยกย้ายกันไปเถอะครับ เห็นไหมว่าการที่คุณสองคนมายืนเถียงกันกลางถนนแบบนี้ มันทำให้รถติด คนอื่นเขาเดือดร้อนนะ”
“แต่อีนี่มันทำกูเดือดร้อน!”
มาขึ้นเสียงใส่เตมินทร์แล้ว เขาไม่พอใจหรอกแต่ก็ยังทำใจเย็น มาต่างบ้านต่างเมือง เขาจะมามีเรื่องไม่ได้ บอกแล้วอย่างไรล่ะว่าปัญหาที่เขามีก็หนักหนามากพออยู่แล้ว
“ถ้าเคลียร์กันไม่ได้ก็เรียกตำรวจมาให้ไปเคลียร์กันที่โรงพักเถอะครับ เอาไหม เดี๋ยวผมจะโทรเรียกให้”
ไม่พูดเปล่า ยังหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง ทำท่าจะกดเบอร์โทรไปยังสถานีตำรวจอีกด้วย
“เรียกตำรวจมาก็ดี สถานีตำรวจอยู่ไม่ไกล จะได้ไปเสียค่าปรับข้อหาทำร้ายร่างกายกันที่โรงพักง่ายๆ เลย”
นี่ก็ห้าวเป้งเสียเหลือเกิน ตัวเท่าลูกหมา ยังจะมีหน้าไปร้องท้าคนอื่นเขาเหย็งๆ
“ตกลงจะให้ผมเรียกตำรวจไหมครับ”
“เรียก!”
“ไม่ต้อง จบกันเท่านี้แหละ”
คู่กรณีทั้งสองพูดออกมาแทบจะในวินาทีเดียวกัน แน่นอนว่าคนที่บอกให้เรียกก็คือฝ่ายหญิงที่ทำท่าถลกแขนเสื้อขึ้นสูง ทำท่าจิ๊กกี๋ เตรียมพร้อมที่จะมีเรื่องอย่างเต็มที่ ส่วนฝ่ายชายพูดจบก็เดินหนีขึ้นไปบนรถ แล้วขับออกไปโดยไม่หันหลังมามองอีก
“อะโด่ นึกว่าจะแน่จริง ที่ไหนได้ก็กลัวอียูงคนนี้จนหัวหด”
ยัง…ยังไม่รู้ตัวอีก
เตมินทร์ไม่รู้ว่าคิดผิดหรือคิดถูกที่ลงมาช่วยห้ามมวยอย่างนี้ แต่เอาเถอะ ในเมื่อเรื่องราวจบลงได้ด้วยดี ก็หมดหน้าที่เขาแล้ว
เขาหันหลัง ตั้งใจจะเดินกลับไปที่รถ ทว่าเสียงเล็กๆ ของหญิงสาวกลับชะงักฝีเท้าเขาไว้ได้ชั่วครู่หนึ่ง
“ขอบคุณนะคะที่ช่วยฉัน กลัวแทบแย่แน่ะ”
หันไปมองก็พบรอยยิ้มแหยๆ ปรากฏอยู่บนดวงหน้าสวย
“เท่าที่ดูเมื่อกี้ ผมไม่คิดว่าคุณจะกลัวนะ”
เธอหัวเราะเจื่อนๆ ตามมาอีก
“ทำเป็นไม่กลัวไปงั้นแหละค่ะ กลัวตายเหมือนกันแหละ ถ้าหมอนั่นตบฉันขึ้นมา มีหวังได้เสียโฉมไปอีกพักใหญ่”
กลัว…แล้วจะไปท้าเขามีเรื่องทำไม
งงไหม? เตมินทร์งงนะ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา นอกเสียจากมองเธอหันไปก้มลงเก็บข้าวของที่หล่นกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น ส่วนมากเป็นพวกพืชผักและวัตถุดิบสำหรับทำอาหาร
เตมินทร์ไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำที่จะยืนมองหญิงสาวตัวเล็กๆ เก็บข้าวของที่ซื้อมาเพียงลำพังอย่างนั้น เขาทรุดตัวลงนั่งยอง ช่วยเก็บผลหมากรากไม้ใส่ถุงพลาสติกส่งคืนให้กับเธอด้วย หญิงสาวผินไปมองใบหน้าคร้าม คลี่ยิ้มออกมาน้อยๆ
“ขอบคุณมากนะคะ คุณใจดีจัง”
เป็นรอยยิ้มที่น่ารักชวนฝัน ผิดกับสีหน้าก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
และเพราะรอยยิ้มนั้นนั่นละที่ทำให้เขาบอกกับตัวเองว่าในเมื่อตัดสินใจจะช่วยเธอแล้ว ก็ต้องช่วยให้สุด
เขาแย่งถุงข้าวของจากมือของเธอมาถือเอาไว้ในท้ายที่สุด ทำเอาหญิงสาวประหลาดใจไม่น้อย
“คะ?”
“บ้านคุณอยู่ไหนล่ะ เดี๋ยวผมขับรถไปส่งบ้านเป็นเพื่อน เอารถมาหรือเปล่า”
เท่านั้นเธอก็ร้องอ๋อยาวกับการกระทำแปลกๆ ของเขา
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวฉันหาทางกลับเอง แล้วก็…” เธอยิ้มกว้างออกมาอีกเล็กน้อย “ฉันให้น้องชายมาส่งนะคะ ขับรถเองไม่เป็นหรอก”
เท่านั้นก็รู้ได้ทันทีว่ากว่าที่เธอจะกลับถึงบ้านได้คงต้องใช้เวลาอีกนานพอสมควร
ถ้าอย่างนั้น…
“เอาเป็นว่าผมไปส่งก็แล้วกัน เผื่อผู้ชายคนนั้นขับรถย้อนกลับมาเล่นงานคุณด้วย คุณจะได้ปลอดภัย”
หญิงสาวมีท่าทางยึกยักอยู่เล็กน้อย เตมินทร์คิดว่าเธอคงจะตอบปฏิเสธ แต่…
“งั้นจะมัวรออะไรกันอยู่ล่ะคะ ไปสิ เดี๋ยวหมอนั่นก็กลับมาล้างแค้นหรอก”
จากนั้นขาเรียวก็จ้ำพรวดไปที่รถของเขาทันที
เตมินทร์มองตามอย่างไม่เข้าใจ ก่อนที่จะหัวเราะออกมาในลำคอกับท่าทางเป็นกันเองเกินเบอร์ของผู้หญิงคนนี้
คนพะเยานี่แปลกทุกคนไหมนะ เขาว่าเขาเจอ culture shock ไม่หยุดเลย ให้ตายเถอะ!