Chapter 7 ห้องหอแห่งรัก
เมื่ออยู่ด้วยกันในห้องเพียงลำพังสองคนหลี่ซืออี้ก็นั่งนิ่งราวกับคนบ้าใบ้ นางไม่รู้จะเริ่มต้นบทสนทนาอย่างไรดี ขณะที่คนตัวโตก็เอาแต่ยืนนิ่ง แต่นางสังเกตเห็นว่าที่ใบหูของเขาแดงระเรื่อ หรือว่า...
เขากำลังเขินอาย!
ผู้ชายตัวโตเวลาอายนี่ก็น่ารักเหมือนกันนะ...
“ขะ...ข้าไม่เคยจีบสตรีมาก่อน เจ้าเป็นคนแรกที่ข้าปักใจอยากใช้ชีวิตด้วย แต่ข้าไม่รู้ว่าจะทำวิธีใดถึงจะได้เจ้ามาแนบกาย เมื่อข้าพบว่าพี่ชายของเจ้ากำลังลำบาก ข้าจึงคิดอุบายนี้ขึ้นมาหวังผูดมัดเจ้าไว้”
ยิ่งพูด...ยิ่งอธิบาย ใบหน้าและหูของคนตัวโตก็ยิ่งแดงระเรื่อราวกับทาทับไปด้วยเลือดฝาด ยังผลให้หลี่ซืออี้ถึงกับอมยิ้มออกมาอย่างเสียไม่ได้
“คนโง่”
นางตัดพ้อพลางส่ายหน้าอย่างไม่รู้ว่าจะสรรหาคำพูดใดมาต่อว่าเขา ให้สาสมกับที่เขาทำให้นางเจ็บปวดหัวใจจนแทบหลั่งน้ำตาเป็นสายเลือด เมื่อคิดว่าจะต้องพลีกายทอดพรหมจรรย์ให้กับชายแปลกหน้าเพื่อรักษาชีวิตของคนในครอบครัว
“ใช่ข้ามันคนโง่ ทั้งโง่ทั้งบ้า วันๆ เอาแต่คิดถึงเจ้าจนไม่เป็นอันทำอะไร วางแผนโง่ๆ หวังจะมัดใจเจ้าเอาไว้ โดยไม่รู้เลยว่าแผนที่ทำมาทั้งหมดจะสำเร็จหรือไม่”
น้ำเสียงของเขาอ่อนลงในตอนท้ายของประโยค ดวงตาคมจ้องจดไปยังใบหน้าหวานที่เปรอะเปื้อนไปด้วยความเก้อเขิน
“สำเร็จสิ เพราะข้าหลงรักคนโง่เข้าให้แล้ว”
นางตอบพลางขยับกายเข้าหาแล้วโผกอดเขาเอาไว้แนบแน่น ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็อุ้มร่างบางเหวี่ยงไปรอบๆ ห้องด้วยดีใจ
“ถ้าเช่นนั้นเราแต่งงานกันเถอะ ข้าเตรียมพิธีทุกอย่างเอาไว้พร้อมสรรพหมดแล้ว ตอนนี้ผู้ใหญ่กำลังรอทำพิธีอยู่ด้านนอก”
หลี่ซืออี้อ้าปากค้างอีกเป็นครั้งที่สอง ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข ไม่คิดเลยว่าจะถูกเขารวบหัวรวบหาง จับแต่งงานมาเป็นภรรยาชนิดไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้
“เจ้าค่ะ ข้าจะแต่งกับท่าน”
“เข้ามาได้!”
สิ้นสุดเสียงดังที่ตะโกนออกไปนอกห้อง บานประตูก็เปิดออกพร้อมสาวใช้นำสิบคน ทุกคนต่างถือพานอาภรณ์และเครื่องประดับเลอค่าเข้ามา ยืนเรียงรายอยู่เบื้องหน้าว่าที่เจ้าสาวคนสวย
“ยินดีด้วยนะเจ้าคะคุณชาย บ่าวเห็นคุณชายมาตั้งแต่เล็ก นับตั้งแต่วันที่นายท่านทั้งสองจากไป คุณชายแข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยวนำพาตระกูลหยางสู่ความเจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่ารุ่นไหนๆ โดยลืมคิดถึงความสุขของตนเองไปเสียสิ้น บ่าวได้แต่เป็นห่วงสวดมนต์ไหว้พระขอพรจากพระมหาโพธิสัตว์ ขอให้คุณชายได้มีความสุขเสียที แล้วในที่สุดสิ่งที่บ่าวเฝ้ารอก็สัมฤทธิผล”
หัวหน้าสาวใช้พูดพลางยกมือขึ้นเช็ดหยาดน้ำตาแห่งความปีติก่อนจะหันไปจับมือหญิงสาวผู้กำลังจะมาเป็นนายหญิงของตน
“ยินดีต้อนรับสู่จวนตระกูลหยางนะเจ้าคะคุณหนูหลี่ ขอให้คุณหนูเชื่อมั่นในความรักของคุณชายหยาง บ่าวเลี้ยงมาตั้งแต่เล็กกล้าพูดได้เต็มปากเลยว่าคุณชายไม่เคยตกหลุมรักหญิงคนใด คุณหนูเป็นคนแรกที่ทำให้คุณชายของบ่าวกินไม่ได้นอนไม่หลับเจ้าค่ะ”
“อะแฮ่ม...ข้าเองก็ต้องออกไปเตรียมตัวเช่นกัน”
ผู้ที่ถูกเอ่ยถึงถึงกับวางสีหน้าไม่ถูกแกล้งกระแอมเบาๆ แก้เขินก่อนจะผุดลุกขึ้นยืนแล้วสาวเท้าออกจากห้องไปเสียดื้อๆ ทำให้เหล่าสาวใช้ถึงกับประสานเสียงหัวเราะกันอย่างอารมณ์ดี
หลี่ซืออี้นั้นเอาแต่นั่งยิ้มไม่พูดอะไร บัดนี้เมฆฝนได้เลื่อนผ่านไปจากชีวิตของนางแล้ว พระอาทิตย์กำลังส่องแสงเจิดจ้าส่องประกายให้นางได้เริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งกับคหบดีหยางจอมเจ้าเล่ห์
เจ้าสาวแสนสวยนั่งอยู่บนเตียงไม้ขนาดใหญ่ที่ประดับตกแต่งด้วยผ้าม่านสีแดงและสีทอง นางแอบเปิดชายผ้าที่คลุมใบหน้าเพื่อเหลือบมองไปรอบๆ ห้องหอด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ห้องนี้ไม่ใช่ห้องที่เขากับนางพลอดรักกันเมื่อคืน แต่เป็นห้องที่ตกแต่งด้วยไม้เนื้องามขัดมัน มีแจกันขนาดใหญ่ตั้งอยู่ริมประตู และหินหยกขนาดเท่าสองคนโอบตั้งเด่นอยู่กลางห้อง บ่งชัดว่าห้องนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นห้องหอในคืนวิวาห์โดยเฉพาะ
‘คนเจ้าเล่ห์’
เมื่อคิดว่าเขาเตรียมการทุกอย่างเอาไว้หมดแล้ว นางก็ถึงกับหัวเราะร่วนในลำคอ ก่อนจะรีบดึงผ้าปิดหน้าลงเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา
นางมองเห็นเพียงรางๆ ว่าเขาก้าวเข้ามาใกล้ก่อนจะทรุดกายลงนั่งบนเตียงข้างนาง โดยมือหนาข้างหนึ่งยื่นมากุมมือเล็กของนางเอาไว้
“ข้าดีใจที่ได้เจ้ามาเป็นภรรยามาเป็นคู่คิดคู่ชีวิต เราทั้งสองจะสร้างครอบครัวไปด้วยกัน ข้าอาจจะไม่ใช่ผู้ชายหวานซึ้งที่เจ้าใฝ่หา ออกจะทื่อ และโง่ไปบ้าง นับจากนี้ข้าก็ขอฝากเนื้อฝากตัวฝากหัวใจของเข้าเอาไว้ในมือคู่นี้ของเจ้า ข้ารักเจ้านะซือเอ๋อร์”
พูดจบเขาก็บรรจงเปิดผ้าคลุมหน้าสีแดงออกอย่างช้าๆ แล้วบรรจงจดจุมพิตลงบนหน้าผากมนแผ่วเบา
หลี่ซืออี้เงยหน้าขึ้นรับจุมพิตจากเขาด้วยน้ำตา ก่อนจะเอื้อนเอ่ยข้อความที่อัดแน่นอยู่ในหัวใจ
“อันที่จริงข้าเองก็หลงรักท่านตั้งแต่ครั้งแรก ข้ามีความสุขที่ได้ไปขายขนมที่ตลาดก็เพราะอยากพบท่าน เมื่อวาสนาและโชคชะตาทำให้เราได้ครองคู่กันไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ข้าก็ยินดีเป็นที่สุด นับจากนี้ข้าสัญญาว่าจะเป็นภรรยาที่ดีของท่าน จะทำให้บ้านอบอุ่น จะเลี้ยงดูลูกของเราให้เติบโตเป็นคนดี”
“หากข้ารู้สักนิดว่าเจ้าเองก็มีใจ ข้าคงไม่คิดแผนการบ้าๆ จนทำให้เจ้าขวัญเสียเช่นนี้”
เขาดึงร่างบางเข้ามากอดแล้วถอนหายใจกับความซื่อบื้อของตนเอง เขาไม่เคยเฉลียวใจเลยว่านางก็มีใจให้ แต่กลับอยากรวบหัวรวบหางนางมาเป็นของเขาเพราะกลัวว่าชายอื่นจะมาคว้านางไปเสียก่อน
ยิ่งได้รู้ว่าเจ้าหนี้หน้าเลือดจะพานางไปขายให้หอนางโลมเหม่ยซิง เขายิ่งไม่อาจอยู่เฉย จำต้องทำอะไรสักอย่างไม่เช่นนั้นคงต้องเสียใจไปตลอดชีวิต
“อย่าเสียใจไปเลยเจ้าค่ะ ถือเสียว่านี่เป็นเรื่องราวความรักของเราสองคน ไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร”
นางยื่นหน้าขึ้นไปจูบริมฝีปากหนาหยักได้รูป สองมือเล็กประคองใบหน้าที่มีสันกรามหนารับกับใบหน้าหล่อเหลา นางค่อยๆ เบียดกายเข้าหาแล้วกระซิบคำหวานที่ข้างใบหูของคนตัวโตแผ่วเบา