10
เงินทองสิ่งของมีราคาในท้องพระคลังมีมากมายจนเหลือล้น หากมิได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียดก็มิอาจรับรู้ได้ว่าทรัพย์สินได้ขาดหายหรือถูกนำออกไป ขุนนางขั้นสามที่มีตำแหน่งในกรมคลังผู้หนึ่งนามต้วนหลวนเฉิน เขาซื่อตรงต่อหน้าที่เป็นอย่างมาก ทุกครั้งที่มีการเปิดคลังเพื่อเก็บสิ่งของมีค่าเขามักจะแอบจดบันทึกไว้เพื่อป้องกันการยักยอก ตัวเขานั้นเฝ้ามองเเละแอบชื่นชมองค์หญิงสามมาโดยตลอดและเชื่อมั่นว่านางจะสามารถล้มล้างขุนนางชั่วให้หมดไปจากแผ่นดินได้ จึงตัดสินใจมอบสมุดจดบันทึกรายการทรัพย์สินหลวงทั้งหมดให้แก่นางเมื่อสองปีก่อน
เสนาบดีสวี่นับเป็นคนที่รอบคอบมิน้อยส่วนเรื่องความเฉลียวฉลาดอาจรองลงมา เขารับตำแหน่งเสนาบดีกรมคลังมานานกว่ายี่สิบปีนับเป็นขุนนางสองแผ่นดินรับใช้ฮ่องเต้พระองค์ก่อนจนมาถึงฮ่องเต้องค์ปัจจุบันนับว่ายาวนานยิ่งนัก
แต่ชีวิตที่ต้องคลุกคลีอยู่ท่ามกลางเบี้ยทองของมีค่านั้นนับว่าเป็นเรื่องยากที่จะระงับด้านมืดส่วนลึกในจิตใจที่เรียกว่าความโลภได้ นานวันเมื่อปล่อยให้มันเข้าครอบงำก็ยากจะหลุดพ้นออกมา ลงมือกระทำเรื่องผิดพลาดชักจูงบุตรหลานให้เข้าสู่วังวนที่จะนำไปสู่จุดจบอันเลวร้าย
เสนาบดีสวี่และสวี่ซิ่วถูกนำตัวออกจากคุกหลวงมาตัดสินโทษหน้าแท่นประหาร โดยมีแม่ทัพหม่าและแม่ทัพจ้าวได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้คุมการประหารและมีขุนนางอื่นๆอีกหลายชีวิตเป็นสักขีพยาน
...ในยามอู่ราชโองการจากองค์ฮ่องเต้ได้ถูกเปิดออกพร้อมกับสองชีวิตที่ได้รับตัดสินโทษตายเหลือไว้เพียงร่างไร้ลมหายใจพร้อมตราบาปถูกส่งต่อถึงบุตรหลานที่ยังคงอยู่ให้ต้องทุกข์ทนกับคำครหาและสายตาดูถูกดูแคลน...
เสี่ยวอี้ได้เดินทางร่วมกับทหารรักษาพระองค์บางส่วนที่องค์หญิงสามได้ขอพระราชทานอนุญาตใช้กองกำลังพิเศษนี้โดยเฉพาะ ด้วยเกรงว่าหากส่งกองกำลังอื่นไปรอรับพระสนมเสียนเฟยอาจเป็นการสร้างความหวาดระแวงแก่ผู้มีความผิดติดตัวเช่นนางเข้า
เสี่ยวอี้หยุดรอเว้นระยะจากประตูวัดพอสมควรด้วยมิอยากให้การปรากฏตัวของนางทำแผนการองค์หญิงต้องเสียหาย เพียงเฝ้าสังเกตุการณ์อยู่ห่างๆก็เพียงพอรอให้แม่ทัพหวังพาสนมเสียนเฟยออกมาได้ก็นับว่างานใหญ่ในครั้งนี้ได้เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
ด้านแม่ทัพหวังแห่งกองกำลังรักษาพระองค์ได้เข้าไปพบพระสนมเสียนเฟยที่กำลังนั่งสนทนากับหวังไท่เฟยซึ่งมีศักดิ์ฐานะเป็นพระมารดาในจิ้นอ๋องพระอนุชาในองค์ฮ่องเต้ปัจจุบัน แม่ทัพหนุ่มคำนับสองสตรีสูงศักดิ์ก่อนเอ่ยขึ้น "กระหม่อมได้เตรียมรถม้าไว้ด้านหน้าเพื่อรับพระสนมกลับเข้าวังพะย่ะค่ะ" สวี่เสียนเฟยขมวดคิ้วจ้องมองคนสนิทขององค์ฮ่องเต้ด้วยความรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง "เหตุใดกองกำลังรักษาพระองค์ถึงมาอยู่ที่นี่?"
แม่ทัพหนุ่มเค้นความคิดนึกถึงคำพูดองค์หญิงขึ้นมาได้จึงรีบเอ่ยตอบ "กระหม่อมถูกส่งมาเพื่อรับพระสนมกลับวังหลวงพะย่ะค่ะ" เพราะเขาเป็นแม่ทัพใหญ่กองกำลังสำคัญที่ขึ้นกับฝ่าบาทโดยตรงเพราะฉะนั้นต่อให้มิเอ่ยถึงพระองค์ก็มิมีใครคิดสงสัยไต่ถาม นับว่าองค์หญิงสามฉลาดรอบคอบที่ส่งพวกเขามาล่อหลอกพาสวี่เสียนเฟยกลับไปโดยที่นางมิติดใจสงสัยใดๆด้วยเพราะอาจคิดว่าเป็นความห่วงใยหวังดีจากฝ่าบาท
...พระสนมเสียนเฟยก้าวขาขึ้นรถม้าที่ถูกตระเตรียมไว้โดยมิได้นึกสังหรณ์ใจเลยว่าจุดจบของชีวิตได้คืบคลานเข้ามาถึงแล้วในอีกไม่ช้า...
วังหลวงในยามอู่รถม้าที่เสียนเฟยประทับนั่งได้เคลื่อนเข้าเขตวังหลวงพร้อมกับเสียงกลองประหารที่ดังขึ้นทำพระสนมสูงศักดิ์สะดุ้งตกใจพลันบังเกิดความรู้สึกสังหรณ์ขึ้นมาอย่างกระทันหัน นางก้าวลงรถม้าผลัดเปลี่ยนขึ้นเกี้ยวตรงไปตำหนัก
สามขันทีรอคอยการมาถึงของพระสนมเสียนเฟยตามพระบัญชาองค์ฮ่องเต้ หนึ่งในนั้นเป็นผู้ถือราชโองการและอีกหนึ่งเป็นผู้ถือถาดที่มีจอกสุราพิษวางตั้งอยู่
พระสนมสูงศักดิ์ยามนี้มือไม้สั่นไหวเกินควบคุมร่างทั้งร่างสั่นสะท้านเเข้งขาอ่อนแรงมิอาจก้าวเดินต่อ มีเพียงสายตาที่จับจ้องจอกสุราและราชโองการเท่านั้นที่ยังคงนิ่งได้
"พระสนมเสียนเฟยรับราชโองการ" แม้อยากฝืนต่อต้านแต่มิอาจทำได้จำต้องคุกเข่าหมอบลง "สวี่เสียนเฟยกระทำการยักยอกทรัพย์สินหลวงใช้ฐานะอำนาจการเป็นพระสนมขั้นสูงช่วยเหลือเสนาบดีสวี่ผู้เป็นบิดาปกปิดความผิดมาเนิ่นนานนับหลายปี ทั้งยังมีจิตใจโหดเหี้ยมคิดสังหารเชื้อพระวงศ์ต้องโทษประหารสถานเดียว จบราชโองการ" อ่านจบขันทีวัยกลางคนก็ส่งมอบราชโองการแก่สวี่เสียนเฟยที่ยังคงตกตะลึง ดวงตาคู่งามจ้องหนังสือราชโองการเขม็งสองมือกำแน่นด้วยความแค้นเคือง นางลุกพรวดขึ้นปัดทุกสิ่งทุกอย่างในมือขันทีทิ้งทั้งราชโองการและจอกสุราพิษที่องค์ฮ่องเต้ประทานแก่นาง "พระนาง!" ทหารที่ตามเข้ามารีบชักกระบี่จ่อไปที่พระสนมเสียนเฟยที่บัดนี้เหลือสถานะเพียงนักโทษประหารเท่านั้น "ข้าจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท!"
"มิได้พะย่ะค่ะ!" แม่ทัพหวังเข้าขวางก่อนสั่งทหารคุมตัวนางเอาไว้ "ท่านต้องโทษประหารต่อให้มิยอมดื่มสุราพิษก็ต้องตายสถานเดียว!" แม่ทัพแห่งกองกำลังรักษาพระองค์ขึ้นชื่อเรื่องความเด็ดขาด ในเมื่อนักโทษมิยอมจำนนต่อความผิดคิดหลีกเลี่ยงการรับโทษมิยอมดื่มสุราพิษเขาจึงต้องใช้วิธีอื่นแทน
...คมกระบี่ถูกดึงออกจากฝักตวัดบั่นศรีษะกลางตำหนักจนโลหิตสาดกระจาย ร่างบางล้มพับลงพร้อมลมหายใจสุดท้ายที่หลุดลอยไป ศรีษะนางกลิ้งหลุนไปลงบันไดหน้าตำหนักหลุดลงตรงปลายรองเท้าสีขาวปักมุก...
เหยียนซูเม่ยเบิกตาโพลงกรีดร้องร่ำไห้ปานขาดใจเมื่อเห็นศรีษะพระมารดา นางรีบวิ่งเข้าไปด้านในตำหนักก่อนทรุดตัวอย่างไร้เรี่ยวแรงน้ำตาไหลนองแววตาเจ็บแค้นแสนสาหัส
"เสด็จแม่! เสด็จแม่เพคะ!" นางเขย่าร่างไร้วิญญาณด้วยความบ้าคลั่งอยู่พักใหญ่ก่อนเป็นลมล้มพับไปท่ามกลางสายตานางกำนัลขันทีและทหารหลายชีวิต
คนทำผิดคิดชั่วถูกประหารไปแล้ว สกุลสวี่ยามนี้คล้ายสิ้นไร้ทุกสิ่งอย่าง บ่าวไพร่หนีหายส่วนฉีฮุ่ยน่าและฉีคังน้องสาวและบิดาของฮุ่ยซิ่ว องค์หญิงสามก็ได้เมตตารับเข้ามาอาศัยในจวน
กลางโถงเรือนใหญ่ในจวน เหยียนเป่านั่งอยู่บนตั่งมองสามชีวิตสกุลฉีโอบกอดถามไถ่ทุกข์สุขกันด้วยความสบายใจ แลกกับสามชีวิตที่สูญสิ้นไปเพื่อปลดปล่อยความทุกข์คนจำนวนร้อยก็นับว่าคุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง "บุญคุณองค์หญิงยิ่งใหญ่อีกกี่ชาติก็มิอาจชดใช้หมดได้ กระหม่อมไร้ความรู้ไร้ทรัพย์สมบัติใช้แรงกายเเลกข้าวแลกน้ำมาทั้งชีวิต จนกว่าจะถึงวันสุดท้ายในชาตินี้ กระหม่อมจะขอรับใช้และซื่อสัตย์ต่อองค์หญิงตลอดไปพะย่ะค่ะ" ชายชราหมอบแทบเท้าหญิงสาวเอ่ยออกมาด้วยความซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง
"ท่านเองก็อายุมิน้อยแล้วทั้งร่างกายก็มิได้แข็งแรง จะใช้แรงงานเหมือนเมื่อก่อนข้าก็เกรงว่าสุขภาพท่านจะทรุดโทรมไปมากกว่านี้" เหยียนเป่ากรอกตาครุ่นคิดไปมาพลางกวาดมองไปรอบๆก่อนสายตาสะดุดเข้ากลับสมุดจดบันทึกรายการทรัพย์สินในท้องพระคลังพลันนึกบางอย่างขึ้นมาได้ "สายตาท่านยังดีอยู่หรือไม่?"
"ยังดีอยู่พะย่ะค่ะ" ชายชราเอ่ยตอบในแววตาเขาและบุตรทั้งสองต่างปรากฏความงุนงงสงสัยในคำถามของหญิงสาวสูงศักดิ์ "ทั้งพ่อบ้านทั้งผู่เยว่ต่างงานเยอะล้นมือ ข้าจึงต้องการคนจดบันทึกการใช้จ่ายในจวนอีกสักคน หากท่านมิขัดข้องอันใดข้าจะจ่ายเบี้ยเลี้ยงเป็นรายเดือนมิเอาเปรียบท่านเหมือนที่คนสกุลสวี่แน่นอน"
"องค์หญิง..." ฮุ่ยซิ่วตั้งใจเอ่ยขัดคัดค้านเพราะยังคงรู้สึกผิดในหลายๆเรื่องที่ผ่านมาตลอดสามปี องค์หญิงลำบากเพื่อเขามามากหากต้องมาลำบากเพราะครอบครัวเขาอีกความรู้สึกผิดที่อัดแน่นคงมิมีวันสลายหายไปได้เป็นแน่ "ฮุ่ยซิ่วเจ้าคิดให้ถี่ถ้วนเถิด น้องสาวเจ้างดงามปานล่มฟ้าล่มดินเพียงนี้ จะออกไปใช้ชีวิตด้านนอกให้เป็นอันตรายหรือ อีกทั้งสุขภาพบิดาเจ้าก็อ่อนแอ หากถูกรังแกอีกจะทำเช่นไร?" ชายหนุ่มนิ่งคิดสองจิตสองใจเหลียวมองบิดาและน้องสาวก็ยอมแพ้ต่อคำพูดหญิงสาว
ตัวเขาอดอยากลำบากเพียงใดมิเคยเกี่ยงแต่หากเป็นบิดาและน้องสาวที่ต้องอดอยาก ตัวเขาก็มิอาจทนฝืนมองดูคนที่รักทั้งสองต้องตกระกำลำบากได้ สามปีที่อาศัยอยู่ในจวนองค์หญิงเขาก็มิเคยลำบากเรื่องเงินทองอีกเลยทั้งยังได้ช่วยเหลือบิดาและน้องสาวให้ได้กินดีกว่าบ่าวคนอื่นๆในจวนสกุลสวี่เสียอีก...
ผ่านไปกว่าสามวันหลังคนสำคัญของสกุลสวี่ถูกประหารจนหมดสิ้น บุตรหลานที่เหลือจึงต้องอพยพออกจากเมืองหลวงไปตั้งรกรากยังเมืองไกลเพราะมิอาจทนต่อสายตาดูถูกคำพูดดูแคลนได้ จวนหลังใหญ่จึงถูกทิ้งร้างเงียบสงัดไร้เงาสิ่งมีชีวิตเฉกเช่นอดีตที่เคยรุ่งเรือง
...ส่วนเหยียนซูเม่ยคงต้องใช้เวลาพักใหญ่ฟื้นฟูจิตใจที่บอบช้ำจากการสูญเสีย ด้านเหยียนเป่าเองก็มิได้นิ่งนอนใจเตรียมแผนการรับมือน้องสาวต่างมารดาเอาไว้ล่วงหน้า เพราะรู้ดีว่าชีวิตที่ยังคงอยู่โดยมีความแค้นเป็นแรงขับเคลื่อนนั้นสามารถแปรเปลี่ยนคนอ่อนแอให้ลุกขึ้นมาเข้มแข็งได้ เพียงแต่เกรงว่าสติปัญญาอันน้อยนิดของเด็กสาวอาจสวนทางกับความพยายามที่จะลุกขึ้นมาสู้กับนางก็เท่านั้น
เพราะเหยียนซูเม่ยมิได้มีความผิดเกี่ยวข้องในคดียักยอกจึงมิได้ถูกตัดสินโทษตายเช่นสวี่เสียนเฟย หากจะป้ายผิดให้นางก็ย่อมง่ายเพียงพลิกฝ่ามือ แต่เพราะเหยียนเป่าเห็นว่าหลังการตายของสวี่เสียนเฟยจะทำให้เหยียนซูเม่ยมิต่างอะไรจากกวางตัวน้อยที่ถูกจับจ้องโดยสัตว์ป่าหิวกระหาย นางจึงละเว้นเด็กสาวเอาไว้เพื่อประโยชน์ในภายภาคหน้า
ลู่เหมยที่ครั้งนี้ได้มีส่วนร่วมช่วยเหลืองานขององค์หญิงก็รู้สึกยินดีที่ทุกอย่างสำเร็จลุล่วงไปได้อย่างราบรื่น ทั้งตัวเขายังได้รับเงินทองและอาภรณ์จำนวนหนึ่งจากนางเป็นรางวัลที่ได้เสี่ยงเข้าไปสืบหาหลักฐานเอาผิดอดีตเสียนเฟย
ยามเซินกลางศาลาริมน้ำท้ายจวนเหยียนเป่าได้เรียกชายงามทั้งสี่มารวมตัวเพื่อดื่มชาร่วมกันกับนาง "ผู่เยว่ ข้าเห็นว่าหลายปีมานี้เจ้าและพ่อบ้านกู่ทำงานหนักแบกรับภาระมากมายในจวนมาเนิ่นนาน จึงแยกงานจดบันทึกรายการใช้จ่ายในจวนให้พ่อบ้านฉีทำ กลางเดือนหน้าในวังหลวงจะจัดงานเฉลิมฉลองเนื่องในวันคล้ายพระราชสมภพครบรอบสี่สิบพรรษาของฝ่าบาท ฮุ่ยซิ่วข้าหวังว่าเจ้าจะมิปฏิเสธหากข้าจะขอร้องให้เจ้าเป็นตัวแทนข้าบรรเลงเพลงพิณถวายแก่พระองค์" ตัวนางไร้ความสามารถด้านศิลป์ทั้งดนตรีและเขียนภาพ งานสตรีล้วนเป็นเรื่องยากและนางมักหลีกเลี่ยงเสมอทั้งการปักผ้าการจัดดอกไม้เพียงแค่นึกถึงก็เบื่อหน่ายเสียแล้ว
"ถ้าเป็นท่านเอ่ยปากข้าก็ยินดี"
ฮุ่ยซิ่วเป็นนักดนตรีชื่อดังอยู่ในหอร่ำสุรากลางเมืองฉีเฟิ่ง นางชื่นชอบฝีมือการบรรเลงพิณของเขาเป็นอย่างมากจึงจ่ายเงินซื้อตัวมาอยู่ในจวน แรกเริ่มเดิมทีนางมักให้เขาบรรเลงเพลงให้ฟังเป็นประจำแทบจะทุกวัน แต่หลังแต่งงานเข้าไปอาศัยเป็นสะใภ้อยู่ในจวนสกุลจ้าว นางก็มิมีโอกาสได้ฟังเพลงพิณเขาบ่อยนัก แต่ด้วยกลัวชายหนุ่มจะเบื่อหน่ายจึงได้มอบหมายหน้าที่ผู้คุมกฏในจวนให้และเพื่อหาเหตุเพิ่มเบี้ยรายเดือนแก่เขานำไปจุนเจือครอบครัวที่ต้องอยู่อย่างอดอยากในจวนสกุลสวี่
"หวงลู่ที่ข้ามอบหมายให้เจ้าดูแลลู่เหมยก็เพราะเจ้าเคยบ่นว่าเบื่อหน่ายที่ไม่มีหน้าที่ใดในจวนทำ จนกว่าลู่เหมยจะโตพอพึ่งพาตนเองได้ข้าก็ขอฝากให้เจ้าดูแลเขาไปก่อน" หวงลู่ร่างกายอ่อนแอเพราะมีพิษตกค้างในร่างกาย นางจึงเป็นห่วงมิได้มอบหมายงานใดให้เขาทำเกรงว่าเขารับมิไหวหากต้องแบกรับความกดดันต่างๆ หวงลู่จึงเป็นคนเดียวที่มิได้มีหน้าที่รับผิดชอบงานใดๆในจวน
แต่เพราะเห็นว่าลู่เหมยนั้นเป็นเด็กดีว่านอนสอนง่ายมิดื้อมิรั้นนางจึงค่อนข้างมั่นใจว่าหวงลู่จะดูแลเขาได้โดยไม่ต้องรู้สึกเครียดและกดดัน จึงมอบเด็กหนุ่มให้แก่เขา
"ส่วนลู่เหมยหากเจ้าอยากลองฝึกปรือฝีมือทำอาหารเอาไว้ข้าก็อนุญาตให้ใช้ครัวได้ตลอดเวลา ในภายภาคหน้ามิรู้ว่าจะมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปบ้าง มีความรู้ประดับไว้ใช้ทำมาหากินได้ก็ย่อมเป็นเรื่องดี" ครั้งที่นางยังรักษาตัวอยู่โรงหมอหากวันใดท่านหมออี่ออกไปข้างนอก ลู่เหมยก็จะเป็นคนเข้าครัวลงมือทำอาหารให้นางแทน ฝีมือปรุงอาหารเขานับว่าเลิศล้ำนักสำหรับเด็กอายุเพียงสิบปี แต่นอกจากพรสวรรค์ด้านอาหารแล้วฝีมือยิงธนูของเขาก็นับว่ายอดเยี่ยมเช่นกัน
"องค์หญิง เพราะเหตุใดท่านถึงมิยอมบอกข้าเรื่องสกุลสวี่?" ผู่เยว่ที่นั่งนิ่งเงียบมานานเอ่ยถามขึ้น ตัวเขาเป็นคนสนิทที่สุดทั้งยังอยู่ในจวนแต่กลับมิได้รับรู้ข่าวคราวใดๆของนาง "ก็หากให้เจ้ารู้ เจ้าก็จะห้ามมิให้ข้าไปยุ่งกับคนพวกนั้น" ผู่เยว่มักเป็นห่วงนางทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ คอยห้ามปรามในหลายๆเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องขุนนางที่เขามิต้องการให้นางเข้าไปยุ่งเกี่ยว
"ข้ามิอยากให้ท่านออกหน้ามากจนเกินไป ครั้งนี้ผู้คนต่างรับรู้ไปทั่วว่าเป็นท่านที่ขุดคุ้ยความผิดเสนาบดีสวี่ขึ้นมาจนเขาต้องโทษประหารพร้อมบุตรสาวและหลานชาย ข้าจึงเกรงว่าท่านจะไม่ปลอดภัยจากตระกูลอื่น" บนแผ่นดินนี้มีขุนนางมากมายที่กระทำความผิดเช่นเสนาบดีสวี่ การที่องค์หญิงกระทำการรวบรัดกำจัดสกุลสวี่อย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ ตระกูลอื่นจึงอาจเกิดความหวาดระเเวงคิดลอบสังหารเพื่อกำจัดนางทิ้งก็เป็นได้ "เพราะข้าตั้งใจให้เป็นเช่นนี้ต่างหาก ขุนนางชั่วช้าคิดทำร้ายเชื้อพระวงศ์โทษตายรออยู่ตรงหน้าก็ยังกล้ากระทำ คิดสังหารพระธิดาโอรสสวรรค์ก็เหมือนคิดสังหารโอรสสวรรค์ เจ้ามิเข้าใจเจตนาของคนพวกนั้นหรือ" การที่มีนางคอยขัดคอยขวางทั้งยังช่วยงานฝ่าบาทอยู่ชิดใกล้ ทำให้พวกขุนนางมิพอใจนักเพราะมิอาจเข้าใกล้พระองค์เพื่อนำพาผลประโยชน์มาสู่ตนได้...
วันต่อมาภายในท้องพระโรงมีการประชุมขุนนางเพื่อแต่งตั้งเสนาบดีกรมคลังคนใหม่ เหยียนเป่านั่งถัดลงมาจากบัลลังค์มังกรรับฟังขุนนางเสนอนามผู้เหมาะสมตำแหน่งคนใหม่ซึ่งล้วนแต่เป็นผู้ที่มีผลประโยชน์ต่อตนทั้งสิ้นหาได้มีคุณสมบัติครบถ้วนตรงตามตำแหน่งไม่ นางถอนหายใจยาวเพราะเบื่อหน่ายกับการประชุมที่เริ่มยืดยาวทั้งยังอึดอัดที่ต้องเผชิญหน้ากับจ้าวหย่งสือที่เข้าร่วมประชุมในท้องพระโรงในวันนี้ด้วย "ขุนนางที่ดีต้องซื่อสัตย์ซื่อตรงเคารพในหน้าที่ของตน ลูกคิดว่าต้วนหลวนเฉินแห่งกรมคลังมีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะรับตำแหน่งสำคัญนี้เพคะ"
เหยียนเป่าทูลเสนอแต่กลับถูกค้านโดยขุนนางผู้หนึ่ง "ทูลฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าต้วนหลวนเฉินยังอายุน้อยเกินไปสำหรับตำแหน่งเสนาบดีพะย่ะค่ะ" หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในท้องพระโรงยกยิ้มยิ้มสวนถามกลับไป "อายุมากเช่นเสนาบดีสวี่ก็ใช่ว่าจะดี" สิ้นเสียงก็บังเกิดความเงียบครอบคลุมมิมีผู้ใดออกมาโต้เถียงอีก เหยียนเป่ายกยิ้มพอใจก่อนทูลเอ่ยอีกครั้ง "สมุดจดบันทึกที่เป็นหลักฐานสำคัญมัดตัวเสนาบดีสวี่ล้วนเป็นลายมือต้วนหลวนเฉินทุกตัวอักษรเพคะ"
องค์ฮ่องเต้ขยับพระพักตร์ตรัสเรียกขุนนางหนุ่มให้ก้าวออกมา "ต้วนหลวนเฉิน เจ้ามีสิ่งใดอยากเอ่ยหรือไม่?" ชายหนุ่มเหลือบตามององค์หญิงสามเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของนางก็ลังเลใจขึ้นมา ทั้งที่มิอยากได้ตำแหน่งนี้แต่เมื่อนึกถึงสิ่งดีๆที่เขาจะสามารถทำเพื่อบ้านเมืองได้จึงตัดสินใจเอ่ยขึ้น "บิดากระหม่อมเคยสอนว่าตำแหน่งขุนนางจะเล็กหรือใหญ่ก็มิได้สำคัญเท่าความซื่อสัตย์ซื่อตรงที่มีต่อหน้าที่พะย่ะค่ะ"
"บิดาเจ้าสอนได้ดี นับว่าเป็นความโชคดีของแผ่นดินที่มีขุนนางเช่นเจ้า ไว้ข้าจะพิจารณาให้ถี่ถ้วน ในวันพรุ่งถึงจะออกราชโองการประกาศแต่งตั้งเสนาบดีกรมคลังคนใหม่" หลังตรัสจบพระองค์ก็เสด็จออกไป เหลือเพียงเหยียนเป่าที่ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น โดยมีสายตาขุนนางหลายร้อยจ้องมอง แม้ฝ่าบาทจะเสด็จออกไปแล้วแต่องค์หญิงยังคงอยู่พวกเขาจึงยังไปไหนมิได้ "ฝ่าบาทเสด็จไปแล้ว พวกท่านก็กลับไปเสียเถิด" นางเอ่ยขึ้นก่อนยกมือขึ้นกอดอกเอนหลังพิงพนักบัลลังค์ประจำตำแหน่ง
เหล่าขุนนางกระซิบกระซาบปรึกษาหารือกันก่อนเป็นอัครเสนาบดีหนิวที่ก้าวออกมา "องค์หญิง แต่ไหนแต่ไรมาฝ่าบาทจะรับฟังความคิดเห็นท่านเสมอ ท่านจึงสามารถใช้คำพูดชักจูงพระองค์ได้" เหยียนเป่ายกยิ้มบางเบาก่อนเอ่ยขึ้น "สายเลือดย่อมข้นกว่าสายน้ำ ข้าเป็นพระธิดาเป็นสายเลือดมังกร แล้วเหตุอันใดพระองค์จะมิเชื่อข้าเล่า?" เหล่าขุนนางพากับเงียบกริบบางคนก้มหน้างุดเพราะสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงหงุดหงิดขององค์หญิง ที่หลายวันก่อนจู่ๆนางก็ลุกขึ้นมาล้มล้างสกุลสวี่เสียแทบสิ้นทั้งที่ปล่อยผ่านมาหลายปี มิรู้ว่าทางนั้นสร้างความขุ่นเคืองใดให้ รู้เพียงแต่ว่าพวกเขาจะมิขอเสี่ยงเป็นศัตรูกับนางแน่นอน...